บทที่ 35 เข้าสู่ป่าทมิฬ
คนขับรถม้าตกใจมาก เมื่อเขาได้ยินอีกฝ่ายเรียกตัวเองว่าหลงเทียน เขาเป็นคนรับใช้ของตระกูลราชวงศ์มานาน แน่นอนว่าเขารู้ว่าหลงเทียนเป็นใคร
อัจฉริยะจากสวรรค์แห่งอาณาจักรสุ่ยที่ถูกลอบสังหารก่อนที่เขาจะรุ่งโรจน์ และเป็นหลานชายคนโปรดของหลงเหริน ผู้นำตระกูลหลง แต่เขาไม่เข้าใจว่าหลงเทียนมายืนอยู่ต่อหน้าเขาและพูดคุยกับเขาได้อย่างไร
“ท่านต้องล้อข้าเล่นเป็นแน่ นายน้อยหลง ทุกคนต่างทราบกันดีว่านายน้อยเทียนพิการ...ข้าหมายถึงเขาไม่สามารถใช้ชีวิตเหมือนคนปกติได้อีกต่อไป และข้ามั่นใจว่าท่านเองก็รู้ว่าในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา นายน้อยเทียนไม่เคยออกมาจากตระกูลแม้แต่ครั้งเดียว นับตั้งแต่วันที่เขาถูกลอบสังหาร” หลงเฉินเข้าใจว่าชายคนนี้กำลังเรียกหลงเทียนว่าคนพิการ ถึงกระนั้นเขาก็ควบคุมตัวเองได้ เมื่อสังเกตเห็นว่าเขาอยู่ต่อหน้าสมาชิกตระกูลหลง
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าพูดถูก เจ้าฉลาดมาก ข้าชื่อหลงเฉินและข้ามักฝึกฝนอย่างสันโดษ ดังนั้นเลยไม่ค่อยมีใครรู้จักข้ามากนัก” หลงเฉินเปลี่ยนหัวข้อสนทนา และเห็นด้วยกับความคิดเห็นของคนขับรถม้า เนื่องจากเขาไม่อยากเสียเวลาที่ต้องมาพิสูจน์ตัวตนของตัวเอง
“อย่างนั้นนี่เอง นายน้อยเฉิน แต่ข้าไม่เคยได้ยินชื่อของท่านมาก่อน ในเมื่อท่านใช้รถม้าสีทองคันนั้นได้ นั่นหมายความว่าท่านเองก็เป็นคนสำคัญของตระกูล?” หลงเฉินเห็นว่าคนขับรถม้าคนนี้พยายามล้วงข้อมูลเกี่ยวกับตัวตนของเขา
“ใช่แล้ว” หลงเฉินตอบกลับ
“อย่างไรก็ตาม เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าใครมากับรถม้าคันนี้ และพวกเขาเข้าไปข้างในพร้อมกับคนตระกูลหลงหรือไม่?” หลงเฉินยังคงถามต่อ
“ไม่ เมื่อพวกเรามาถึง รถม้าของตระกูลหลงก็อยู่ที่นี่แล้ว พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นใครที่เข้าไปข้างใน ส่วนรถม้าของพวกเรานั้น องค์ชายรองและองค์หญิงลำดับที่ 3 มาด้วยรถม้าคันนี้ ส่วนจุดประสงค์ที่พวกเขามาที่นี่นั้นข้าไม่สามารถบอกท่านได้” เขาตอบคำถามของหลงเฉิน ขณะมองไปที่เขา
“โอ้ว องค์ชายรองและองค์หญิงลำดับที่ 3 ขอบคุณสำหรับข้อมูล ตอนนี้ข้าต้องเข้าไปข้างในแล้ว” หลงเฉินกล่าวขณะที่เขาเริ่มเดินเข้าไปในป่า
“เนื่องจากเขาเป็นสายเลือดหลักของตระกูลหลงและมีความกล้าหาญพอที่จะมาที่นี่ เขาจะต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน แต่ว่ามันแปลกที่ข้าสัมผัสพลังจากเขาไม่ได้เลย” คนขับรถม้าคนนั้นพูดพึมพำกับตัวเองขณะมองไปทางหลงเฉิน
หลังจากที่หลงเฉินเข้าไปในป่า เขาก็เห็นต้นไม้และพืชหลากหลายชนิด จากนั้นเขาก็กระจายสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไปรอบตัว ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 200 เมตร แต่ก็สัมผัสไม่ได้ถึงอะไร
สัมผัสศักดิ์สิทธิ์คือความสามารถที่จอมยุทธระดับก่อจิตวิญญาณทุกคนมี ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้มันตรวจสอบรอบข้างและตรวจจับพื้นที่ใกล้เคียง ระยะการใช้งานของมันจะเพิ่มขึ้นตามระดับบ่มเพาะพลัง
จอมยุทธระดับก่อจิตวิญญาณขั้น 1 จะมีระยะสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ 10 เมตร ซึ่งระยะของมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามพลังที่เพิ่มขึ้น แต่หลงเฉินรู้ว่าสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขานั้นแตกต่าง
โดยปกติแล้วจอมยุทธระดับก่อจิตวิญญาณขั้น 5 จะมีระยะสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ 50 เมตร แต่หลงเฉินกลับมีระยะสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ 200 เมตรทั้งที่อยู่ในขอบเขตเดียวกัน ในแง่ของระยะสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ หลงเฉินรู้ว่าตอนนี้เขาเหนือกว่าจอมยุทธระดับก่อจิตวิญญาณขั้น 10 เล็กน้อย
เมื่อหลงเฉินไม่พบสิ่งอะไรใกล้ตัว แม้จะกระจายสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาออกไปแล้วก็ตาม มันไม่มีสัตว์อสูรหรือมนุษย์อยู่ใกล้ๆ ทำให้เขาเดาว่าอาจเป็นเพราะเขาอยู่ด้านนอกของป่า ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะเดินลึกเข้าไปอีกเพื่อตามหาหลงชู
หลังจากที่หลงเฉินเดินลึกเข้าไปในป่าประมาณ 10 นาที เขาก็ยังไม่พบสัตว์อสูรแม้แต่ตัวเดียว แต่เจอสมุนไพรหลากหลายชนิดระหว่างทางแทน จากความทรงจำของหลงเทียน ทำให้เขาทราบชนิดสมุนไพรต่างๆ ด้วยความรู้ดังกล่าว เขาเลยเก็บสมุนไพรที่เป็นประโยชน์เข้าไปในแหวนมิติของเขา
หลังจากเดินลึกเข้าไปอีกหน่อย หลงเฉินก็พบกับสัตว์อสูรตัวแรก มันเป็นหมีทลายศิลาที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่าระดับก่อจิตวิญญาณขั้น 4 ซึ่งหลงเฉินรู้ว่าหมีทลายศิลานั้นมีพลังโจมตีและพลังป้องกันสูง แต่เคลื่อนไหวได้ช้า ถึงกระนั้นแทนที่จะใช้ความว่องไวของเขาเพื่อฆ่ามัน หลงเฉินกลับตัดสินใจที่จะใช้ความแข็งแกร่งของเขา
หลงเฉินค่อนข้างมั่นใจความแข็งแกร่งของตัวเอง หมีทลายศิลาที่เป็นสัตว์อสูรระดับจิตวิญญาณขั้น 4 เท่านั้น นั่นเป็นเหตุผลที่หลงเฉินไม่นำดาบราชันย์ออกมาใช้ และใช้แค่ดาบทลายภูผา
“ดาบศักดิ์สิทธิ์เจ็ดกระบวนท่า กระบวนท่าแรก ชำระล้าง!”
หลงเฉินฟาดฟันออกไปด้วยดาบ ก่อนที่สัตว์อสูรตัวนี้จะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น หัวของมันก็ถูกตัดแยกออกจากร่างกายของมัน และตายในที่สุด จากนั้นหลงเฉินก็ตัดสินใจเก็บร่างของมันเข้าไปในแหวนมิติ เนื่องจากเขามีพื้นที่ว่างมากมาย และถ้าเขาต้องการใช้มันในอนาคต เขาก็สามารถนำร่างของมันออกมาขายในตลาดได้
หลังจากเก็บร่างของหมีทลายศิลาเข้าไปในแหวนมิติ หลงเฉินก็เดินหน้าต่อ
ขณะที่หลงเฉินเข้ามาในป่าและสังหารสัตว์อสูร หลงชูและพรรคพวกของเขาก็เดินลึกเข้าไปในป่ามากขึ้นเรื่อยๆ
“บัดซบ สัตว์อสูรที่พวกเราเผชิญหน้าในป่ามีแต่สัตว์อสูรระดับจิตวิญญาณขั้น 6 และ 7 ไม่กี่ตัวเท่านั้น สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกว่านี้มันหลบหัวอยู่ที่ไหนกัน แล้วพวกเราจะพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเองได้อย่างไรถ้าไม่เจอคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ” หลงชูพูดพึมพำกับตัวเองขณะเดินลึกเข้าไปในป่า
ในป่าทมิฬแห่งนี้มีบุคคลสำคัญอีกคู่หนึ่ง
มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลากำลังเดินอยู่ในป่า เขามีอายุประมาณ 17-18 ปี มีผมสีดำเข้มและมีนัยน์ตาสีฟ้าอ่อน อีกทั้งยังให้กลิ่นอายที่สูงส่งอย่างกับองค์ชาย และชายหนุ่มผมดำคนนี้กำลังสวมชุดคลุมสีฟ้าอ่อนที่มีสัญลักษณ์ดวงจันทร์ประดับอยู่ และเขากำลังเดินอยู่กับเด็กสาวคนหนึ่งที่มีอายุประมาณ 15-16 ปี