ตอนที่ 7 ไม่ทำเด็ดขาด
ตอนที่ 7 ไม่ทำเด็ดขาด
ซ่งเจิงรู้สึกตัวได้ทันทีเมื่อมีคนเดินเข้ามาด้านใน แต่เป็นเพราะความมืดทำให้เขามองไม่เห็นว่าใครกำลังเดินเข้ามา
แต่เขารู้สึกคุ้นตากับรูปร่างเช่นนี้อย่างบอกไม่ถูก มันคล้ายกับหลี่ว่านหลูเมื่อตอนบ่ายไม่มีผิด ยังไงซะเขาก็ไม่ได้ลุกขึ้น เพียงนอนมองว่าเธอจะทำอะไรต่อ
หญิงสาวลูบคลำทางจนมาถึงเตียง เธอปรายตามองซ่งเจิงสักพักก่อนจะใช้มือสองข้างถอดเสื้อออก เสียงปลดตะขอชุดชั้นในดังขึ้นเบา ๆ ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอกำลังถอดเสื้อผ้า…
“เดี๋ยว! เธอจะทำอะไรน่ะ?” ซ่งเจิงร้องออกด้วยความตื่นตระหนก เขาไม่อาจแสร้งว่าหลับได้อีกต่อไป
เมื่อได้ยินเขาร้องเสียงหลง หลี่ว่านหลูตกใจเช่นกัน แต่เธอก็ไม่หยุดเคลื่อนไหว เธอเม้มปากแน่นก่อนจะตอบกลับ “ก่อนหน้านี้ฉันสัญญาไว้แล้ว แค่นายยอมช่วยเหลือฉัน… ฉันก็จะตอบแทนนายทุกอย่างไม่เว้นแม้กระทั่ง… เรื่องนี้”
ตอนนี้ยังอยู่ในฤดูร้อนจึงไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้ามากนัก หลี่ว่านหลูถอดชุดท่อนบนหมดแล้ว เธอนอนอยู่ข้างซ่งเจิงพร้อมขยับกายไป เหมือนกับว่ากำลังจะถอดกางเกงออก
ซ่งเจิงคว้าข้อมือเธอไว้พร้อมร้องห้ามทันที “ไม่ต้องถอด! นี่ดึกมากแล้วเธอกลับไปเถอะ”
หญิงสาวตกตะลึงกับคำพูด บนโลกนี้ยังมีผู้ชายแบบเขาอยู่งั้นเหรอ? หรือเขาแค่แกล้งทำเป็นสุภาพบุรุษ?
มือสองข้างของเธอถูกชายหนุ่มรวบเอาไว้แต่เธอพยายามจะสะบัดมันออก แต่จู่ ๆ ก็หยุดเคลื่อนไหวพร้อมตอบกลับเสียงอ่อน “ไม่ได้หรอก ฉันสัญญาไว้แล้ว คำพูดที่กล่าวไปต้องรับผิดชอบให้ได้ ไม่งั้นฉันคงไม่สบายใจ…”
เมื่อได้ยินถ้อยคำเด็ดขาด ซ่งเจิงก็รู้สึกว่ายากที่จะรับมือกับหญิงสาวข้างกายซะแล้ว
เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าในวาระสุดท้ายของโลก ประเพณีต่าง ๆ จะถูกทำลายจนย่อยยับแบบนี้
มองจากสีหน้าของเธอแล้ว ซ่งเจิงรู้สึกว่าการจะไล่เธอกลับคงไม่ง่ายนัก เช่นนี้จึงต้องคิดหาวิธีที่เธอไม่รู้สึกผิด “งั้นเหรอ เอาล่ะ ถ้าเธออยากนอนที่นี่ก็ได้ ยังดีนะเตียงมันกว้างพอสมควร เธอนอนกับฉันคนละด้านแต่ห้ามข้ามเส้นกลางมาเด็ดขาด”
กล่าวคำจบ ซ่งเจิงขยับตัวไปอีกด้านและเหลือพื้นที่อีกหญิงสาวอีกครึ่งหนึ่ง ตอนนี้เขาทั้งอึดอัดและไม่สบายใจ หลี่ว่านหลูเป็นดั่งดอกไม้งามสำหรับเขา แม้ว่าจะอยู่ในสภาวะสิ้นโลก ร่างกายซูบผอมนั้นกลับกลายเป็นว่าเธอคือคนขาดสารอาหารที่งดงามคนหนึ่ง
หลี่ว่านหลูเม้มปากแน่นพร้อมกับมองซ่งเจิงด้วยความลังเล แต่สุดท้ายเธอก็ขยับตัวไปนอนที่เตียงอีกฝั่งอย่างไม่พูดอะไรตอบ ซ่งเจิงส่งผ้าห่มให้เธอครึ่งหนึ่งและเธอก็รับมันไว้อย่างง่ายดาย
ส่วนหลี่ว่านหลูเองก็สับสนไม่น้อย ตั้งแต่เข้าสู่สภาวะสิ้นโลก เธอเองก็ผ่านเรื่องราวมากมายและได้เห็นพบเจอคนหลายรูปแบบ แต่ผู้ชายอย่างซ่งเจิงนั้นหาได้ยากยิ่งจริง ๆ
พูดกันตามตรงเธอคือผู้หญิงที่มีใบหน้าไม่ด้อยไปกว่าใคร เมื่อก่อนตอนที่หนีเอาชีวิตรอด เธอได้เจอผู้ชายที่อยากจะเอารัดเอาเปรียบเธอไม่น้อย กับผู้ชายที่ดูเสน่ห์แรงยังเผยสายตาแทะโลมจนเธอแทบทนไม่ไหว มันเป็นเพราะเธอระมัดระวังมาโดยตลอดพวกเขาจึงไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งอื่น เพื่อช่วยชีวิตปู่ เธอต้องยอมเสนอข้อแลกเปลี่ยนที่ดีที่สุด เธอเตรียมใจแม้กระทั่งยอมสูญเสียศักดิ์ศรีของตัวเอง แต่คิดไม่ถึงว่าตอนที่เธอพยายามจะเข้าสู่อ้อมกอดของเขา ชายหนุ่มกลับไม่คิดแม้แต่จะแตะต้องตัวเธอ
ทั้งสองคนนอนอยู่คนละฝั่ง แค่เพียงพลิกตัวก็สามารถชนกันได้แล้ว แต่ซ่งเจิงกลับไม่มีท่าทีว่าจะล้ำเส้นมาแม้แต่น้อย เขาพูดว่านอนใครนอนมัน แล้วเขาก็ทำแบบนั้นจริง
หลี่ว่านหลูรู้สึกดีใจไม่น้อย แต่ก็รู้สึกหดหู่ใจไม่แพ้กัน หรือเพราะเธอไม่มีเสน่ห์เย้ายวนมากพอจึงไม่อาจทำให้ผู้ชายคนนี้ชายตามอง?
แต่ความจริงแล้วเป็นหลี่ว่านหลูที่คิดไปเอง ซ่งเจิงกำลังสับสน เขาไม่รู้จะพูดอะไร เขาเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบ ระยะห่างกันเพียงแค่นี้ทำให้จิตใจของเขาปั่นป่วนจนแทบทนไม่ได้ กลิ่นกายของหญิงสาวกำลังโชยเข้าจมูกของเขาอย่างบ้าคลั่ง
แค่ขยับตัวเพียงนิดร่างกายก็ชนกันแล้ว แม้ว่าจะอดอาหารมานานจนร่างกายซูบผอม แต่ผิวพรรณของหลี่ว่านหลูก็ยังเนียนนุ่มน่าสัมผัส เพียงแค่ได้ถูกเนื้อต้องตัวเพียงเสี้ยววินาที หัวใจของเขาก็แทบจะหลุดออกมาจากอก
แต่ทุกครั้งที่จิตใจพลุ่งพล่าน เขาจำเป็นต้องข่มใจเพื่อระงับแรงปรารถนาเอาไว้
การสั่งสอนของตระกูลซ่ง… ต่อให้อดตายก็จะไม่ทำลายคำสอนของครอบครัวเด็ดขาด บรรยากาศแบบนี้มันทรมานยิ่งนัก แต่การฉกฉวยโอกาสในขณะที่คนอื่นกำลังตกที่นั่งลำบากก็เป็นสิ่งที่เขาไม่คิดจะทำ!
แต่ทั้งสองไม่รู้ถึงความคิดของกันและกัน พวกเขาได้แต่นอนคิดกับตัวเองจนกระสับกระส่ายและนอนไม่หลับ
ตลอดทั้งคืนไม่มีคำพูดใด ๆ
เช้าวันต่อมา ซ่งเจิงลุกขึ้นจากเตียง เขาไม่ใช่คนนอนตื่นสายเพราะถูกสั่งสอนมาอย่างนี้ เช้ามืดเข้าจะลุกขึ้นมาออกกำลังกายเสมอ แม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในวันสิ้นโลกเขาก็ยังทำตัวเหมือนเดิม
แต่หลี่ว่านหลูก็ตื่นเช้ามากเช่นกัน เรื่องนี้ทำซ่งเจิงตกใจไม่น้อย อย่างที่รู้ว่าในยุคนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว โดยเฉพาะในพื้นที่รอบนอกของเมืองก้อนหินน้อย ทุกคนอยู่ในสถานะต่างคนต่างอยู่และไม่มีใครสนใจใคร
ถ้าหากไม่มีการส่งวัตถุดิบ อาหารแห้งต่าง ๆ จากในเมืองมาให้ พวกเขาทั้งหมดก็ล้วนแต่เป็นคนที่ถูกตัดขาดจากโลกนี้ไปแล้ว
ผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่ในโรงแรมใช้ชีวิตแบบรอวันตาย หลายคนนอนอยู่บนเตียงตลอดทั้งวัน เพียงลุกมากินข้าวและเข้าห้องน้ำเท่านั้น แต่หลี่ว่านหลูที่รักษาความเคยชินของตัวเองไว้ได้จนถึงตอนนี้เป็นสิ่งที่หาพบได้ยากยิ่ง ไม่มีใครทำแบบเธอ
ก็เหมือนกับตอนเย็น ตอนเช้าทุกคนจะต้องลงไปรับอาหารที่ชั้นล่าง
อาหารถูกทำขึ้นอย่างง่าย ๆ และแข็งกระด้าง มันคือผักกาดดองกระป๋องเล็กคนละครึ่ง พร้อมด้วยหมั่นโถวแข็ง ๆ หรือบิสกิตอัดแท่งที่สามารถปาหัวใครสักคนให้แตกได้
หลี่ว่านหลูและซ่งเจิงเดินไปรับอาหารพร้อมกัน ทั้งสองนั่งลงบนโต๊ะพร้อมกับเริ่มกินมัน อาหารพวกนี้หญิงสาวค่อนข้างคุ้นเคยและค่อย ๆ กินเข้าไปทีละนิด
แต่ซ่งเจิงกลับขมวดคิ้วแน่นหลังจากกินไปไม่กี่คำ
เขาไม่ได้คิดจะทิ้งอาหารพวกนี้แค่เพราะมันไม่อร่อย เขาตระหนักดีว่าในสภาวะวันสิ้นโลกแบบนี้ทรัพยากรเป็นสิ่งที่ขาดแคลนมาก อีกทั้งตอนนี้พวกเขาทุกคนยังเป็นผู้รอดชีวิตในเขตนอกเมือง การมีของกินอย่างนี้นับว่าไม่เลว แต่คนบางพื้นที่แม้แต่อาหารแย่ ๆ ก็ยังหากินไม่ได้
แล้วผักกาดดองกับบิสกิตอัดแท่งนี้มันมีสารอาหารเท่าไหร่? มันก็แค่แก้หิวประทังชีวิต แต่ด้านพลังงานกลับไม่เพียงพอด้วยซ้ำ ของพวกนี้ใช้แก้หิวในระยะสั้นได้ แต่ถ้าระยะยาวร่างกายจะต้องรับไม่ไหวแน่นอน
ความจริงแล้วเขายังต้องการที่จะสัมผัสกลิ่มหอม ๆ ของขนมเปี๊ยะทอดสีทอง…
ซ่งเจิงตัดสินใจเด็ดขาดหลังจากกลืนอาหารคำสุดท้ายลงท้อง เขาลุกขึ้นพร้อมกับเดินออกไปข้างนอก
หลี่ว่านหลูเงยหน้าขึ้นพร้อมถามออก “นายจะไปไหนเหรอ?”
“ไปหาพี่ใหญ่กุ้ย” ซ่งเจิงตอบ
เขาจะไปหาพี่ใหญ่กุ้ย หลังจากนั้นจะเข้าร่วมทีมสำรวจ ถ้าอยากมีชีวิตอยู่ในวันสิ้นโลก นี่เป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะอยู่รอด…