บทที่ 48 การทำธุรกิจในโลกของยุทธจักร
ด้วยความกลัวว่าจะพลาดข่าวสำคัญ ชูเหลียงไม่มีเวลาจัดการกับความเข้าใจผิดของยุนเชาเสี้ยน เขารีบปิดประตูและนำเหรียญผู้ปราบวิญญาณออกมาเพื่อตรวจสอบทันที
เมื่อสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาเข้าสู่ดินแดนวิญญาณข้ามมิติ เขาสังเกตเห็นข้อความสีทองที่สดใส
[59] : "ข้าได้วิญญาณของปีศาจลิงโบราณ แต่ข้าไม่สามารถใช้มันเองได้ ข้าจึงอยากจะใช้มันแลกกับสมบัติอื่น มีใครอยากแลกมันบ้างหรือไม่"
แลกงั้นหรือ
แสดงว่ามันมีระบบการซื้อขายแลกเปลี่ยนด้วยงั้นหรือ
หลังจากนั้น [อสูร] ก็ได้เข้ามาแสดงความคิดเห็น
[อสูร] :"วิญญาณของปีศาจลิงโบราณนั้นหายากมากและไม่สามารถสร้างได้หากไม่มีการประสานที่สมบูรณ์แบบของเวลาและสถานที่ เมื่อถูกป้อนให้กับวิญญาณ มันสามารถเพิ่มพลังการต่อสู้ของพวกเขาได้อย่างมาก แก่นวิญญาณนี้มีอายุเท่าใดหรือ"
[59] : "มันมีอายุประมาณสามร้อยปี"
[ปีศาจ] : "ค่อนข้างดีทีเดียว ลองดูเสียก่อนว่าพวกเจ้าอีกสองคนมีความสนใจหรือไม่ ถ้าไม่ข้าสามารถช่วยเจ้าส่งมันไปยังมิติวิญญาณอื่นเพื่อสอบถามผู้สนใจได้"
[59] : "ขอบคุณท่านมากขอรับ"
คําอธิบายของ อสูร นั้นครอบคลุมมาก นี่ทําให้ชูเหลียงเข้าใจในวิชาของคนพวกนี้มากขึ้น
ในโลกของวิญญาณและผี มีสิ่งมีชีวิตต่างๆ มีตั้งแต่วิญญาณที่อ่อนแอ เช่นผีย้อมหนัง และผีเรียกวิญญาณ ไปจนถึงวิญญาณที่มุ่งเน้นการต่อสู้เช่นผีดาบและผีอารักขา วิญญาณของปีศาจลิงโบราณตัวนี้น่าจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับพวกมัน เช่นเดียวกับยาบำรุงพลังเสือที่เพิ่มความแข็งแกร่งให้เขา
แต่ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ชูเหลียงก็ไม่ต้องการถ้ามันจะต้องใช้สำหรับวิญญาณเท่านั้น
อย่างไรก็ตามเนื่องจากเขากำลังปลอมตัวเป็น 58 เขาไม่แน่ใจว่าเขาควรจะต้องการมันหรือไม่ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเงียบไปชั่วคราว
ในไม่ช้า..
[60] : "ข้าต้องการมัน เจ้าต้องการอะไรเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนหรือ"
[59] : "ข้ายังมิได้ตัดสินใจ ตราบใดที่มันเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรมและเป็นประโยชน์สำหรับข้า ข้าก็ยอมรับมันได้"
[60] : "ใบหมี่หลัวสีเขียวสองใบเป็นอย่างไร"
[อสูร] : "ใบหมี่หลัวสีเขียวใบหนึ่งสามารถเก็บผีไว้ได้จำนวนมาก มันสะดวกกว่าทักษะการกักขังแบบดั้งเดิมของเรา นอกจากนี้ผียังสามารถอาศัยอยู่ในนั้น ฝึกฝนตัวเอง และพัฒนาตนเองได้ มันมีประโยชน์อย่างมาก ใบหมี่หลัวสีเขียวสองใบน่าจะเพียงพอที่จะแลกเปลี่ยนกับวิญญาณลิงโบราณของเจ้า"
[59] : "ขอรับ ในเมื่อท่านแนะนำ ข้ายอมรับข้อตกลงนี้ ตอนนี้เจ้าอยู่ที่ใด ใกล้กับศาลาเทาเทียที่ใดบ้างหรือไม่"
[60] : "ศาลาเทาเที่ยในเมืองประตูทิศใต้"
[59] : "เช่นนั้นก็ส่งใบหมี่หลัวสีเขียวมาให้ข้าที่ศาลาเทาเที่ยในเมืองร้อยดอกไม้ ส่วนข้าจะส่งวิญญาณปีศาจลิงโบราณไปยังศาลาเทาเทียในเมืองประตูทิศใต้"
[60] : "ตกลง"
แค่ไม่กี่ประโยค ข้อตกลงนี้ก็ได้รับการแลกเปลี่ยนอย่างเป็นมิตร
ในเวลานี้ ชูเหลียงได้ปรากฏตัวขึ้น
[58] : "ให้ตายสิ ข้ามาช้าไปหรือ"
[59] : "ฮ่าๆ ไว้คราวหลังนะขอรับ"
[58] : "ย่อมได้ๆ "
ด้วยการสื่อสารที่เรียบง่ายนี้เขาแสดงให้เห็นถึงการมีอยู่ของเขาจากนั้นออกจากระบบและออกจากการมีส่วนร่วมอย่างแนบเนียนได้สำเร็จ
กระบวนการทั้งหมดใช้การสื่อสารที่เรียบง่ายเพื่อแลกเปลี่ยนสมบัติโดยตรง อย่างไรก็ตาม ชูเหลียงสามารถอนุมานข้อมูลสําคัญบางอย่างจากมันได้
ประการแรก ผู้ปราบวิญญาณนั้นดูเหมือนจะไม่สนิทสนมกัน
นี่อาจเป็นปัญหาที่พบบ่อยของนิกายมืดอย่างราชาแห่งความมืดที่มักจะมีความขัดแย้งภายในระหว่างคนในนิกายเข้มข้นเป็นพิเศษจนนำไปสู่ความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันระหว่างสมาชิกในนิกาย
พวกเขาทําการแลกเปลี่ยนผ่านศาลาเทาเที่ยแทนที่จะทําด้วยตนเองซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาขาดความไว้วางใจ หรือพวกเขาอาจไม่เคยเจอกันมาก่อนด้วยซ้ำ
หากเป็นอย่างหลังจริง นี่จะถือเป็นข่าวดีสำหรับชูเหลียงที่แฝงตัวอยู่
นอกจากนี้ การแลกเปลี่ยนนี้ได้ให้แนวคิดดีๆ กับชูเหลียง
หากเจดีย์ขาวให้รางวัลเขาด้วยสิ่งที่เขาไม่ต้องการ เขาอาจจะพิจารณาใช้มันเพื่อแลกกับสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ
ฉูซานมีตลาดเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อนุญาตให้ศิษย์ตั้งแผงขายของที่นั่น อย่างไรก็ตาม มีข่าวลือออกมาว่า ของที่ขายส่วนใหญ่เป็นของธรรมดา และพบของดีได้น้อยมาก ชูเหลียงไม่ไปที่นั่นมาก่อน แต่อาจจะไปเยี่ยมชมตลาดเล็กๆ แห่งนี้ในอนาคต
อีกทางเลือกหนึ่งคือศาลาเทาเทียที่มีอยู่นอกฉูซาน
ศาลาเทาเที่ยทั้งหมดในโลกเป็นหนึ่งในสิบกำลังอมตะแห่งโลกซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเทาเที่ยในภาคเหนือ
...
กว่าพันปีก่อน เมืองเทาเทียยังเป็นเพียงนิกายระดับสามธรรมดา ในประวัติศาสตร์เมืองนี้ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นด่านหน้าต่อสู้กับชนเผ่าปีศาจจนได้รวมตัวจัดระบบเป็นนิกาย และเมื่อเวลาผ่านไปนิกายนี้ก็ค่อยๆ เสื่อมถอยลงตามเวลา
เมืองนี้ตั้งอยู่ในภาคเหนือที่แห้งแล้งและไม่มีลักษณะพิเศษใดๆ นอกจากขนาดที่กว้างใหญ่
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่นิกายเสื่อมถอยลง เจ้าเมืองที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ได้มีความคิดที่ยอดเยี่ยม
เมื่อพิจารณาถึงพื้นที่อันกว้างใหญ่ของเมืองนี้ เขาตัดสินใจที่จะใช้ขนาดของเมืองนี้เพื่อเปิดตัวแผนงานของเขา โดยเชิญผู้คนจากนิกายต่างๆ และคนที่มีภูมิหลังที่แตกต่างกันมายังเมืองเทาเทีย.. เพื่อใช้ในกิจกรรมเชิงค้าขาย
ความจริงเจตนาของเขาคือการสรรหาพ่อค้า
เขาพยายามพาผู้คนไปทํากิจกรรมการค้าที่เมืองเทาเทีย
เนื่องจากลักษณะพิเศษของผู้บ่มเพาะแลกเปลี่ยนส่วนใหญ่จะดำเนินการผ่านการแลกเปลี่ยนสิ่งของมากกว่าการใช้เงินตรา
พวกเขาแลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้สิ่งของที่ต้องการ เพราะเงินมักจะไร้ประโยชน์สำหรับพวกเขา
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายหลักของการซื้อขายแลกเปลี่ยนคือการมีช่องว่างของข้อมูล
เช่นคนในทางใต้อาจต้องการสิ่งที่มีเฉพาะในทางเหนือ ในขณะที่คนจากทางตะวันออกอาจต้องการสิ่งที่มีแค่ในทิศตะวันตก พวกเขาอาจไม่สามารถสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทําให้พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงสิ่งที่ต้องการได้
ช่องว่างของข้อมูลเหล่านี้มีอยู่เนื่องจากผู้ฝึกฝนหลายคนไม่เต็มใจที่จะเปิดเผยสมบัติของพวกเขา
ดังคำกล่าวที่ว่า "คนบริสุทธิ์ถือสมบัติไว้ในมือ มีความผิดเหมือนโจร"
หากใครมาอวดขุมทรัพย์ที่ตัวเองมีอยู่อย่างเปิดเผย และอยากแลกเปลี่ยน ก็น่าจะดึงดูดพวกโจร โจร มากกว่าพ่อค้าแม่ค้า
สรุปได้ว่า แลกเปลี่ยนระหว่างผู้บ่มเพาะในอดีตนั้นเป็นกิจกรรมที่ไม่สะดวกอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากข้อจำกัดบางประการ
เทาเที่ยจึงได้กลายเป็นศูนย์กลางที่ผู้ฝึกฝนบ่มเพาะจากทั่วทุกมุมโลกสามารถแสดงรายการทรัพย์สินและความต้องการของพวกเขาต่อสาธารณะเพื่อให้ทุกคนได้เห็นซึ่งจะช่วยให้กระบวนการแลกเปลี่ยนนั้นง่ายขึ้น
ด้วยความน่าเชื่อถือของเมืองเทาเที่ยเป็นหลักประกันและรักษาความลับของข้อมูลผู้ค้าทั้งหมดอย่างเคร่งครัดทั้งสองฝ่ายมอบที่หมายรายการซื้อขายให้กับเมืองเทาเที่ย การแลกเปลี่ยนทั้งหมดจะเป็นไปด้วยความสะดวกและเรียบร้อยดี
แม้ว่าเมืองเทาเทียจะเรียกเก็บค่าใช้งานสูง แต่กระบวนการทั้งหมดก็ง่ายและปลอดภัย ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่จึงยินดีจ่ายเงินส่วนนี้เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการซื้อขายที่ส่อไปในทางทุจริตที่อาจเกิดขึ้น
แต่ทางชูเหลียงเองเป็นคนของนิกายอมตะศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้า เขาไม่จำเป็นต้องใช้งานบริการของเทาเทีย
ผู้บ่มเพาะอย่างชูเหลียงซึ่งสังกัดนิกายอมตะศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้า ซึ่งนิกายหลักเหล่านี้มีทรัพยากรภายในที่เพียงพอและสมาชิกจํานวนมากเพื่อให้พวกเขาสามารถพึ่งพาตนเองได้และช่วยให้พวกเขาสามารถสร้างระบบการค้าภายในได้ เช่นเดียวกับนิกายฉูซานที่มีศาลาแลกกระบี่และหอทั้งสี่ซึ่งสร้างมาเพื่อความสะดวกต่อการหมุนเวียนทรัพยากรของคนในนิกาย
แม้ต้องการค้าขายกับหน่วยงานภายนอกก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกหลอกเพราะมีนิกายหลักหนุนอยู่
อย่างไรก็ตาม ความกังวลเหล่านี้เป็นสาเหตุของความคับข้องใจสําหรับผู้บ่มเพาะที่ไม่ใช่กระแสหลักที่มักจะรวมตัวกันอยู่เป็นจํานวนน้อย
การดํารงอยู่ของเมืองเทาเทียนั้นถือเป็นของประทานจากสวรรค์สำหรับพวกเขาเลยทีเดียว
แน่นอนว่าชื่อเสียงของเมืองเทาเที่ยไม่ได้ทําได้ในชั่วข้ามคืน
เทาเที่ยใช้เวลาหลายชั่วอายุคนและหลายร้อยปีในการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการค้าระดับโลกที่ได้รับการยอมรับและมีตำแหน่งเป็นถึงหนึ่งในนิกายอมตะศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้า
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทาเที่ยได้ขยายอิทธิพลออกไปนอกขอบเขตเดิม
พวกเขาได้จัดตั้งศาลาเทาเทียในเมืองใหญ่ๆ เพื่อให้สามารถทำการค้าในสถานที่ใดก็ได้และเพื่อจัดการกระบวนการจัดส่งเพื่อให้ผู้แลกเปลี่ยนสบายใจ
ในกระบวนการดําเนินการแลกเปลี่ยนเหล่านี้ เทาเที่ยไม่ได้เพิกเฉยต่อมรดกของตนเอง พวกเขาใช้เงินจํานวนมากที่หามาได้เพื่อรวมนิกายของตนเองและเสริมความแข็งแกร่งของศิษย์
ปัจจุบันลูกศิษย์ของเทาเที่ยมีชื่อเสียงในด้านอุปกรณ์ครบครันและมีชื่อเสียงในด้านความมั่งคั่ง
เมื่อกลุ่มนิกายอมตะศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าและกำลังอมตะแห่งโลกทั้งสิบต่างๆ แข่งขันกันในด้านกําลังรบและความได้เปรียบทางอุปกรณ์ เทาเที่ยได้สร้างชื่อเสียงของตนเองและใช้มันเพื่อสร้างเครือข่ายในขณะที่มุ่งเน้นไปที่การขนส่ง พวกเขาใช้ผลตอบแทนเดิมเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและสร้างเส้นทางและเครือข่ายเพื่อปกป้องนิกายของพวกเขาอย่างชาญฉลาด
ในมุมมองของชูเหลียง การเติบโตของเมืองเทาเทียช่างเป็นการทำธุรกิจในโลกของยุทธจักรที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง
...
คืนที่เงียบงันผ่านพ้นไป เช้าวันรุ่งขึ้น ชูเหลียงรีบอาบน้ำและไปหายุนเชาเสี้ยนที่ห้องข้างๆ
ยุนเชาเสียนสวมเสื้อขณะฝึกทักษะ แต่เมื่อเขาเหวี่ยงหมัด ชูเหลียงก็ได้ยินเสียงปริแตกมาจากเสื้อตัวนั้น
ชูเหลียงอดคิดไม่ได้ หรือว่าชายกล้ามโตไม่ชอบใส่เสื้อผ้าหรือ
เมื่อวานนี้ ชายคนนี้ถอดเสื้อยาวมาถึงเมืองนี้หลังจากฉีกเสื้อผ้าไปที่เขาอินริน เขามาพร้อมอาวุธสังหารในมือ ทันทีที่เขาเข้าไปในเมืองมาเขาก็ถูกเจ้าหน้าที่หยุดเอาไว้ เขาต้องไปซื้อเสื้อผ้าที่ไหนสักแห่ง และหาผ้ามาห่อง้าวเอาไว้ก่อนที่เขาจะได้รับอนุญาตให้เข้าประตูเมือง
"ท่านชู ตื่นแล้วหรือ ข้ากำลังจะไปเรียกท่านอยู่พอดี ฉันติดตามตำแหน่งของคลื่นกระแทกสวรรค์ได้แล้ว ไปจัดการกับเจ้าปีศาจนั่นกันเถิด"
"ขอรับ" ชูเหลียงตอบด้วยรอยยิ้ม และจู่ๆ เขาก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง “ท่านยุน ท่านพอจะมีวิชาศิลปะการต่อสู้ที่เรียนง่ายๆ สามารถสอนข้าได้สักสองสามกระบวนท่าหรือไม่”
เขาได้รับพลังความแข็งแรงทางกายภาพจากยา หากจะให้ดีและไม่เสียเปล่า การเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้จากหยุนเชาเสี้ยนสักสองสามกระบวนท่าคงจะทำให้ยานี้เกิดประโยชน์สูงสุด
ชูเหลียงไม่ขอเรียนวิชาลับชั้นสูงแน่นอน อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นทักษะพื้นฐาน ยุนเชาเสี้ยนอาจไม่รังเกียจที่จะสอนเขา
"หือ" ยุนเชาเสี้ยนกล่าว ความอยากรู้อยากเห็นของเขาเกิดขึ้นทีันทีและเอ่ยถาม “ท่านชู เหตุใดจู่ท่านจึงสนใจในศิลปะการต่อสู้ล่ะ”
"เพราะ.. ข้าเห็นความกล้าหาญและความทรงพลังของท่านเมื่อวานนี้ที่เขาอินริน ข้าอดไม่ได้ที่จะจะชื่นชมมันและอยากที่จะเรียนรู้มันอย่างมาก" ชูเลี่ยงตอบด้วยคําพูดที่หนักหน่วง
"ฮ่าๆๆๆ“เขาโบกมือ”ท่านชมข้ามากไปแล้ว แต่ถ้าท่านสนใจและไม่เคยฝึกศิลปะการต่อสู้มาก่อน ข้าก็สามารถสอนการเคลื่อนไหวพื้นฐานสองสามอย่างให้ท่านได้”
“แล้วอาวุธชนิดใดที่ท่านมักจะรู้สึกสบายใจที่จะใช้ที่สุดเล่า”
ชูเหลียงกล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “ก้อนอิฐ”
“...”
..ยุนเชาเสี้ยนคิดบทสนทนาต่อไปไม่ออกกันเลยทีเดียว..