บทที่ 53 เริ่มการแข่งขันล่าสัตว์
เมื่อเห็นการมาถึงของลั่วเหยา ฉีฟู่ซ่งผู้นำตระกูลฉีก็รีบไปทักทายนางหมายประจบ เขากล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“คุณหนูลั่วเหยา คุณหนูเองก็มาร่วมงานชุมนุมล่าสัตว์ครั้งนี้ด้วยหรือ ช่างเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ”
ตระกูลฉีก็ทำธุรกิจทางด้านการค้าด้วยเช่นกัน ดังนั้น ฉีฟู่ซ่งจึงแอบได้ยินข่าวซุบซิบมาบ้าง
ลั่วเหยาคนนี้ มาจากตระกูลเก่าแก่แห่งศาลาหลิงอวิ๋น ฐานันดรของนางจึงหาใช่คนธรรมดาทั่วไป ที่นางมายังเมืองฉีซาน เนื่องจากนางถูกลงโทษจากความผิดพลาดของนาง
ศาลาหลิงอวิ๋นเป็นสมาคมการค้าขนาดใหญ่ ธุรกิจของศาลานั้นครอบคลุมไปทั่วดินแดนทางตะวันออก ลือกันว่าเบื้องหลังนั้นมีนิกายชั้นยอดคอยสนับสนุนอยู่อย่างลับๆ
หากเขาสามารถผูกไมตรีกับลั่วเหยาได้ ผลประโยชน์จะย้อนกลับมาหาตระกูลเขาในอนาคต แม้นเป็นแค่ผลประโยชน์เล็กน้อย มันก็เพียงพอที่ตระกูลฉีจะเจริญรุ่งเรืองแล้ว!
“ไม่ทราบว่าท่านนี้คือ…”
ลั่วเหยาเหลือบมองฉีฟู่ซ่ง แล้วเอ่ยถามเถ้าแก่ซู
เถ้าแก่ซูกระซิบ “ผู้ดูแลศาลา นี่คือ ฉีฟู่ซ่งผู้นำตระกูลฉี”
“ตระกูลฉีงั้นหรือ?”
ลั่วเหยาเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วมองยังฉีถิงที่อยู่ด้านหลังฉีฟู่ซ่ง จากนั้นนางก็แสดงรอยยิ้มอันมีเสน่ห์แต่สง่างามบนใบหน้า
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็คงเป็นฉีถิงแห่งตระกูลฉีใช่หรือไม่”
“คุณหนูลั่วเคยพบนางมาก่อนงั้นหรือ” ฉีฟู่ซ่งเอ่ยถามด้วยความรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
แท้จริงแล้ว ลั่วเหยานั้นไม่เคยได้พบหรือรู้จักกับฉีถิงมาก่อน
นางจะมาอยู่ที่เมืองฉีซานเพียงระยะหนึ่งเท่านั้น แม้แต่ผู้นำตระกูลหลักทั้งสามก็ไม่ควรค่าพอให้นางจดจำแม้แต่น้อย ที่นางได้รู้จักนามของฉีถิงนั่นก็เพราะหลัวเฉิง
“ข้าเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับบ่อนพนันหยกเขียว…”
ครั้นได้ยินเช่นนี้ ฉีถิงก็เม้มริมฝีปากบางของนางแน่น แววตาของนางเต็มไปด้วยความอับอายและโกรธเคือง นางแอบตัดสินใจว่า เมื่อการแข่งขันล่าสัตว์มาถึง นางจะต้องสั่งสอนหลัวเฉิง เพื่อล้างแค้นให้กับความอับอายครั้งก่อน!
ฉีฟู่ซ่งแสดงรอยยิ้มเจื่อนๆ จากนั้นชี้ไปยังที่นั่งข้างตระกูลฉีแล้วกล่าวว่า “พอดีตรงนี้ยังมีที่นั่งว่าง คุณหนูลั่วเชิญนั่งตรงนี้ก่อนเถิด”
ลั่วเหยาทำราวกับไม่ได้ยินเสียงนั้น นางสืบเท้ามุ่งไปยังตระกูลหลัว ครั้นบรรลุถึงจึงโค้งคำนับหลัวหมิงซาน พลางกล่าวว่า “ท่านผู้นำตระกูลหลัว อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
หลัวหมิงซานรีบลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูลั่ว อาการบาดเจ็บของข้านั้นดีขึ้นมากแล้ว มาๆ คุณหนูลั่วเชิญนั่งก่อน”
“เช่นนั้นข้าต้องขอเสียมารยาทแล้ว”
ลั่วเหยาแย้มยิ้มแล้วนั่งลงข้างตระกูลหลัว พร้อมกับชำเลืองมองหลัวเฉิงไปพลาง
สิ่งนี้ทำให้ ฉีฟู่ซ่งที่เดินตามมาต้องขายหน้าใช่น้อย
แม้นเขาจะพยายามอย่างหนักเพื่อทำให้นางพึงพอใจ แต่ไยนางจึงเมินเขาแล้วก้าวไปทักทายหลัวหมิงซานแทนเช่นนี้ ซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกอึดอัดประหนึ่งกำลังกินแมลงวัน
ในเวลาเดียวกัน ฉีฟู่ซ่งพลันรู้สึกฉงนใจยิ่งนัก ยามใดกันหนอที่ศาลาหลิงหลินกับตระกูลหลัว มีความสัมพันธ์ที่ดีเช่นนี้?
หลัวหมิงซานมองยังฉีฟู่ซ่ง แล้วกล่าวเสียงเย็นชาเนิบนาบว่า “ผู้นำตระกูลฉี ตรงนี้ไม่มีที่สำหรับท่าน”
ใบหน้าของฉีฟู่ซ่งก็น่าเกลียดมากในเวลานี้ เขาสูดจมูกอย่างเย็นชาและหันกลับออกไปทันที
หลัวเฉิงแย้มยิ้มพราย เขาเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ว่าทำไมลั่วเหยาจึงมาที่นี่วันนี้
ทำไมถึงรู้สึกว่ามีคนกำลังมองข้าอยู่ขณะนี้!
ในเวลาเดียวกัน หลัวเฉิงก็รู้สึกว่ามีคนกำลังเพ่งมองเขาอยู่ ครั้นเงยหน้าขึ้นมอง ก็สบตากับชายชราที่อยู่ข้างหลังลั่วเหยา
“ชายคนนี้เป็นใครกัน ทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นเขามาก่อน…”
หลัวเฉิงรู้สึกสับสนยิ่งนัก เขารู้สึกเหมือนถูกเพ่งมองเป็นครั้งคราวตั้งแต่บุคคลนี้มาถึง
ไม่นาน เที่ยงวันก็มาถึงเพียงพริบตา ทำให้บรรยากาศบนหอคอยสูงเต็มไปด้วยความครึกครื้นยิ่งนัก
ในที่สุดงานชุมนุมล่าสัตว์ก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้น!
ตามกฎเกณฑ์ในอดีต การประกาศเริ่มงานชุมนุมล่าสัตว์จะต้องเป็นตระกูลที่คว้าอันดับหนึ่งเมื่อครั้งที่แล้ว แต่ครานี้เจ้าเมืองอวิ๋นเต้าเจี้ยงเป็นผู้ประกาศเริ่มงานชุมนุมด้วยตนเอง
“ท่านทั้งหลาย วันนี้เป็นงานใหญ่ของเมืองฉีซาน พวกท่านล้วนรับรู้กฎเกณฑ์ในงานแข่งขันล่าสัตว์นี้ดีอยู่แล้ว ดังนั้นข้าจึงจะไม่กล่าวสิ่งใดไปมากกว่านี้ ข้าหวังว่าจะได้เห็นผู้เข้าแข่งขันมีความกล้าหาญ เหี้ยมโหดและได้อันดับที่ดีในการแข่งขันครั้งนี้”
น้ำเสียงของอวิ๋นเต้าเจี้ยงนั้นลึกล้ำและทรงพลังยิ่ง มันแผดดังกังวานก้องไปทั่วหอคอยสูง ทำให้ผู้คนทั่วอาณาบริเวณต่างได้ยินอย่างชัดเจนมิผิดเพี้ยน
หลัวหมิงซานสังเกตเห็นว่า หลินชางหลางและฉีฟู่ซ่งรวมตัวกันอยู่ ซึ่งตรงนั้นยังมีอัจฉริยะวัยเยาว์ที่เข้าแข่งขันของตระกูลหลินและฉีอีกด้วย
ดูเหมือนว่าทั้งสองตระกูลกำลังสนทนาเรื่องบางอย่างอยู่
หลัวหมิงชานขมวดคิ้วพร้อมกับเรียกหลัวเฉิง และอีกสองคนมารวมกันพลันกล่าวเตือน
“ตระกูลหลินและตระกูลฉี ดูเหมือนพวกเขาจะสมรู้ร่วมคิดกัน หลังเข้าสู่หุบเขาจันทร์เสี้ยวพวกเจ้าต้องระวังตัวให้ดี จงจำไว้ว่าชีวิตของเจ้าเองนั้นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด อย่าพาตนเองไปเสี่ยงกับอันตรายหากไม่จำเป็น เพราะพวกเจ้าคือความหวังของตระกูลหลัวเรา เข้าใจหรือไม่”
ทั้งสามคนพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง
“ดี เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
หลัวหมิงซานพาหลัวเฉิงและคนอื่นๆ ไปยังจุดเริ่มต้นการแข่งขัน
ซึ่งบังเอิญนัก ที่ตระกูลหลินและตระกูลฉีก็มาถึงเช่นเดียวกัน