บทที่ 48 ใหญ่กว่าหนึ่ง
การแข่งขันของสถาบันจักรพรรดิในครั้งนี้ กำหนดส่วนหนึ่งของสิทธิพิเศษสำหรับการพิจารณาลึกลับของอาณาจักรแห่งเพลิง นอกจากนี้บุตรของขุนนางจากจักรวรรดิจำนวนมากก็กำลังฝึกฝนอยู่ในสถาบัน ฉะนั้นทางสถาบันจึงจัดที่นั่งพิเศษสำหรับราชวงศ์ และสมาชิกจักรวรรดิที่มีสถานะสูงกว่าคนทั่วไปสำหรับดูการแข่งขันที่กำลังจะเกิดขึ้น
วันนี้หลูซานเทียนยังได้พาหลูหม่าอวี้ รวมไปถึงหลานชายของเขาอีกสองคนมาที่สถาบันเพื่อดูการแข่งขันของหลูมู่หยาน ซึ่งพื้นที่ของตระกูลหลูจะอยู่ที่ด้านล่างซ้ายของจักรพรรดิ ทว่าข้าง ๆ ปรากฏเป็น ‘กู่หยวนไค’ และหยุนเทียนซ่งผู้ที่เป็นคนอุปถัมป์ตระกูลกู่ ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่าการจัดที่ทั้งให้สองตระกูลนี้มาอยู่ข้างกันเป็นการจงใจหรือไม่
หลังจากที่พบหน้า หยุนเทียนซ่งเหลือบมองไปที่หลูหม่าอวี้ ก่อนจะขยับไปด้านหน้าพร้อมกับส่งเสียงถอนหายใจออกมาอย่างแรง
กู่หยวนไคเป็นคนที่มีความคิดลึกซึ้งและซับซ้อน แม้ว่าเขาจะมีความขัดแย้งกับตระกูลหลูอยู่ไม่เบา แต่เขาก็ยังปั้นยิ้มทักทาย “ท่านจอมพล และท่านนายพลตระกูลหลู”
หลูซานเทียนพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนจะยกยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “ท่านผู้อาวุโสกู่”
ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากคำทักทาย ทว่าในบางทีหยุนเทียนซ่งแม้เขาจะคุยกับกู่หยวนไค แต่เขามักจะมองไปที่หลูหม่าอวี้ด้วยสายตาที่เย็นชา ซึ่งหลู่หม่าอวี้ก็ไม่ได้สนใจอะไร
หลูมู่ไป๋ไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ เพราะการเลื่อนระดับเป็นราชาแห่งดาบของเขา ทำให้ได้สิทธิพิเศษในการพิจารณาของจักรววรดิ
ขณะที่หลูมู่ถิง เดิมทีเขาจะต้องกลับไปที่เมืองแถบชายแดน แต่เป็นเพราะหลูมู่หยานกำลังจะเข้าร่วมการแข่งขันของสถาบัน เขาจึงต้องไปดูน้องสาวที่กำลังจะเข้าแข่งขันด้วยตัวเอง
“มู่ถิง เจ้าไม่ได้มาหาพวกข้าเลยนะตั้งแต่กลับมา” เสี่ยวเซียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคืองเล็กน้อย พร้อมกับเอื้อมไปสะกิดหลังของหลูมู่ถิงที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“เสี่ยวเซียง ทำไมเจ้าทำหน้าแบบนั้นล่ะ ทำเหมือนลูกเลี้ยงถูกทิ้งไปได้” หยุนจินหัวเราะเสียงดัง
“ไปเลย ข้ากำลังคุยกับมู่ถิง อย่ามารบกวน” ใบหน้าของเสี่ยวเซียงเริ่มบึ้งตึง ก่อนจะใช้ฝ่ามือผลักใบหน้าที่หล่อเหลาของหยุุนจินออกไป
“ปู่ของข้าสั่งให้ถอยออกมา และจะกลับไปรวมตัวกันอีกครั้งเมื่อการแข่งขันใหญ่เสร็จสิ้น” หลูมู่ถิงเอ่ย พร้อมกับยักไหล่ เขาโกหกโดยที่ในใจไม่ได้รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย
เมื่อเร็ว ๆ นี้ เขาได้แต่เก็บตัวอยู่ในห้องฝึกซ้อมของตระกูลหลู เป็นเพราะพี่ชายและน้องสาวของเขานั้นนิสัยเสียเกินไป ซึ่งทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความวุ่นวาย แต่ก็ไม่ต้องการที่จะอยู่ไกลเกินไปที่จะทำงานหนัก และเขาก็ไม่ต้องการที่จะพูดอะไรแบบนี้ต่อหน้าสหายของเขา
“มู่ถิง ผลของการถอยออกมาค่อนข้างดีนะ มันส่งผลกระทบต่อวิญญาณระดับสูงแล้ว ท่านปู่ของเจ้าควรจบมันได้มากกว่า” หยุนหลานมองไปที่หลูมู่ถิงด้วยท่าทางติดตลก
หลูมู่ถิงกรอกตา นี่คือความอิ่มเอมใจโดยธรรมชาติที่ไม่พอต่อพี่ของเขา
“มู่ถิง นี่เจ้ากินยาซีซุยติดต่อกันสองครั้งหรือไม่?” เสี่ยวเซียงอดใจไม่ได้ที่จะถามคำถามค้างคาใจ ภายหลังจึงเหลือบสังเกตุไปรอบ ๆ กาย
“ยาซีซุยไม่ได้วิเศษอย่างที่ลือกันหรอก มันเป็นเพราะว่าข้ามีพรสวรรค์ที่เยี่ยมอยู่แล้วหรือเปล่า?” หลูมู่ถิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ทำให้ตอนนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส
สำหรับการล้างไขกระดูกนั้นเป็นอะไรที่วิเศษจริง เฉพาะการขยายเส้นลมปราณ ล้างไขกระดูก แต่การพัฒนาความแข็งแกร่งนั้นยังต้องขึ้นอยู่กับความสามารถ และความเอาจริงเอาจังในการฝึกฝนอยู่ดี เขาเปลี่ยนจากวิญญาณดาบระดับต่ำให้เลื่อนขึ้นเป็นระดับสูง ไม่เพียงแต่การดูดซับวิญญาณแห่งโลกและสวรรค์ที่เร็วกว่าสองเท่าหลังจากการล้างไขกระดูกเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะพรสวรรค์ที่ดีที่ติดตัวเขามาด้วย หลูมู่ถิงสามารถเข้าถึงได้ผ่านการดูดซับวิญญาณแห่งโลกและสวรรค์ฺ เปลี่ยนให้เป็นพลังงานของเขา
“น้องสาวข้าบอกว่ายาเม็ดซีซุยเป็นเพียงตัวช่วยเท่านั้น การบ่มเพาะยังต้องอาศัยความเข้าใจ และการฝึกฝนของตัวเอง” หลูมู่ถิงเชื่อว่าสิ่งที่น้องสาวของเขาพูดเป็นเรื่องจริง
“ข้าบอกไม่ได้หรอกว่าหลูมู่หยานจะสามารถพูดได้” เสี่ยวเซียงขบเม้มริมฝีปาก
“ทำไมน้องสาวข้าจะพูดไม่ได้? เสี่ยวเซียง ผิวของเจ้ามีอาการคันใช่หรือไม่?” หลูมู่ถิงถกแขนเสื้อของเขาขึ้น และภาพที่เห็นก็ทำให้ต้องอึ้ง
“เจ้ามีน้องสาวที่ไร้มนุษยธรรม” เสี่ยวเซียงเอ่ย
หลูมู่ไป๋ และหยุนหลันกำลังมองดูสองคนที่กำลังทะเลาะกันอย่างขบขัน ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่เบื้องหน้าจะคล้ายคลึงกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีก่อน
“อลัน เจ้าเตรียมตัวยังไงบ้าง สำหรับการพิจารณาครั้งนี้?” หลูมู่ไป๋เอ่ยถามหยุนหลันที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
หยุนหลันพยักหน้า “ก็ใกล้แล้ว ครั้งนี้เจ้าได้เข้าไปพิจารณาของหยานเอ๋อร์ใช่หรือไม่?”
ด้วยความสามารถที่ยอดเยี่ยมของหลูมู่ไป๋ กองกำลังทั้งสามของอาณาจักรหยานโจวได้รับการยอมรับมาอย่างยาวนานแล้วว่าสามารถหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมการพิจารณาได้ แต่ครั้งนี้เขายืนยันว่าจะเข้าร่วมพิจาณา และแน่นอนว่าเป็นเพราะน้องสาวของเขา หลูมู่หยาน
เมื่อหลูมู่หยานมาถึง ใบหน้าของหลูมู่ไป๋ก็อ่อนโยนลง “ดี”
“การแข่งขันครั้งใหญ่เริ่มแล้ว!” หยุนหลัวเอ่ยแทรก พวกเขาจึงมองไปข้างล่าง และเห็นว่าตอนนี้คนส่วนมากหยุดการกระทำเกือบทุกอย่าง และมองไปที่เวทีการแข่งขันที่ทางสถาบันจัดขึ้น
ณ เวทีที่ยี่สิบหกการแข่งขันสี่นัดแรกจบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงคู่ที่ห้าทันทีที่ผู้ตัดสินเรียกผู้เข้าแข่งขัน หลูมู่หยานก็สังเกตเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งบินเข้ามา ณ บริเวณที่แข่งขัน ชายผู้นี้เป็นนักเรียนของสถาบันจากเขตอื่น และไม่มีทางที่จะมาบรรจบกับนางเป็นแน่ เพราะเขาเป็นปรมจารย์ดาบระดับกลาง
เมื่อแตะปลายเท้าลงกับพื้น หลูมู่หยานก็กระโดดขึ้นไปบนพื้นที่การแข่งขันทันที
“หนึ่งในพวกเจ้าพ่ายแพ้ และถ้าคนใดคนหนึ่งยอมรับความพ่ายแพ้โดยสมัครใจ นั่นหมายความว่าการแข่งขันจะสิ้นสุดลง” ผู้ตัดสินประจำจุดแข่งขัดโบกธงสีเหลือง ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “การแข่งขันเริ่มขึ้นแล้ว”
“รับทราบ” ชายผู้ที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามตวัดมือไปที่หลูมู่หยานทันทีโดยไม่ปล่อยให้นางเอ่ยอะไร ก่อนจะระดมพลังชีวิตที่มีในร่างกาย ปล่อยใส่ดาบของตัวเองและตวัดไปที่คู่ต่อสู้อย่างไม่รีรอ
เวลาเดียวกัน หลูมู่หยานไม่ได้รู้สึกอะไร นางเคลื่อนตัวทันทีเมื่อเห็นการขยับตัวของคู่ต่อสู้ แม้จะโงนเงนไปบ้างจากพลังดาบของฝั่งตรงข้าม
ทว่าความแตกของพละกำลังนั้นค่อนข้างมากเกินไป แต่หลูมู่หยานก็ไม่ได้ท้าทายอะไร รวมไปถึงไม่ได้นำอาวุธอะไรออกมาด้วยเช่นกัน สิ่งที่นางมีเพียงแค่ขยับเท้าไปข้างหน้า และนั่นก็ทำให้ภาพที่กำลังจะปรากฏติดตรึงอยู่บนเวทีการต่อสู้
ก่อนที่ผู้ชมทุกคนที่นั่งมองอยู่จะเห็นภาพชัดเจน หลูมู่หยานเคลื่อนตัวไปข้างหลังคู่ต่อสู้ ก่อนจะยิงให้ชายผู้นั้นหลุดออกจากสนามการแข่งขันไปด้วยการขยับมือเพียงครั้งเดียว
โว้วววว!!
นักเรียนที่คอยเฝ้าดูการแข่งขันต่างพากันตกตะลึง แม้ว่าพวกเขาไม่อยากจะเชื่อกับภาพตรงหน้า แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ หากสังเกตอาการของทุกคนที่กำลังอ้าปากค้าง
นี่มันค่อนข้างเกินจริงไปหน่อย
เนื่องจากหลูมู่หยานเป็นคนของสถาบันจักรพรรดิ และได้รับความสนใจอย่างมากอยากจากคนในสถาบัน จากการห้ำหั่นระหว่างนางและกู่ยันรัน เมื่อนางเข้าร่วมการต่อสู้ก็ทำให้คนเอนความสนใจไปที่ลานแข่งขันที่ยี่สิบหก
อย่างไรก็ดี หลายคนก็ไม่คิดว่าหลูมู่หยานจะสามารถต่อสู้กับอีกฝ่ายได้ง่ายดายในการแข่งขันครั้งแรก นางสามารถเอาชนะนักดาบผู้ยิ่งใหญ่ในระดับกลางได้เพียงแค่ใช่กระบวนท่าต่อสู้เดียว
ใครที่บอกว่านางเป็นเพียงนักดาบรุ่นเยาว์? ช่างไร้สาระสิ้นดี
เมื่อเห็นว่าหลานสาวของตนเองสามารถต่อสู้ได้อย่างเฉียบคมในลานการแข่งขัน หลูซานเทียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและกล่าวชื่นชมด้วยความภาคภูมิใจว่า “หยานเอ๋อร์เก่ง”
หยุนเทียนเฉินที่นั่งอยู่แถวหน้าก็ยังต้องให้ความสนใจแก่หลานสาวตระกูลหลู แม้ว่าเขาจะตกใจกับภาพที่เห็น แต่ก็อดพอใจในผลลัพธ์ไม่ได้ เขาหันศีรษะก่อนจะยิ้มและพูดว่า “เด็กผู้หญิงตัวเล็กผู้นั้นไม่ใช่สมาชิกของตระกูลหลู กองกำลังที่เด็ดขาดที่พร้อมจะสังหารหรอกหรือ”
“ฮ่า ฮ่า ท่านจักรพรรดิพูดอะไรหรือ?” หลูซานเทียนหัวเราะ และน้อมรับคำชมจากองค์จักรพรรดิอย่างไม่ถ่อมตน
ขณะที่กู่หยวนไคที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมา มีเพียงแต่ความอับเฉาจากดวงตา และรอยยิ้มจาาง ๆ เพียงเท่านั้น
“นี่เป็นเพียงแค่ฉากแรก มันช่างดีอะไรเช่นนี้” หยุนเทียนซ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ข้าภูมิใจนะ ท่านไม่ยอมรับมันหรือ?” หลูซานเทียนเขาไม่ชอบหันหลัง ไม่ว่าใครจะพูดอะไรเกี่ยวกับหลานสาวที่สร้างความกังวลให้กับใคร