ตอนที่ 80 ไม่ปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม
ตอนที่ 80 ไม่ปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม
ถานหมิงหน้าแดงก่ำ สติเมามายขั้นสุดแล้วเป็นลมหมดสติไปตรงนั้น ดวงตาของเขาเหลือกขึ้น ท้องบวมเป่ง ตัวก็บวมและยังมีสุราไหลออกมาจากปากของเขาไม่หยุด
“มานี่สิ คุณชายถานโลภดื่มสุราเกินไปจนหมดสติ ส่งเขากลับไปเถอะ” ซูอันพูดกับคนรับใช้แบบลวกๆ แล้วสั่งให้ลากถานหมิงที่นอนเกะกะออกไป จากนั้นมองไปที่ซูเมิ่งเหยาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “เจ้าปลอดภัยหรือไม่”
“ปลอด ปลอดภัยเจ้าค่ะ” ซูเมิ่งเหยาเหมือนจะท่วมท้นไปด้วยความประหลาดใจครั้งใหญ่จนได้แต่มองซูอันแบบเพ้อฝัน
มีสิ่งใดที่ทำให้มึนเมาไปกว่าการถูกชายในดวงใจยืนหยัดเพื่อตนในช่วงวิกฤต
ในสายตาของซูเมิ่งเหยาตอนนี้คือซูอันกำลังเดินบนเมฆมงคลสีสันสดใส ดวงตากลมโตของนางถูกปกคลุมไปด้วยแสงระยิบระยับนับไม่ถ้วนและไม่สามารถมองเห็นร่างอื่นได้อีก
หลิงเฉินที่ช่วยปกป้องก่อนหน้านี้คือใคร? มีคนแบบนั้นด้วยหรือ?
“ปลอดภัยก็ดีแล้ว ปกติข้าไม่ชอบเห็นพวกอันธพาลที่รังแกผู้ชายข่มเหงผู้หญิง” ซูอันกล่าวแบบสบายๆ
ซูเมิ่งเหยาเชื่อว่าวีรบุรุษเช่นท่านโหวซูย่อมเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่ง
“เสแสร้งแกล้งทำ” หลิงเฉินยกมือปิดหน้าที่ถูกตบและพึมพำเบาๆ เขาไม่พอใจที่ถูกซูอันแย่งความสนใจไป
หลังจากช่วยซูเมิ่งเหยาแล้ว ซูอันไม่ได้เสียเวลามากนักและจากไปทันที ราวกับว่าเขาตั้งใจมาช่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจ
พวกคนตระกูลซูที่เหลือเข้ามาล้อมซูเมิ่งเหยาไว้ทันที ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นที่ไม่เคยมีมาก่อน
คำพูดมีแต่ประมาณว่า ‘ควรมีปฏิสัมพันธ์กับท่านโหวซูให้มากขึ้น’ ‘คนหนุ่มสาวควรกระตือรือร้นให้มาก’
ฟูเหรินผู้เฒ่าจับมือของซูเมิ่งเหยาแล้วพูดด้วยสีหน้าใจดี “เมิ่งเหยา อนาคตของตระกูลซูขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วนะ”
“ขี้ประจบ” หลิงเฉินดูแคลนพฤติกรรมของคนเหล่านี้
จากนั้นเขาหันไปมองซูเสวี่ยจู๋ซึ่งยืนอยู่ที่เดิมไม่ก้าวเข้าไปประจบ เขาแอบถอนหายใจและนึกชื่นชมว่านางสมเป็นคู่หมั้นของเขาจริงๆ นางแตกต่างจากพวกที่มีสายตาตื้นเขินเหล่านั้นมาก
งานเลี้ยงจวนเซ่ากั๋วกงดำเนินไปจนถึงช่วงเย็น ซึ่งในช่วงเวลานี้เซ่ากั๋วกงออกมารับคำอวยพรจากแขกด้วยตัวเอง
แขกทุกคนส่งของขวัญแสดงความยินดี
และไม่รู้ว่าหลิงเฉินคิดอะไรอยู่ แต่เขาอยากเป็นจุดสนใจสักครั้ง เขาจึงหยิบจี้หยกสภาพโทรมๆ ห่อด้วยโคลนออกมาแล้วบอกว่ามันเป็นหยกพลังจิตโบราณ ทำให้ทุกคนเยาะเย้ยทันทีที่ได้เห็น
ทันใดนั้นมีผู้สูงศักดิ์คนหนึ่งโผล่ออกจากฝูงชนแล้วบอกว่ามันเป็นหยกพลังจิตโบราณจริงๆ ซึ่งทำให้หลิงเฉินได้หน้า จากนั้นหลิงเฉินพูดถ่อมตัวว่าแค่เป็นของเก่าเก็บเท่านั้น
จากนั้นเขาหันไปมองทางตระกูลซูเพราะอยากเห็นสีหน้าประหลาดใจของซูเสวี่ยจู๋
แต่เขากลับเห็นว่าซูเสวี่ยจู๋ไม่ได้มองเขาเลย ซ้ำยังพูดคุยกับท่านโหวซูคนนั้นอีกครั้งและระยะห่างระหว่างทั้งสองใกล้กันมากโดยห่างกันเพียงฝ่ามือเดียวเท่านั้น นี่เป็นระยะห่างที่เขาไม่กล้าฝันด้วยซ้ำ
ทันใดนั้นดวงตาของหลิงเฉินระเบิด ลมหายใจของเขาหนักหน่วงและศีรษะรู้สึกหนักอึ้ง
หลังจากส่งของขวัญและแสดงความยินดีกันแล้วทุกคนจึงแยกย้าย
ไม่มีใครพูดถึงถานหมิงด้วยซ้ำ
เมื่อกลับมาที่จวนโหวแล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของซูอันหายไปจนสิ้น
“บุปผามรณะ ส่งคนไปค้นหาหลักฐานอาชญากรรมของตระกูลถาน จำไว้ว่าต้องเป็นความผิดร้ายแรง เข้าใจหรือไม่?”
“เจ้าค่ะ!”
ขึ้นชื่อว่าขุนนางแล้วจะมีสักกี่คนที่มือสะอาด ไม่จำเป็นต้องมีแค่ตระกูลถานเท่านั้น
หากสืบหาไม่เจอก็แค่สร้างหลักฐานขึ้นมาเอง จะยากอะไร?
ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้มายุ่งกับต้นกุยช่ายของเขา
“ยังมีลูกเขยสวะของตระกูลซูกับคุณหนูรองของตระกูลซูด้วย ข้าอยากรู้เรื่องของพวกเขาทั้งหมดภายในสามวัน”
“เจ้าค่ะ”
……
จวนหย่งเวยปั๋ว
คนตระกูลซูกลับถึงจวนแล้วเช่นกัน
ซูเมิ่งเหยาดึงซูเสวี่ยจู๋เข้าไปในลานบ้านของนางทันที ดวงตากลมโตที่มีแต่ความตื่นเต้นนั้นไม่อาจปกปิดได้
“พี่สาวมากับข้าหน่อยสิ ข้ามีเรื่องจะพูดด้วย”
หลิงเฉินจ้องมองไปที่ซูเสวี่ยจู๋ด้วยความว่างเปล่าโดยไม่รู้ว่าซูเสวี่ยจู๋จะเต็มใจแต่งงานกับเขาเมื่อใด
เพียะ!
ความคิดถูกทำลายอีกแล้ว
เพราะเขาถูกตบท้ายทอยอย่างแรง
“มัวแต่ยืนโง่ทำไม ยังไม่รีบไปดูแลนาวิญญาณอีก!” แม่ซูชี้หน้าหลิงเฉินแล้วตะโกนด่า
“ท่านแม่ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” หลิงเฉินรีบหยิบอุปกรณ์วิญญาณออกมาและเดินไปทางนาวิญญาณ
……
“พี่สาว...วันนี้ข้าเห็นท่านกับท่านโหวซู...” ในห้องนอน ซูเมิ่งเหยาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกัดฟันถามว่า “ท่านก็สนใจท่านโหวซูด้วยหรือ”
ซูเสวี่ยจู๋ไม่คาดคิดว่าญาติผู้น้องจะพูดตรงเช่นนี้ นางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหัวเราะแล้วพูดด้วยความโกรธ “เจ้าคิดบ้าอะไรอยู่! พี่สาวแค่ลองหยั่งเชิงแทนเจ้าเท่านั้น เพราะนี่คือความสุขชั่วชีวิตของน้องสาวข้านะ” นางแสร้งแสดงสีหน้าเศร้าโศกเล็กน้อยแล้วทอดถอนใจ “ข้าแค่หวังว่าเจ้าจะไม่ลงเอยเหมือนกับข้า”
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วความสงสัยของซูเมิ่งเหยาค่อยๆ หายไปและร่องรอยของความรู้สึกผิดเต็มหัวใจของนาง
ใช่แล้ว พี่สาวโชคร้ายมากและนางยังพูดแบบนั้นใส่อีก
“พี่สาว ข้าผิดเอง ข้าไม่ควรสงสัยท่าน”
“เฮ้อ ขอเพียงเจ้ามีความสุข พี่สาวคนนี้ก็วางใจแล้ว”
“พี่สาว!”
“น้องสาว!”
สองพี่น้องโผเข้ากอดกัน
เมื่อมองใบหน้าดอกสาลี่ต้องหยาดฝน [1] ของน้องสาวแล้ว มุมปากสีดอกกุหลาบของซูเสวี่ยจู๋ขดลง
น้องสาวเอ๋ยน้องสาว เจ้าไม่สามารถควบคุมซูอันได้หรอก เช่นนั้นปล่อยให้พี่สาวร้ายๆ คนนี้ช่วยจับเขาไว้ดีกว่า
หลังปลอบใจน้องสาวแล้ว ซูเสวี่ยจู๋จึงกลับไปที่เรือนของตน
……
คืนนี้มีพายุฝนโหมกระหน่ำ
สายฟ้าฟาดทะลุท้องฟ้าและมีแสงประหลาดปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าด้วย เพียงแต่แสงประหลาดนั้นดูไม่โดดเด่นเพราะมีสายฟ้าฟาดแย่งความสนใจ
ภาพของการถูกกักขัง ห้องลับ การฝึกฝน การหลบหนีและการทรยศ...
“เฮือก!”
ซูเมิ่งเหยาสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย จากนั้นมองรอบกายด้วยความสับสน
นี่ นี่คือที่ใด?
นางไม่ได้ถูกซูอันจับตัวไปและพากลับไปที่ห้องลับหรือ?
“เดี๋ยวก่อน พลังวิญญาณของข้า”
นางรู้สึกถึงพลังวิญญาณที่ไหลเวียนในร่างกายแผ่วเบา จากนั้นลุกจากเตียงแล้วเดินไปที่หน้ากระจก
ภาพที่สะท้อนในกระจกคือใบหน้าไร้เดียงสาและนั่นคือใบหน้าแบบที่นางเป็นในอดีต
ซูเมิ่งเหยามองสภาพแวดล้อมโดยรอบอีกครั้ง “ข้าย้อนเวลากลับมาหรือ?”
“ข้ากลับมาเป็นเมิ่งเหยาน้อยอีกครั้ง!”
นางกำหมัดด้วยความตื่นเต้น มีรอยยิ้มคลุมเครือบนใบหน้า
“คราวนี้...คราวนี้ข้าจะไม่ปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม รอก่อนเถอะซูอัน!”
ในชาติที่แล้ว นางได้รับการช่วยเหลือจากซูอันในงานเลี้ยงและนางตกหลุมรักเขาหมดหัวใจ
แต่เนื่องจากเกิดเรื่องไม่คาดฝัน นางไปรู้เห็นเรื่องคัมภีร์ปลูกฝังมารของซูอันเข้า เขาจึงจับนางไปขังไว้ในห้องลับ ซึ่งนางได้รับความอับอายจากเขาทั้งวันทั้งคืน
ถ้าแค่นั้นคงดี
ทว่าต่อมาซูอันได้สั่งให้นังหนูชื่อเยี่ยหลีเอ๋อร์ฝึกฝนนางและสอนกฎเกณฑ์ให้นาง
หลังจากนั้นยังมีอีกหลายครั้งที่นางทำได้เพียงเฝ้าดูซูอันกับเยี่ยหลีเอ๋อร์สนุกสนานกัน แต่เมื่อใดก็ตามที่นางรู้สึกมีอารมณ์ นางกลับไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
เยี่ยหลีเอ๋อร์บอกว่าเพราะนางถูกร่ายเวทให้ขยับไม่ได้!
เมื่อนึกถึงนังเด็กเจ้าเล่ห์และรอยยิ้มวิปริตนั้น ซูเมิ่งเหยาจึงกัดฟันด้วยความเกลียดชัง
ในที่สุดนางสามารถใช้โอกาสตอนที่ซูอันไม่อยู่แล้วหลบหนีออกจากห้องลับได้ จากนั้นนางเล่าให้ครอบครัวฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน
แต่ผลลัพธ์คือทุกคนในครอบครัวหันหลังใส่นางและจับนางมอบให้ซูอันด้วยซ้ำ แม้แต่พ่อแม่ของนางก็ไม่คัดค้าน ซึ่งทำให้นางใจสลาย
โชคดีที่ซูเสวี่ยจู๋ญาติผู้พี่ของนางแอบช่วยเหลือให้นางหลบหนีไปได้
ญาติผู้พี่แนะนำให้นางหนีออกนอกเมืองหลวงเพื่อหลีกเลี่ยงความสนใจ ยังบอกว่าอำนาจของซูอันมีล้นฟ้า นางไม่สามารถเป็นศัตรูด้วยได้และไม่มีใครเชื่อว่าเขาเป็นผู้ปลูกฝังมาร ดังนั้นนางควรหนีไปซ่อนให้ไกลดีกว่า
นางจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยไม่เปิดเผยตัวตน แต่ไม่คาดคิดว่าสายเลือดของนางจะมีความลึกลับซ่อนอยู่
เชิงอรรถ
[1] ดอกสาลี่ต้องหยาดฝน (梨花带雨) ใช้เปรียบเปรยถึงใบหน้าของสตรีที่ร้องไห้แต่ยังงดงาม