ตอนที่ 43 ยังไม่ใช่เวลา(ฟรี)
ข้อเสนอนี้ไม่เลว ตำแหน่งของราชฑูตภายใต้กรมพิธีการ แม้จะไม่ทรงเกียรติ ก็ยังเลื่อนเป็นขุนนางขั้นหก สำคัญสุด มันอยู่ภายในกรมพิธี ร่วมกับสำนักฮั่นหลินและสำนักตรวจการ เจ้าหน้าที่จากสามฝ่ายนี้คือกระแสหลักของราชสำนัก พูดก็พูด แม้กระทั่ราชเลขาก็ถือเป็นขุนนางหลัก
ขุนนางกระแสหลักคือคนที่ได้รับเลื่อนตำแหน่งเร็วสุดภายในราชสำนัก ดังนั้นจึงถือเป็นพวก’มีเกียรติและสะอาด’แม้ตำแหน่งจะต่ำกว่าตำแหน่งอื่นหน่อย การย้ายหวังเสี่ยวเหรินจากสำนักตรวจการไปฝ่ายอื่นก็จะถูกมองเป็นการลดตำแหน่ง แต่การให้เป็นขุนนางขั้นหกในฝ่ายการฑูตจะถือเป็นการเลื่อนขั้นอย่างเห็นได้ชัด เกาหลิงเฟิงพอใจกับการตัดสินใจนี้
การเคลื่อนไหวนี้ไม่เพียงปกป้องพ่อตากับเฉินฟู่ไป่ แต่ยังเป็นการให้รางวัลหวังเสี่ยวเหรินที่ช่วยให้เขา’รับใช้บ้านเมือง’ต่อไป แต่ทำไมระบบบ้านี่ถึงยังไม่แจ้งเตือนอะไร?
หลินเจี้ยนเฉิงกับเฉินฟู่ไป่ยักยอกอาวุธและเกราะกว่าหมื่นชุดจากคลัง แต่กลับไม่หักโชคลาภบ้านเมืองเลย?โอ้ บางทีมันคงไม่ตรงกับเงื่อนไข เกาหลิงเฟิงคาดหวังอย่างกระตือรือร้นที่จะเจอกับการลบโชคลา�
เกาหลิงเฟิงพอใจมาก วันต่อมา หวังเสี่ยวเหรินมาถึงสำนักตรวจการ เพราะเขายื่นจดหมายเหตุด้วยความมั่นใจ จึงไม่มีใครรู้เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของเขา ทุกสิ่งดูเหมือนปกติตอนเขาเข้าที่ทำงาน
หวังเสี่ยวเหรินรู้ว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับหลินเจี้ยนเฉิง ราชเลขาคนปัจจุบันในรายงานนี้ นี่ไม่ใช่เสนาบดีธรรมดา ระหว่างนี้ หลินเจี้ยนเฉิงได้แสดงความสามารถเขา อำนาจของราชเลขาหนักแน่น กรมทั้งหกต้องก้มหัวให้ นี่เป็นสิ่งที่ราชเลขาคนก่อนล้มเหลวที่จะบรรลุ
นี่ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของหลินเจี้ยนเฉิงในการบงการ แม้กระทั่งสำนักตรวจการที่ก้าวร้าวสุดก็ยังขี้อายไปเลยภายใต้อิทธิพลของหลินเจี้ยนเฉิง
หวังเสี่ยวเหรินคิดถึงผลลัพธ์ที่เป็นไปได้สองทาง หนึ่งคือเขาเสียตำแหน่ง หวังเสี่ยวเหรินสั่งให้ภรรยาเขาเก็บของแล้ว ถ้ามันไม่ได้ผล เขาจะกลับบ้านเกิดเพื่อทำไร่ ผลลัพธ์อีกอย่างคือเขาทำสำเร็จ เช่นนั้น ราชสำนักจะประสบกับแผ่นดินไหว
หวังเสี่ยวเหรินเตรียมยื่นคำขอออกเมืองหลวงและไปรับใช้ที่บ้านนอก เขาได้เขียนจดหมายเหตุแล้ว จดหมายเหตุของเขาเป็นการประกาศเป็นศัตรูกับราชเลขา แต่หัวใจที่ซื่อสัตย์ของเขาก็ยังสู้!
หวังเสี่ยวเหรินมักเป็นคนชอบธรรม ในราชสำนักต้าเฉียน เขาปฏิเสธที่จะประจบหรือไต่เต้าเพื่อกลายเป็นขุนนางสถานะสูง ดังนั้นหลายคนในรุ่นเขาจึงแซงเขาไปหมดแล้ว ขณะที่เขายังเป็นผู้ตรวจการขั้นเจ็ด ย่งไปกว่านั้น เขายังไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง เขาเช่าอยู่ คนเช่นนี้ถือเป็นพวกนอกกรอบภายในสำนักตรวจการ และยากที่จะมีสหาย
แต่ไม่ช้า ขันทีก็มาถึงพร้อมโองการ นี่ลากความสนใจของผู้ตรวจการหลายคน
เสี่ยวเต๋อจือตะโกน“ผู้ตรวจการหวังเสี่ยวเหรินอยู่ไหน?”
หวังเสี่ยวเหรินโดนเพื่อน่รวมงานลากมา และได้ยินเสี่ยวเต๋อจืออ่านโองการ แต่งตั้งหวังเสี่ยวเหรินเป็นขุนนางของสำนักราชฑูตแห่งกรมเสนาบพิธี ทุกคนมองหวังเสี่ยวเหรินอย่างอิจฉา
ใจกว้างมาห!นี่คือการเลื่อนสองขั้น!การเลื่อนขั้นปกติสำหรับผู้ตรวจการคือกลายเป็นผู้ตรวจการขั้นหกก่อน จากนั้นค่อยกระโดดไปฝ่ายต่างๆของหกกรม การเลื่อนขั้นสองขั้นติดหายากมาก!
ผู้ตรวจการหวัง ไม่สิ ตอนนี้เสนาบดีหวังได้นำหน้าทุกคนแล้ว!หวังเสี่ยวเหรินตกตะลึง เขาได้รับการเลื่อนขั้น?หลังรับโองการ หวังเสี่ยวเหรินก็ลอบดึงเสี่ยวเต๋อจือไปข้างๆ“ท่านขันที”
“เสนาบดีหวัง มีเรื่องอันใดจะสั่งข้าหรือ?”
“ท่านขันที ข้าอยากถาม ท่านราชเลขาเป็นเช่นไร?”
“ใต้เท้าหวัง ราชเลขายังเป็นใต้เท้าหลิน การยื่นคำร้องของท่านโดนฝ่าบาทสะกดไว้”
หวังเสี่ยวเหรินเวียนหัว เกิดอะไร?ทำไมจักรพรรดิถึงไม่ทำตามปกติ?จักรพรรดิเลือกเส้นทางที่หวังเสี่ยวเหรินไม่คาดคิด จักรพรรดิไม่ไล่ราชเลขากับผู้ดูแลฝ่ายคลังอาวุธ แต่จักรพรรดิไม่ลงโทษเขาเช่นกัน แต่เขากลับได้รับเลื่อนตำแหน่ง นี่มันอะไร?หวังเสี่ยวเหรินไม่เข้าใจ
พอเห็นใบหน้างุนงง เสี่ยวเต๋อจือก็เข้าใจ”เจตนาของฝ่าบาทยากจะหยั่งถึง ใต้เท้าหวัง ท่านต้องครุ่นคิดให้ดี’
เจตนาของพระองค์คืออะไรกันแน่?หวังเสี่ยวเหรินคิดอยู่นาน ใช่ หรือว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลา?มันต้องใช่!หวังเสี่ยวเหรินเข้าใจ!จักรพรรดิยังต้องการให้หลินเจี้ยนเฉิงรับใช้ นั่นทำให้เก็บจดหมายเหตุเขาไว้!
และจักรพรรดิยังแนะนำเขา เพื่อให้เขาคัดค้านหลินเจี้ยนเฉิงต่อไป!จักรพรรดิต้องการคนในราชสำนักเพื่อถ่วงดุลอำนาจกับราชเลขา!และตรงจุดนี้ เขาต้องการใครบางคนมาฉุดหลินเจี้ยนเฉิงและเขาคือดาบแหลมเล่มนั้น!หวังเสี่ยวเหรินตระหนัก
จักรพรรดิมองภาพใหญ่มาก!มันเพื่อประคองให้ราชสำนักมั่นคง!นี่คือผู้ปกครองที่ชาญฉลาด!และเป็นเรื่องดี่ต่ออาณาจักร!
ถ้าจักรพรรดิสามารถทนได้ งั้นเขาที่เป็นผู้น้อยก็ควรแบ่งเบาภาระ หวังเสี่ยวเหรินคิดเรื่องคดีโกงกินในคลังอาวุธและตัดสินใจอยู่เฉยๆ ด้วยความโปรดปรานเช่นนี้ หวังเสี่ยวเหรินจะตอบแทนด้วยชีวิต!