ตอนที่ 9 การยั่วยุของตู่หมิง
ตอนที่ 9 การยั่วยุของตู่หมิง
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูห้อง ซ่งเจิงได้ยินเสียงเอะอะดังออกมาจากข้างใน เหมือนว่าจะเป็นเสียงอ้อนวอนของหลี่ว่านหลู “นาย… เข้ามาที่นี่ได้ยังไง นี่ห้องของซ่งเจิงนะ!”
เสียงผู้ชายดังขึ้น “ซ่งเจิงงั้นเหรอ? คนที่มัวแต่มุดหัวอยู่ในครัวของโรงแรมน่ะนะ? ฉันว่าเธอก็สวยใช่ย่อยแต่ไม่คิดว่าสเปคของเธอจะต่ำแบบนี้… มีผู้ชายตั้งเยอะแยะแต่กลับพลีกายให้ไอ้เวรนั่นเหรอ? มันมีดีอะไรเธอถึงยอมวิ่งเข้าหาอ้อมกอดมันน่ะ?”
หลี่ว่านหลูไม่ตอบอะไรพร้อมกับถอยไปด้านหลัง
ก่อนหน้านี้ซ่งเจิงมอบขนมเปี๊ยะทอดให้กับเธอ… ซึ่งขนมเปี๊ยะทอดครึ่งชิ้นนั้นคู่ควรที่จะได้รับความบริสุทธิ์ของเธอไป ถ้าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นในโลกสมัยยังรุ่งเรืองอยู่คงเป็นเรื่องขบขันไม่น้อย แต่ในวันสิ้นโลกอย่างนี้ทุกคนรู้ดีว่าอาหารมีค่ากว่าสิ่งใด
หลี่ว่านหลูไม่รู้ความลับของกระทะเหล็ก แต่เธอได้เห็นขนมเปี๊ยะทอดของซ่งเจิง และไม่ว่ามันจะมาจากที่ไหน หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไปซ่งเจิงคงจะต้องตกอยู่ในอันตรายแน่
ในตอนนี้หลี่ว่านหลูจึงทำได้เพียงเงียบและถอยหลังหนีเท่านั้น
แต่เพราะท่าทีของเธอทำให้ชายตรงหน้าเข้าใจผิด เขาเผยรอยยิ้มเย็นชาพร้อมกล่าวต่อ “อ้อ ฉันเข้าใจแล้วนังผู้หญิงชั่วช้า เธอก็แค่ต้องการผู้ชายสินะ… เมื่อก่อนฉันน่ะหลงคิดว่าเธอคือผู้หญิงที่ดีเลิศ แต่สุดท้ายก็เป็นแค่สินค้า ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็มานอนกับฉันบ้างสิ ฉันสามารถทำให้เธออยู่ที่นี่อย่างสุขสบายได้นะ ส่วนคนอย่างซ่งเจิงมันให้อะไรเธอบ้าง? เชื่อไหมว่าฉันสามารถขยี้มันได้ด้วยการใช้นิ้วโป้งข้างเดียว!”
“หุบปากเดี๋ยวนี้นะ!” หลี่ว่านหลูตะคอก
แต่ในขณะนั้นเองประตูเปิดออกพร้อมกับเสียงชายคนหนึ่งดังขึ้น “แต่ฉันไม่เชื่อ…”
คนๆนั้นคือซ่งเจิง
เมื่อก้าวเข้ามาจึงมองเห็นสถานการณ์ทุกอย่างชัดเจน หลี่ว่านหลูยืนตัวสั่นอยู่ที่มุมห้อง ตรงหน้าของเธอมีชายร่างสูงใหญ่กำยำยืนอยู่ ใบหน้าเย้ยหยันนั้นชัดเจนจนน่าหมั่นไส้
ตู่หมิง!
ซ่งเจิงรู้จักเขาเพราะเขาคือหนึ่งในสมาชิกทีมสำรวจโรงแรมฟู่คัง ก่อนจะถึงวันสิ้นโลกเขาคือผู้จัดการบริษัทแห่งหนึ่ง ดวงตาคู่นั้นดุร้ายจนเกินกว่าซ่งเจิงคนก่อนจะกล้าพูดคุยด้วย
“อ้อ ก็นึกว่าใคร… เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมน่ะเอง ว่าแต่เมื่อกี้แกพูดว่าอะไรนะ?”
ตู่หมิงเผยสีหน้าเหยียดหยามออกมา เขาไม่เคยสนใจไอ้หนุ่มตรงหน้านี้เลย จึงไม่คิดเกรงกลัว
ส่วนซ่งเจิงมองชายตรงหน้าด้วยใบหน้าเรียบเฉย เขากล่าวตอบเสียงเย็นชา “ผมพูดว่าไม่เชื่อ… อยากจะขยี้ผมด้วยนิ้วโป้งข้างเดียวงั้นเหรอ? ลองดูสิ!”
คำพูดที่ไร้ความเกรงกลัวอีกทั้งยังเย้ยหยันทำให้ใบหน้าของตู่หมิงบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด!
สายตาคู่นั้นมองเหยียดพร้อมกล่าวตอบ “หึ ไม่คิดเลยว่าเด็กน้อยขี้ขลาดอย่างแกยังมีศักดิ์ศรีเหลืออยู่บ้าง แกคิดจะมีเรื่องกับฉันงั้นเหรอ? ได้ ฉันจะสั่งสอนบทเรียนให้ ถ้าพ่อแม่แกไม่เคยสอน!”
หลังพูดจบ ตู่หมิงปล่อยหมัดตรงออกไปทันที
หลี่ว่านหลูที่ยืนหลบอยู่แม้จะหวาดกลัวมากแต่เมื่อเห็นแบบนี้ก็รีบร้องตะโกน “หยุดได้แล้ว เลิกก่อความวุ่นวายสักที กฎของที่นี่เป็นยังไงทุกคนรู้ดี ถ้าคุณลงมือกับซ่งเจิง หัวหน้าเฉินต้องลงโทษคุณแน่!”
ตู่หมิงยกยิ้มเย็นชา “กฎงั้นเหรอ? ไร้สาระสิ้นดี ฉันคือสมาชิกของทีมสำรวจที่สามารถจัดการกับพวกคนธรรมดาอย่างแกได้แค่ดีดนิ้ว ฉันไม่เชื่อหรอกว่าหัวหน้าเฉินจะเข้าข้างเด็กน้อยอย่างแก!”
ซ่งเจิงยังคงเงียบ
จริงๆแล้วโรงแรมมีกฎมากมาย ผู้รอดชีวิตทั้งหมดห้ามลงมือทำร้ายกันและห้ามก่อความวุ่นวายโดยเด็ดขาด
มีผู้รอดชีวิตกว่าสองร้อยคน จึงไม่ง่ายเลยที่จะไม่มีเรื่องเสียดสีหรือบาดหมาง แต่เพราะมีกฎตั้งไว้จึงไม่มีใครกล้าลงมือโดยพลการ
แต่สำหรับสมาชิกทีมสำรวจ สถานะของพวกเขาอยู่สูงกว่าผู้รอดชีวิตทั่วไป ถ้าเกิดว่าคู่ต่อสู้เป็นแค่คนธรรมดา แน่นอนว่าอีกฝ่ายย่อมเหนือกว่ามาก
การเป็นสมาชิกทีมสำรวจนั้นไม่เพียงแค่มีพละกำลังเท่านั้น คนพวกนี้ยังได้รับอาหารที่ดีกว่าผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ เช่นนี้จึงไม่แปลกเลยที่เหล่าคนอดข้าวจะไม่สามารถเอาชนะทีมสำรวจได้
เจ้าหนุ่มน้อยคนนี้แกว่งเท้าหาเสี้ยนซะแล้ว
เมื่อเห็นว่าซ่งเจิงเงียบไป ตู่หมิงทึกทักเอาเองว่าอีกฝ่ายคงเริ่มกลัว เสียงหัวเราะดังออกมาอย่างบ้าคลั่ง “ฮ่าฮ่า! เป็นไงล่ะ รู้สึกขาสั่นขึ้นมาแล้วใช่ไหม? ฉันจะให้นายยืนหัวหดอยู่ตรงนั้นแหละ แล้วจงดูซะว่าหลี่ว่านหลูนี่สวยขนาดไหน เธอไม่ใช่ดอกไม้ที่คนอย่างแกจะเด็ดดมได้… หลีกไปซะ ฉันจะพาเธอกลับไปที่ห้อง!”
ขณะที่ตู่หมิงพูดอย่างนั้นเขายื่นมือผลักหน้าอกของซ่งเจิงเบาๆ พร้อมใบหน้าเหยียดหยาม
ทันใดนั้นเองเป็นซ่งเจิงที่คว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้อย่างแน่นหนา
“เฮ้ย! แกคิดจะ…” ตู่หมิงพยายามกระชากมือกลับแต่ไม่สามารถทำได้ นิ้วทั้งห้าของอีกฝ่ายราวกับคีมเหล็กที่ไม่ยอมให้เขาหนีไปไหน
“ไสหัวออกไปซะ!”
ซ่งเจิงผลักอีกฝ่ายออกจนตู่หมิงเกือบจะล้มลงบนพื้น แววตาเย็นชาปรากฏบนใบหน้าชายหนุ่มหลังจากคำรามเสียงดัง
ตู่หมิงรู้สึกเสียหน้ามาก เขามองอีกฝ่ายอย่างพิจารณาพร้อมกับยกยิ้มเย้ยหยัน “หึ คิดไม่ถึงว่าแกจะมีเรี่ยวแรงขนาดนี้ แต่พลังแค่นี้ไม่พอที่จะจัดการฉันหรอก แค่คิดว่าจะเอาชนะฉันได้งั้นเหรอ? ไอ้เด็กเวรมันยังเร็วไปร้อยปี!”
ขณะที่ตู่หมิงตะโกน เขาปล่อยหมัดตรงออกไป เป้าหมายคือใบหน้าของซ่งเจิง
เมื่อเห็นอีกฝ่ายปล่อยหมัดออก ซ่งเจิงขยับเท้าไปด้านข้างพร้อมเอี้ยวตัวหลบอย่างชำนาญ มืออีกข้างคว้าแขนของตู่หมิงเอาไว้ จากนั้นล็อกไขว้ไปด้านหลัง มืออีกข้างคว้าลำคออีกฝ่ายไว้มั่นพร้อมกล่าวเย็นชา “หยุดบ้าได้แล้ว!”
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแม้แต่ตู่หมิงยังตั้งรับไม่ทัน สุดท้ายเขาถูกซ่งเจิงจำกัดการเคลื่อนไหวทั้งหมดในพริบตา แม้แต่หลี่ว่านหลูยังตื่นตระหนกกับภาพตรงหน้า
ถ้าเป็นซ่งเจิงคนก่อน คงไม่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้
แต่กับซ่งเจิงที่ข้ามมิติมาไม่ใช่ เขาคือนักเรียนดีเด่นของโรงเรียนโม่วเซียงที่สามารถเรียนจบได้รวดเร็วราวกับฟ้าผ่า อีกทั้งยังมีความแข็งแกร่งจนสามารถจัดการกับหมูหนึ่งพันห้าร้อยตัวได้ และเขายังมีทักษะเทควันโดขั้นสูงสุดไว้ปกป้องตัวเองอีกด้วย
ตู่หมิงแค่มีพลังมากกว่าคนปกติทั่วไปนิดหน่อย ย่อมไม่ใช่เรื่องยากที่จะจัดการ
ทั้งหมดใช้เวลาเล็กน้อยและซ่งเจิงยังไม่ได้ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมด ถ้าเขาออกแรงมากกว่านี้อีกหน่อยตู่หมิงอาจจะสลบหรือตายไปแล้วก็ได้!
ตู่หมิงไม่รู้เลยว่าตัวเองวิ่งผ่านประตูแห่งความตายมาแล้วหนึ่งรอบ หลังจากได้สติจึงเริ่มสาปแช่งทันที “ไอ้เด็กเวร แกกล้าลงมือกับฉันงั้นเหรอ? ปล่อยเดี๋ยวนี้!”
“เหอะ!”
ซ่งเจิงพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา เขาแค่ผลักออกไปเบาๆ แต่ตู่หมิงกลับล้มลงก้นกระแทกพื้น อีกฝ่ายรีบใช้มือสองข้างดันพื้นเพื่อพยุงตัวขึ้นด้วยความอับอาย
“จะเอาอย่างนี้ใช่ไหมไอ้เวร! แกคงไม่อยากจะหายใจแล้วสินะ…”