ตอนที่ 8 หลินหลินตกที่นั่งลำบาก
ตอนที่ 8 หลินหลินตกที่นั่งลำบาก
ในช่วงที่ซ่งลุ่ยกำลังคิดเพ้อเจ้ออยู่คนเดียวนั่นเอง ทันใดก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเบา ๆ แทรกมาในความรู้สึกนึกคิดที่กำลังยุ่งเหยิงของซ่งลุ่ย และยังไม่ทันได้รอให้ซ่งลุ่ยตอบกลับไป ก็ได้ยินเสียงเรียกที่หวานหยาดเยิ้มดังมาจากด้านนอกของประตู
"คุณซ่ง คุณอยู่ข้างในไหม ? "
เมื่อซ่งลุ่ยได้ยินเสียงนี้ ก็แทบจะกระโดดลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งอย่างรวดเร็วไปที่ประตู เมื่อกำลังที่จะเปิดประตู มือของเขาได้วางไว้ที่บนลูกบิดประตูและเขาก็พร้อมที่จะเปิดประตูออก แต่ในใจของเขากลับเกิดความลังเลขึ้นมา
เสียงที่ได้ยินนี้เป็นเสียงของฮงเหมยไม่ผิดแน่นอน แต่ว่าเธอมีเรื่องอะไรกันถึงได้มาหาเขาตอนนี้ ? หรือว่าเธอจะรู้แล้วว่าเป็นฉัน คิดดูแล้ว ไม่ว่าจะเป็นยังไง ฉันก็ไม่เชื่อว่าเธอจะทำอะไรฉันได้หรอก !
ซ่งลุ่ยจึงตัดสินใจภายในใจของเขาแล้วก็เปิดประตูอย่างเด็ดขาด เขาเห็นฮงเหมยอยู่ข้างนอกประตูและกำลังจ้องมองเขา โดยแสดงออกราวกับรอคอยเขาด้วยความกระตือรือร้น เหตุการณ์นี้ทำให้ซ่งลุ่ยสับสนมึนงงไปเลย มันเกิดอะไรขึ้น ? ฉันไม่ได้ทำอะไรเธอแบบนั้นนี่ ? แต่ในเวลานั้นฮงเหมยก็เอ่ยปากพูดออกมา
"ทำไมคุณซ่งไม่ให้ฉันเข้าไปล่ะ ? พวกเราจะคุยกันตรงนี้เหรอ ? "
"อ้อ อ้อ อ้อ ใช่ ๆ ๆ ฉันสะเพร่าไปหน่อย มา ๆ ๆ เชิญเข้ามาข้างในก่อนนะครับ" ขณะที่พูดเขาก็เชิญฮงเหมยเข้าไปในห้อง
หลังจากฮงเหมยได้ยินซ่งลุ่ยพูดขึ้นก็มีรอยยิ้มออกมา แล้วเดินแบบดีใจจนตัวลอยเข้าไปในห้อง ซ่งลุ่ยรู้สึกว่ากลิ่นหอมของเธอนั้นลอยฟุ้งไปในอากาศ ในใจก็อดที่จะหวั่นไหวไม่ได้ น้องชายน้อยของเขาก็มีแนวโน้มที่จะลุกชูชันขึ้นอีกรอบ ซุ่งลุ่ยแอบเปิดปากบ่นพึมพำว่า
“เ-ยเอ้ย ช่างเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์ยั่วยวนจริง ๆ” ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหู
"การหลั่งฮอร์โมนปกติ ระบบกำลังชาร์จแบต การหลั่งฮอร์โมนปกติ ระบบกำลังชาร์จแบต”
ช่วยไม่ได้ที่ซ่งลุ่ยจะก้มมองต่ำลงไปที่น้องชายน้อยของตนเองที่กำลังลุกชูชันขึ้นมา จะไม่หลั่งฮอร์โมนปกติได้ไงหล่ะ เมื่อปิดประตูแล้วกำลังจะนั่งลง ซุ่งลุ่ยก็พบว่าฮงเหมยนั่งส่งยิ้มให้กับเขาอยู่ที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้ว ในใจก็อดที่จะขนลุกไม่ได้
เหอะ เหอะ เธอไปทำอะไรผิดมาถึงได้มาทำดีด้วย ชักน่าสนใจขึ้นมานิดหนึ่งแล้วสิ จากนั้นซ่งลุ่ยก็เอ่ยปากถาม
“แล้วฮงเหมยมาหาฉันมีเรื่องอะไรเหรอ ?”
เมื่อฮงเหมยได้ยินคำพูดนี้ก็เหลือบตามองไปที่ใบหน้าของซ่งลุ่ย ในใจก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ เดิมทีซ่งลุ่ยก็ไม่ใช่คนที่ “หนักแน่น” เธอเลยปล่อยให้เขาแสดงต่อไป ฮงเหมยตอบว่า
"คุณซ่ง ฉันรู้ว่าคุณเพิ่งมาทำงานตำแหน่งนี้และคุณเองก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน หลังจากที่คุณได้ทำงานในตอนเช้า แน่นอนว่าต้องพบกับงานที่คุณยังไม่เข้าใจ ฉันเลยมาหาคุณเพื่อที่จะมาถามว่าคุณมีอะไรที่ต้องการให้ฉันช่วยไหม” จากนั้นเธอก็เก็บอาการที่อาจจะไม่เหมาะสมของเธอ แล้วมองไปที่ซ่งลุ่ยด้วยความจริงใจ
เมื่อซ่งลุ่ยได้ยินฮงเหมยพูดอย่างนั้น ก็มองไปที่ใบหน้าของฮงเหมย ในใจก็เชื่อถือคำพูดของฮงเหมยไปมากกว่าครึ่งแล้ว เขามองไปที่ใบหน้าที่มีความสุขของฮงเหมยแล้วพูดว่า
“สิ่งที่คุณพูดมานี้ มันสำคัญมากขนาดไหน คุณถึงต้องมาด้วยตัวเอง”
ด้วยคำพูดที่ดูเกรงอกเกรงใจรวมกับการแสดงออกที่ดูซื่อสัตย์จริง ๆ เพื่อแสดงให้ฮงเหมยนั้นคิดว่าซ่งลุ่ยนั้นไม่มีกลอุบายแอบแฝง เขาได้หยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กที่จดบันทึกปัญหาที่เขาได้พบเจอเมื่อตอนเช้าขึ้นมา ปากก็พูดไปพลาง มือก็เปิดสมุดไปพลางแล้วเลื่อนไปที่ด้านหน้าของฮงเหมย แล้วพูดกับฮงเหมยว่า
“นี่คือปัญหาที่ฉันพบเจอเมื่อตอนเช้า รบกวนคุณหน่อยนะ”
ฮงเหมยเมื่อได้เห็นท่าทางการกระทำของซ่งลุ่ยแบบนี้ก็มึนงง ในใจเกิดความระแวง นี่หมายความว่ายังไง ? หรือว่าจะไม่ใช่เขา ? ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ ตัวเองก็ตกกระไดพลอยโจนยอมรับไปแล้ว !
คิดถึงอนาคตที่สวยงามในอนาคตของตัวเองแล้ว เธอก็กัดฟันแล้วเดินไปที่ประตูเพื่อล็อคประตู หลังจากนั้นก็เดินอ้อมไปหยิบสมุดบนโต๊ะแล้วเดินไปข้าง ๆ ซ่งลุ่ย วางหนังสือลงบนโต๊ะเบา ๆ เอื้อมมือไปจับท้ายทอยของชายหนุ่มเพื่อดึงให้เขาขยับเข้ามาจนใบหน้าแนบชิดกัน ฮงเหมยกระซิบด้วยน้ำเสียงต่ำไปที่หูของซ่งลุ่ยหนึ่งประโยค
“คุณซ่ง เมื่อกี้นี้ เป็นคุณซินะ” พูดจบ ก็ใช้ลิ้นเลียไปที่หูของซ่งลุ่ยเบา ๆ
ทันใดนั้น ซ่งลุ่ยก็เหมือนถูกจุดสายชนวน ! ในตอนแรกนั้นซ่งลุ่ยถูกการกระทำของฮงเหมยจนทำให้ดูเหมือนคนโง่เขลาไปเลย ในใจก็มีเสียงเตือนดังออกมาว่าจะต้องต้านทานเสน่ห์ให้ได้ จนกระทั่งถึงตอนที่ฮงเหมยโอบกอดตัวของเขา เขาก็เริ่มรู้สึกว่าต้านทานไม่ไหวแล้ว แล้วไหนจะฮงเหมยที่ใช้ลิ้นเลียมาที่หูเขาอีก ซุ่งลุ่ยก็แทบระเบิดคาที่อยู่ตรงนั้น ไม่ไหวแล้ว ๆ อยากทำอะไรก็ทำเลย !
ทันใดนั้น ซ่งลุ่ยก็ลุกยืนขึ้นแล้วยกแขนของฮงเหมยให้คล้องคอของเขา และถือโอกาสอุ้มร่างเธอไปวางไว้บนโต๊ะทำงาน ขณะที่กำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มกันนั้น ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้นมา
ซ่งลุ่ยเองก็ไม่สนใจเสียงโทรศัพท์นั่น ในเวลาแบบนี้ ต่อให้เป็นใครที่โทรมาเขาก็ไม่สนใจ ! เสียงโทรศัพท์ดังอยู่สักพักก็หยุดลง ต่อจากนั้นไม่นาน ก็ส่งเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง ซ่งลุ่ยก็ไม่สนใจอีกเช่นเคยจนเสียงเงียบลงไป
ในเวลานี้การ “เตรียมพร้อมออกรบ” ของซ่งลุ่ยพร้อมแล้ว ! เขาเตรียมพร้อมที่จะ "ถือปืนขี่ม้าบุกทะลวง" เข้าไป ก็ได้ยินเพียงเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ซ่งลุ่ยก็ไม่สนใจเหมือนเดิม จนฮงเหมยที่อดใจไม่ได้ เอ่ยปากพูดออกมา
"คุณก็แค่รับสายมัน มันอาจจะเป็นเรื่องที่เร่งด่วนมาก ฉันทำต่อไม่ได้ คุณรับสายเถอะ”
หลังจากที่ซ่งลุ่ยฟังแล้ว เขาจึงจำใจหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและก็ไม่ได้มองว่าใครเป็นคนโทรหาเขา เขากดรับและขณะที่กำลังจะด่าปลายสาย ก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอื้นจากปลายสาย
"ฮือ ฮือ ฮือ ซ่งลุ่ยนายอยู่ไหน"
ซ่งลุ่ยเมื่อได้ยินเสียงนี้เขาก็รู้ว่าคือหลินหลิน แต่พอฟังหลินหลินร้องไห้แล้ว หัวใจก็เหมือนถูกหินก้อนใหญ่กดทับ เพราะว่าเขารู้จักหลินหลินก่อนที่จะถูกเฉินอัน ‘คุกคามอย่างลับ ๆ ’ แต่ทำไม่สำเร็จเพราะว่าเขาเข้าไปขัดขวางเสียก่อน แต่ว่าตอนนี้หลินหลินร้องไห้ในเวลาแบบนี้ หรือว่าจะเป็นเรื่องแบบนั้น ?
ซ่งลุ่ยรีบถามกลับอย่างรวดเร็วว่า "หลินหลิน อย่าร้องไห้ เกิดอะไรขึ้น ? หรือว่าจะเป็นเฉินอันทำอะไรเธอ ? ”
อารมณ์ที่แสดงออกมาบนใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลและทางด้านฮงเหมยที่ได้ยิน ‘หลินหลิน’ ครั้งแรกก็คิดไปถึงหลินหลินที่อยู่แผนกต้อนรับของบริษัทเหวินฮว่าและอดไม่ได้ที่จะคิดเปรียบเทียบกันอยู่ในใจ และยังคิดอีกว่าเขาช่างเป็นคนที่ยึดมั่นในคุณธรรม และเขาได้แสดงออกถึงความร้อนรนใจได้ขนาดนี้ บนใบหน้าจึงแสดงออกถึงความกังวลออกมา
หลินหลินผู้ที่อยู่อีกปลายสายได้ยินซ่งลุ่ยพูดแบบนั้น เธอก็หยุดร้องไห้ร้องไห้และค่อย ๆ บอกเล่าเรื่องราวออกมาอย่างช้า ๆ จริง ๆ แล้ว เมื่อวานที่ซ่งลุ่ยได้รับตำแหน่งผู้ช่วย เขาอยากไปอวดหลินหลิน แต่ก็บังเอิญถูกเฉินอันพบเขาซะก่อน เมื่อตอนที่ในใจของเฉินอันเต็มไปด้วยความโกรธก็เดินลงมาข้างล่าง เดิมทีพวกเขาก็มีความสัมพันธ์ไม่กินเส้นกันอยู่แล้ว และดูเหมือนว่าเหตุการที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ที่ซุ่งลุ่ยพบเห็นจะไม่ใช่การไม่ระมัดระวังตัวของเฉินอัน แต่เขานั้นตั้งใจกระทำ ดังนั้นถึงจะรักษาชื่อเสียงของตัวเองไว้ไม่ได้ แต่การบีบบังคับพนักงานต้อนรับตัวเล็ก ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
อย่างไรก็ตามเฉินอันก็ไม่ได้คิดที่จะหาข้ออ้างใดเพื่อลบล้างคำซุบซิบนี้อยู่แล้ว และปล่อยให้คนอื่นได้แค่คิดว่าตัวเองบีบบังคับเธอแค่นั้น เขาจึงใช้สุนัขรับใช้ของตนไปแจ้งหลินหลินว่าต้องมาเซ็นหนังสือยินยอมการลาออก และเฉินอันก็คิดว่าเพื่อให้ประสบผลสำเร็จ เขาจึงถือโอกาสในตอนกลางวันเตรียมตัวที่จะไปข่มขู่หลินหลิน ว่าหลังจากเลิกงานก็ให้บอกต่อหน้าทุกคนว่าตนขอลาออกเอง แบบนี้ก็จะหลุดพ้นออกจากข้อสงสัย และบรรลุเป้าหมายของตัวเอง