บทที่ 30 นักสืบมือฉมัง อิซาเบล
บทที่ 30 นักสืบมือฉมัง อิซาเบล
การเพิ่มขึ้นของประชากรในเกมซิม ทำให้ความสามารถในการรับรู้ของลู่เหยาสูงขึ้น เขาจึงสามารถสังเกตรายละเอียดที่แต่ก่อนไม่เคยสังเกตเห็นเลยได้ และกลุ่มผู้ที่ผิดปกติส่วนใหญ่มารวมอยู่ที่ตัวของอวี๋เหยา
อวี๋เหยาไม่เคยพูดกับลู่เหยาเลย โจวเฉียงอธิบายว่าเธอเป็นคนขี้อาย
เธอมักจะทำอาหารตอนกลางดึก จะฮัมเพลงแปลกๆ อยู่ในครัว
บนตัวอวี๋เหยามีกลิ่นคาวเลือดติดอยู่เสมอ ส่วนมากจะจางมาก แสดงว่าเธอเช็ดร่องรอยบนตัวเองอย่างจงใจ แต่กลิ่นเลือดในปากเธอจะแรงที่สุด และยากที่จะกำจัดได้มากที่สุด
กลิ่นเลือดไม่เพียงปรากฏบนตัวเธอเท่านั้น แต่ยังมีในอ่างล้างจานในครัว ในห้องน้ำ และในถุงขยะในห้องนั่งเล่นด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเกี่ยวพันกับรอยเท้าส่วนตัวของอวี๋เหยา
ส่วนโจวเฉียงกลับไม่สังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ เลย
ลู่เหยารู้สึกว่า ในตัวของอวี๋เหยามีลักษณะประหลาดบางอย่างที่พูดไม่ถูก แต่แท้จริงแล้วคืออะไร เขาก็บอกไม่ได้
อีกทั้งการสืบหาความจริงด้วยตัวคนเดียว ก็ทำให้เขารู้สึกอันตรายด้วย
ดังนั้นลู่เหยาจึงตัดสินใจว่า จะให้ผู้เชี่ยวชาญจัดการเรื่องนี้
เรื่องนี้ไม่มีหลักฐานหรือการพิสูจน์อาชญากรรม ไม่สะดวกที่จะไปรบกวนลุงตำรวจ
พร้อมกับพิธีเรียกง่ายๆ บนคอมพิวเตอร์เพียงคลิกเดียว อิซาเบลก็คุกเข่านั่งบนโต๊ะคอมพิวเตอร์อีกครั้ง
"ท่านเทพ อิซาเบลมาตามพระประสงค์ของพระองค์แล้ว"
ต่างจากความรีบร้อนตื่นตระหนกครั้งก่อน คราวนี้สาวน้อยอัครสาวกดูสงบนิ่งกว่ามาก
"ตอนนี้มีคนต้องสงสัยคนหนึ่ง เธอออกไปดูหนังกับเพื่อนของฉัน คงใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงครึ่ง ดังนั้นฉันจึงเรียกเธอมา..."
ลู่เหยาเล่าเรื่องราวให้เธอฟังคร่าวๆ
"สถานการณ์ก็ประมาณนี้แหละ สืบให้ชัดเจนว่าเธอมาจากไหน"
"รับทราบ ท่านเทพ"
พูดจบ อิซาเบลก็เริ่มเปลี่ยนชุดตามคำสั่งของลู่เหยา
ลู่เหยาเดินออกไปนอกห้องอย่างรู้มารยาท พูดผ่านประตูว่า "ความสามารถการรับรู้ของผมเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนช่วงนี้ การเพิ่มขึ้นของประชากรส่งผลตอบกลับมาเร็วขนาดนี้เลยเหรอ"
เสียงอิซาเบลดังออกมาจากในห้อง "ท่านเทพ สำหรับเทพที่อยู่ในมิติสูง ประชากรในมิติต่ำก็คือร่างที่สองของเทพ ส่วนศรัทธาคือพลังของเทพที่ขยายออกไปภายนอก"
ลู่เหยาถามเธอ "งั้นถ้าประชากรเป็นศูนย์ จะเกิดอะไรขึ้น"
"ท่านเทพ ต่อให้ศาสนสถานของเทพถูกทำลายจนราบ ศาสนิกชนก็ถูกทำลายล้างยากมาก เพราะเมื่อศรัทธาเริ่มแพร่กระจาย มันก็จะแพร่ไปทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะมนุษย์ แต่ยังรวมถึงสรรพชีวิตที่มีสติปัญญาบางส่วนด้วย"
"ศรัทธาในตัวมันเองจะไม่หายไปอย่างสมบูรณ์ แต่จะอ่อนแอมาก ยากที่จะรวมตัวกันมากอีกครั้ง เหมือนเมล็ดพันธุ์ที่กระจัดกระจายไปทั่ว"
"ตราบใดที่เทพใช้พลังศรัทธา ทำให้ศาสนิกชนสร้างศาสนสถานขึ้นใหม่ ก็จะสามารถกลับมาได้อีกครา"
ลู่เหยาเข้าใจแล้ว
เริ่มเรื่องราวใหม่อีกครา
ลิซ่าก็อยู่ในสถานการณ์แบบนี้
"มีข่าวลือว่า ในสงครามเทพของเทพทั้งหลายบนหอคอยเทพ จะมีเทพบางส่วนถูกทำลายศรัทธาและศาสนิกชนทั้งหมดในสงคราม"
อิซาเบลพูดต่อ "ในสงครามเทพ ศรัทธาของเทพบางส่วนจะถูกโจมตีอย่างหนัก เทพที่ถูกขับไล่ไปทั้งหมดนี้คือเทพเก่า"
ลู่เหยาจดจำเอาไว้
นั่นคือเรื่องหลังจากหอเทพแล้ว ต้องพ้นจากสถานะเทพฝึกหัดก่อน
ตอนนี้ตัวเองยังเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ที่ได้รับการปกป้อง
โดยปกติแล้ว โซนปลอดภัยก็ถือว่าปลอดภัยอยู่
กรณีที่ใกล้เคียงที่สุดคือลิซ่าที่ถูกจับ หลังจากปาฏิหาริย์ของเธอถูกทำลาย เธอก็ตกลงมาโซนปลอดภัย ต้องเริ่มต้นใหม่จากชนเผ่าป่าเถื่อน
ตอนนี้ลู่เหยาเข้าใจความเร่งร้อนของลิซ่าแล้ว
การเพิ่มขึ้นของประชากรนำมาซึ่งการเสริมพลังทางร่างกายที่เหลือเชื่อ แต่การสูญเสียประชากรและศรัทธาจำนวนมากในครั้งเดียว ก็ทำให้ผู้เล่นเทพตกจากยอดเขาลงสู่หุบเหวลึก
มนุษย์มักจะทนต่อการสูญเสียไม่ได้มากที่สุด
อิซาเบลเปลี่ยนมาใส่เสื้อฮู้ดสีเทา สวมแว่นตากันแดด แต่งตัวเหมือนสาวปกติ
การสืบสวนเริ่มต้นขึ้น
เธอประสานมือสิบนิ้ว ก้มหน้าหลับตา กล่าวบทภาวนาเบาๆ
ลู่เหยาไม่เข้าใจ แต่รับรู้ได้ มีบางอย่างแผ่ออกมาจากตัวอิซาเบล ก่อปฏิกิริยาและปฏิสัมพันธ์กับโลกรอบตัว เหมือนหินก้อนหนึ่งที่ถูกโยนลงไปในผิวน้ำนิ่ง
ค่อยๆ รอบกายของอิซาเบลเริ่มมีแสงสีขาวรางๆ จะเรียกว่าแสงก็ไม่ถูกนัก เหมือนกลุ่มควันสีขาวขุ่นที่ลอยไหลมากกว่า
นี่คือความสามารถของเธอ ภาวนาใกล้ตาย
ต่างกับแสงสีขาวง่ายๆ ในโลกพิกเซล ในโลกความจริง ทุกอย่างชัดเจนมองเห็นได้ โดยเฉพาะการรับรู้ของลู่เหยาที่เพิ่มขึ้น ยิ่งมองเห็นกระบวนการและความเปลี่ยนแปลงอย่างละเอียดได้ดียิ่งขึ้น
ควันขาวจากตัวอิซาเบลแทรกซึมเข้าไปในผนังและพื้น
ในห้องค่อยๆ เริ่มมีควันดำลอยออกมาเป็นสาย ควันดำเหล่านี้เล็กมาก หากไม่สังเกตให้ดีจะคิดว่าเป็นเส้นดำๆ ที่ลอยขึ้นไหวไปมา
เส้นดำพันกันเอง หนาแน่นกลายเป็นกลุ่มควันดำที่ลอยเคลื่อนไหวอยู่ตลอด
อิซาเบลพูดบางอย่างกับกลุ่มควันดำ แต่ไม่มีเสียง ลู่เหยามองเห็นเพียงริมฝีปากของเธอขยับ
ไม่นาน กลุ่มควันดำก็หายไป
อิซาเบลหันหน้ามา อธิบายกับลู่เหยา "ท่านเทพ ดวงวิญญาณที่นี่บอกว่า ผู้หญิงคนนั้นกินเนื้อดิบและดื่มเลือด"
"เธอกินเนื้อดิบทุกคืน ในครัวนี้ ดูดกินเลือดที่ติดมากับเนื้อ"
"ที่กินเยอะที่สุดคือปลาดิบ"
ลู่เหยาเกาหัว
หรือว่าตัวเองคิดมากไปเอง
เขาเคยได้ยินมาว่า ในบางพื้นที่ การกินเนื้อดิบเป็นส่วนหนึ่งของประเพณี สำหรับคนท้องถิ่นแล้ว มันถือเป็นอาหารอร่อยชนิดหนึ่งด้วยซ้ำ
บางทีอวี๋เหยาอาจมาจากพื้นที่เหล่านั้นก็ได้
เพราะกลัวว่าโจวเฉียงกับลู่เหยาจะเห็นเธอกินเนื้อดิบและดูดเลือด เธอจึงแอบซ่อนตัวไปกินเนื้อดิบ
"ท่านเทพ มีกลิ่นของศาสนิกชนปีศาจ"
อิซาเบลมองไปที่ถนนนอกหน้าต่าง สายตาของเธอเฉียบคมขึ้น
ลู่เหยามองตามสายตาของเธอไป
บนถนน โจวเฉียงกับอวี๋เหยากำลังจูงมือเดินกลับมา เป้าหมายที่อิซาเบลจ้องมองคือหนึ่งในสองคนนั้น นั่นคืออวี๋เหยา
"จะสังหารเป้าหมายเลยไหม"
"รอก่อน... อวี๋เหยาเป็นศาสนิกชนของปีศาจเหรอ"
"ใช่แล้ว ท่านเทพ ในฐานะอัครสาวก ถึงแม้ข้าจะไม่สามารถบอกตัวตนที่แท้จริงของเทพ แต่ข้ามองเห็นเปลวไฟแห่งศรัทธาได้ เธอไม่มีเครื่องรางที่ปิดบังได้ ไฟแห่งศรัทธาในตัวเธอชัดเจนมาก"
ในที่สุด สิ่งที่ลู่เหยากลัวที่สุดก็เกิดขึ้นจริงๆ
เขารีบพูด "ควบคุมตัวเธอไว้ ค้นหาเป้าหมายและตัวตนของเธอให้ชัดเจน"
"รับทราบ"
อิซาเบลแงะตาซ้ายออกยื่นให้ลู่เหยา จากนั้นก็ผลักประตูลงไปข้างล่าง
ลู่เหยาล็อกประตูห้องนอนไว้ เริ่มมองระยะไกลผ่านลูกตาข้างนั้น
บนถนน
อิซาเบลเดินสวนกับโจวเฉียงสองคน สีหน้าของอวี๋เหยาเปลี่ยนไป เหมือนจะมองออกถึงตัวตนของอิซาเบลได้ เธอเม้มปาก นิ้วมือที่จับโจวเฉียงอยู่ก็บีบแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
"ไม่เจอกันนาน มาคุยกันหน่อยมั้ย"
อิซาเบลหยุดอยู่ข้างอวี๋เหยา
โจวเฉียงร้องเอ๊ะ มองไปที่อวี๋เหยา "พวกเธอรู้จักกันเหรอ"
อวี๋เหยาฝืนยิ้มออกมา "เธอเป็นญาติห่างๆ ของฉัน"
"นายกลับไปก่อนเลย ฉันอยากคุยกับญาติสาวคนนี้สักหน่อย"
โจวเฉียงพยักหน้า แล้วเดินกลับไป
"ตามฉันมา"
อิซาเบลเดินนำไปข้างหน้า อวี๋เหยาเดินตามไปเงียบๆ
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในมุมตรอกข้างลานจอดรถ แม้จะเป็นกลางวัน ที่นี่ก็ไม่มีใครอยู่ ไม่มีกล้องวงจรปิด รถที่สกปรกเต็มไปหมดกลายเป็นที่กำบังตามธรรมชาติ
อิซาเบลเดินไปถึงรถพังคันหนึ่งสุดในสุด คว้าที่จับประตูท้ายรถ เสียงเอี๊ยดๆ ดังขึ้นเมื่อเธอฝืนเปิดประตูรถออก
"นั่งลง"
ทั้งสองคนนั่งลงในรถ
ความเงียบ
"ขอเวลาฉันอีกสามวันได้ไหม" อวี๋เหยาขอร้อง "ปล่อยให้ฉันมีชีวิตต่ออีกสามวัน ได้ไหม"