ตอนที่ 13: โดนซูลต้มจนเปื่อย
ตอนที่ 13: โดนซูลต้มจนเปื่อย
“นี่มันบ้าอะไร?”
“บ้าบอ!”
“บ้าบอเหรอ???”
ทันทีที่ซูลเอ่ยคำเช่นนี้ หวังยวนกับโครงกระดูกทั้งสองต่างมองไปที่ซูล
“สหายผู้นี้สัมผัสพวกเราได้!”
“พี่หนิวจะไม่บดพวกเราเป็นผงกระดูกเพื่อทำไส้กรอกแป้งหรอกใช่ไหม”
“แย่แย่แย่! รู้งี้ทำตัวให้ไม่เด่นแต่แรกคงจบไปแล้ว”
“ทำยังไงดี? พวกเรายังต้องไปช่วยโลกอยู่ไม่ใช่เหรอ? คงไม่ถูกฆ่าเพราะแบบนี้หรอกใช่ไหม?”
เสียงของโครงกระดูกทั้งสองสั่นเทา เห็นได้ชัดว่าหวาดกลัวมากแค่ไหน
ในฐานะที่ทั้งสองได้เกิดใหม่ ต้าไป๋กับเสี่ยวไป๋มีเพียงสองเป้าหมายเท่านั้น นั่นก็คือมีชีวิตรอดกับช่วยโลก... ยิ่งไปกว่านั้นหวังยวนปฏิบัติต่อพวกเขาเป็นอย่างดี ซึ่งพวกเขาพึงพอใจกับสถานการณ์ของตนเองในตอนนี้มาก
หากหวังยวนยกเลิกการอัญเชิญหรือถูกสังหารเพราะคำพูดของซูลขึ้นมา มันคงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าไม่น้อย
แน่นอนว่าคนที่ตกตะลึงที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหวังยวน
เขาไม่ได้ตกตะลึงเรื่องที่โครงกระดูกทั้งสองมีวิญญาณ แต่เป็นเรื่องที่ซูลผู้นี้ถึงกับค้นพบความลับของตนเองต่างหาก
สหายผู้นี้ช่างยากแท้หยั่งถึง
ไม่แปลกใจเลยที่จะถูกเรียกว่าวีรชนในตำนานโดยโครงกระดูกสองผู้มาจากอนาคต
“คุณบอกว่า... พวกมันมีวิญญาณงั้นเหรอ?” หวังยวนแสร้งทำเป็นสับสนขณะเอ่ยถาม
“ถูกแล้ว ลูกชายของฉัน! ฉันสัมผัสได้ถึงความผันผวนวิญญาณของพวกมัน” ซูลเอ่ยคำ “แถมความแข็งแกร่งยังมากกว่าคุณด้วย! นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกมันเคยเป็นนักรบทรงพลังตอนที่ยังมีชีวิต หากคุณไม่มีความสามารถควบคุมพวกมัน ภายภาคหน้าจะต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน!”
“พี่หนิว พ่อหนิว อย่าไปฟังคำพูดเหลวไหลของเขา”
“พี่หนิว พวกเราเป็นพี่น้องแสนดีต่อกัน พวกเราจะคิดร้ายกับคุณได้ยังไง?”
โครงกระดูกทั้งสองชำเลืองมองซูล พวกเขาไม่เคยเกลียดวีรชนในตำนานเท่าที่เป็นอย่างตอนนี้มาก่อน
“นั่นเท่ากับว่าเราเป็นตัวเอกในตำนานไม่ใช่เหรอ?”
หลังจากได้ยินคำพูดของซูล หวังยวนไม่เพียงไม่กลัวเกรงเท่านั้น แต่ยังแสร้งทำเป็นตื่นเต้นพร้อมกับตะโกนออกมา "ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงต้องมีความแตกต่างและสามารถอัญเชิญโครงกระดูกที่มีวิญญาณได้ ซึ่งฉันคือคนเก่งที่สุดในหมู่ผู้คนทั้งหลาย! "
“หา?”
ซูลค่อนข้างตกตะลึงกับชุดความคิดของหวังยวน
“สมกับเป็นพี่หนิวของพวกเรา! ยังไร้ยางอายเหมือนเดิม”
“ถึงกับเอาเรื่องนี้มาเกี่ยวโยงกับตัวเองได้ เขาช่างสมกับเป็นคนเก่งที่สุดในหมู่ผู้คนทั้งหลาย”
โครงกระดูกทั้งสองผู้รอดพ้นจากความตายถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินเช่นนี้ แล้วความประทับใจที่มีต่อหวังยวนจึงพุ่งสูงขึ้น
“ถ้าอย่างนั้น หากเทียบกับอันเดดทั่วไปแล้ว คุณชอบอันเดดที่มีวิญญาณมากกว่าเหรอ?” ซูลจับจ้องหวังยวนพลางเอ่ยถาม
"ถูกต้อง! มันเจ๋งดีออก!" หวังยวนกำหมัดด้วยความตื่นเต้น
"ดีมาก!"
เมื่อได้ยินคำตอบของหวังยวน สีหน้าที่เดิมจริงจังของซูลจึงผ่อนคลาย "คุณผ่านการทดสอบแรกของฉันแล้ว! สมแล้วที่คุณเป็นบุตรแห่งโชคชะตาที่ถูกเลือกโดยซาก้า ช่างแตกต่างจากคนทั่วไปเหล่านั้น คุณเกิดมาเพื่อเป็นเนโครแมนเซอร์"
ทันทีที่สิ้นคำ ซูลจึงเอ่ยคำต่อ "ฉันอุทิศทั้งชีวิตให้กับการศึกษาเวทมนตร์อันเดดและพบว่าความแข็งแกร่งของสิ่งมีชีวิตอันเดดมีความสัมพันธ์กับความแข็งแกร่งของวิญญาณอย่างใกล้ชิด ยิ่งวิญญาณแข็งแกร่งเท่าไร ศักยภาพการเติบโตยิ่งมากตามไปด้วย ดังนั้นฉันจึงอยู่ที่นี่เพื่อพยายามอัญเชิญอันเดดที่มีวิญญาณนักรบ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ไม่ว่านักรบจะทรงพลังแค่ไหนก็จะกลับสู่ความว่างเปล่าหลังจากตายไปแล้ว ทำให้ร่างของพวกมันไม่สามารถอัญเชิญวิญญาณทรงพลังได้”
หวังยวน "..."
แสดงว่าตาเฒ่าคนนี้พยายามหลอกเราจริงด้วย
โชคดีที่ตัวเองทราบอยู่แล้วว่าโครงกระดูกทั้งสองมีความพิเศษ หากเป็นคนอื่น มีหวังถูกเขาหลอกจนสูญเสียสกิลการต่อสู้เป็นแน่
ระบบหนังหมา ห่วยแตกเกินไปแล้ว!!
แต่จากที่ซูลบอกว่า ดูเหมือนว่าเขาจะพยายามอัญเชิญอันเดดที่มีวิญญาณ แต่ยังไม่เคยทำสำเร็จสักครั้ง
“ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวฉันติดหล่มอยู่ในความเข้าใจผิด การหมกมุ่นกับร่างกายพวกมันเป็นทางเลือกที่ผิด ต้องพยายามชักนำวิญญาณพวกมันต่างหาก แต่ตอนนี้กลับหาเบาะแสไม่เจอ” ซูลพึมพำกับตัวเอง “แต่ได้ยินมาว่ามีแท่นบูชากระดูกอยู่ในส่วนลึกของป่าอสนี น่าจะมีตะเกียงชักนำวิญญาณอยู่บนแท่นบูชา คุณช่วยไปเอามาให้ฉันได้หรือเปล่า?”
ระบบแจ้งเตือน: คุณทริกเกอร์ขั้นที่สองของภารกิจเปลี่ยนอาชีพลับ “ชักนำวิญญาณ” ระดับภารกิจ: A รายละเอียดภารกิจ: เก็บกู้ “ตะเกียงชักนำวิญญาณ” รางวัลภารกิจ: ไม่ทราบ
"อา... นี่มัน..."
หวังยวนเริ่มหน้านิ่วคิ้วขมวด “ไม่สิ การเปลี่ยนอาชีพมันยุ่งยากขนาดนี้เลยเหรอ?”
ตอนที่ดูคำแนะนำในกระทู้ การเปลี่ยนอาชีพเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก มันแทบไม่ต่างกับการสนทนากับที่ปรึกษามืออาชีพ จากนั้นจึงเลือกอาชีพ
แล้วมันมาลงเอยด้วยการที่ตนเองมารับภารกิจที่นี่ได้ยังไง หนำซ้ำไม่ใช่แค่ภารกิจเดียว แต่เป็นภารกิจต่อเนื่องอีก
ขั้นที่หนึ่ง หลอกให้เราทำลายโครงกระดูก
ขั้นที่สอง เห็นได้ชัดว่าพยายามส่งเราไปตาย
ขั้นที่สามอาจจะเจ้าเล่ห์มากกว่านี้
การโกหกครั้งใหญ่นี้เต็มไปด้วยเจตนาไม่ดี
“คุณแตกต่างจากคนทั่วไป” ซูลเอ่ยคำอย่างใจเย็น “คุณคือบุตรแห่งโชคชะตาที่ครอบครองหนังสือประวัติศาสตร์วีรชน เป็นคนเก่งที่สุดในหมู่ผู้คนทั้งหลาย ฉันจึงเต็มใจยอมรับคุณในฐานะศิษย์ส่วนตัว เพราะอย่างนั้นถึงต้องให้คุณทดสอบหลายอย่างเพื่อดูว่าคุณมีคุณสมบัติจริงหรือเปล่า”
"จริงเหรอ?" หวังยวนสอบถาม
“คุณไม่ต้องเชื่อที่ฉันพูดก็ได้ แต่จงเชื่อไว้ว่าคุณเป็นคนเก่งที่สุดในหมู่ผู้คนทั้งหลาย” ซูลเอ่ยคำอย่างหนักแน่น “คุณดูจากสีหน้าจริงจังของฉันก็ได้ว่าฉันไม่ได้พูดโกหก”
“นั่นมันก็จริง! สิ่งที่คุณพูดมามีเหตุผล ฉันคิดเหมือนกันว่าตัวฉันเองเป็นคนเก่งที่สุดในหมู่ผู้คนทั้งหลาย” หวังยวนพยักหน้า “แต่ก่อนจะรับภารกิจคงต้องเรียนรู้สกิลก่อน”
“แน่นอน คุณสามารถเลือกได้เท่าที่ต้องการ”
ซูลเปิดเสื้อผ้าอย่างกระตือรือร้นทันที ซึ่งภายในเสื้อผ้าเต็มไปด้วยหนังสือสกิลเหมือนกับที่ขายใต้สะพานลอยในอดีตกาล
หวังยวนใช้ยี่สิบเหรียญเงินเพื่อเรียนรู้สกิลของเนโครแมนเซอร์“คำสาป” 5 เลเวลกับ “คืนชีพ” 10 เลเวล
สกิลใช้งาน: คำสาป ใช้ 20 หน่วยเพื่อร่ายคำสาปใส่เป้าหมาย ภายใน 60 วินาที คุณสมบัติทั้งหมดของเป้าหมายจะลดลง 10 แต้ม สถานะไม่สามารถซ้อนทับกันได้และไม่มีคูลดาวน์
สกิลใช้งาน: คืนชีพ ใช้ศพหนึ่งร่างเพื่อฟื้นฟูค่าพลังชีวิตให้กับยูนิตที่ถูกอัญเชิญ ไม่มีคูลดาวน์
สกิลดีบัฟหนึ่งกับสกิลฟื้นฟูหนึ่ง
สกิลดีบัฟนับว่ามีประโยชน์ มันถูกจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับเวทคำสาปทมิฬที่สามารถร่ายหลังจากใช้เวทมนตร์ไปก่อนหน้าแล้วได้ ส่วนสกิลฟื้นฟูค่อนข้างยุ่งยากกว่า พวกมันถึงกับต้องการซากศพ... ในที่สุดหวังยวนก็เข้าใจว่าเนโครแมนเซอร์สายอัญเชิญกับซากศพคือของคู่กันที่ไม่อาจแยกกันได้
หลังจากเรียนรู้สกิลใหม่แล้ว หวังยวนก็ใช้อีกห้าเหรียญเงินเพื่ออัปเกรดอัญเชิญโครงกระดูกเป็นเลเวล 2
สกิลใช้งาน: อัญเชิญโครงกระดูก ใช้ค่าพลังมานา 10 หน่วยเพื่อชุบชีวิตคนตายให้กลายเป็นนักรบโครงกระดูก ซึ่งสามารถอัญเชิญได้มากสุด 3 ตัว
ในฐานะสกิลหลักของเนโครแมนเซอร์ อัญเชิญโครงกระดูกจึงถือได้ว่าเป็นสกิลสำคัญ
ยิ่งเลเวลสกิลสูงเท่าไหร่ ระดับกับจำนวนโครงกระดูกที่อัญเชิญได้ก็จะมากตามไปด้วย
ทว่าวิธีการฝึกสกิลใน <<ดอว์นเบรกกิ้ง>> ค่อนข้างสับสนอยู่บ้าง โดยทั่วไปแล้วจะสามารถจ่ายเงินเพื่อเรียนรู้จากที่ปรึกษาได้ในสามเลเวลแรก แต่หลังจากถึงเลเวลสามแล้วก็ต้องหาทางเพิ่มมันด้วยตัวเอง
สำหรับอาชีพอื่น การใช้สกิลไม่มีอะไรมากไปกว่าการใช้ค่าพลังมานาบางส่วน
แต่ถ้าต้องการใช้สกิลอัญเชิญโครงกระดูก ไม่อาจทราบได้เลยว่าต้องใช้ซากศพจำนวนเท่าไหร่
ไม่แปลกเลยที่กิลด์ขนาดใหญ่เหล่านั้นยึดครองจุดฝังศพเอาไว้ เพราะว่าพวกมันล้วนเป็นทรัพยากรในการฝึกฝน
เครื่องมือลับคมคือก้าวแรกสู่ความสำเร็จ หลังออกจากสุสานแล้ว หวังยวนจึงมาที่ค่ายวอริเออร์กับหอคอยเวทมนตร์เพื่อซื้อสกิลของวอริเออร์ “โจมตีหนัก” ห้าเลเวลกับชาร์จสิบเลเวล รวมถึงสกิลของนักเวท “ไฟบอล” 5 เลเวลกับ “วงแหวนต้านไฟ” 10 เลเวลให้โครงกระดูกทั้งสองเรียนรู้
หลังจากเสร็จสิ้นทั้งหมดนี้ หวังยวนจึงมุ่งหน้าออกไปนอกเมือง