ตอนที่แล้วบทที่ 33 ดาบราชันย์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 35 เข้าสู่ป่าทมิฬ

บทที่ 34 คนจากตระกูลราชวงศ์?


ขณะที่หลงเฉินเดินออกจากหอสมบัติ ผู้อาวุโสหยางก็ยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เดินออกไปเช่นกัน และไปที่ห้องโถงหลักของตระกูลหลง ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผู้นำตระกูลหลงอยู่

เมื่อหลงเฉินเดินออกจากหอสมบัติ เขาก็เดินไปตำหนักแม่ของเขาเพื่อเล่าให้นางฟังก่อนที่จะไป เนื่องจากหลงเฉินไม่อยากให้นางเป็นห่วงมากนัก และคิดว่าการเดินทางครั้งนี้อาจใช้เวลานาน

ระหว่างทาง หลงเฉินเดินผ่านหอทักษะยุทธ แต่เขาตัดสินใจที่จะไม่เข้าไปข้างใน เนื่องจากเขาพอใจกับทักษะยุทธที่ตัวเองมีอยู่แล้ว นอกจากนั้นหลงเฉินคิดว่าถ้าเขาเลือกทักษะยุทธระดับจิตวิญญาณตอนนี้ เขาไม่สามารถฝึกฝนมันได้อย่างเชี่ยวชาญในระยะเวลาสั้นๆแบบนี้ได้

เมื่อหลงเฉินเดินมาถึงตำหนักแม่ของเขา เขาก็เคาะประตู ทันทีที่ซือหม่าจืออี้เปิดประตู หลงเฉินก็บอกนางว่าเขาจะออกไปข้างนอกสักพัก แล้วบอกกับนางว่าเนื่องจากเขากลับมาเป็นปกติแล้ว เขาอยากฝึกฝนต่อ และบอกนางว่าเขากำลังจะไปที่ป่าทมิฬทางตอนเหนือเพื่อต่อสู้กับสัตว์อสูร ซึ่งอาจต้องใช้เวลาหลายวันก่อนกลับ

ซือหม่าจื้ออี้ไม่เห็นด้วย แต่หลงเฉินได้โกหกนางว่าปู่อนุญาตให้เขาไป โดยมีผู้คุ้มกันระดับแก่นทองขั้นสูงสุด 2 คนติดตามไปด้วยเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของเขา และเขายืนยันกับนางว่าเขาจะไม่เป็นไร

“ก็ได้ ในเมื่อพ่อตาได้อนุญาตให้เจ้าไป โดยมีผู้คุ้มกันระดับแก่นทองขั้นสูงสุด 2 คนติดตามไปด้วยข้าก็หายห่วง ป่าทมิฬทางตอนเหนือไม่มีสัตว์อสูรตัวไหนแข็งแกร่งกว่าระดับก่อจิตวิญญาณ ครั้งนี้ข้าจะยอมให้เจ้าไป” เมื่ออยู่ต่อหน้าความดื้อดึงของหลงเฉิน ในที่สุดซือหม่าจืออี้ก็อนุญาตให้เขาไป

“แต่ก่อนไปข้าจะให้คนรับใช้เตรียมอาหารให้เจ้า เจ้าจะออกเดินทางเมื่อไหร่ล่ะ?” ซือหม่าจื้ออี้ถาม

“อะแฮ่ม...ท่านแม่...ตอนนี้เลย...ถ้าเป็นไปได้...” หลงเฉินกล่าวขณะมองเข้าไปในดวงตาของนาง

ซือหม่าจื้ออี้ประหลาดใจ แต่ก็สงบสติอารมณ์ลง และรีบออกไปจากห้องเพื่อเตรียมอาหารให้ลูกของนางโดยเร็วที่สุด แล้วหลงเฉินก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นปริมาณอาหารที่นางเตรียมให้เขา มันอาจเพียงพอที่จะพูดได้ว่าเขาสามารถกินอาหารพวกนี้ได้นานกว่าหนึ่งสัปดาห์

จากนั้นหลงเฉินก็กล่าวลาซือหม่าจื้ออี้ และเดินไปยังประตูทางทิศเหนือของตระกูลหลง ซึ่งมีรถม้าหรูหราของเขากำลังจอดรออยู่ที่นั่น เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาได้บอกคนรับใช้ของเขาว่าเขาจะออกเดินทางวันนี้เพื่อเตรียมการทุกอย่างให้พร้อมสำหรับเดินทาง จากนั้นหลงเฉินก็เข้าไปในรถม้าและเริ่มมุ่งหน้าไปที่ดินแดนทางตอนเหนือของเมืองมังกร

ขณะที่หลงเฉินออกจากตระกูลหลง ผู้อาวุโสหยางก็กลับมาจากห้องโถงหลัก เขาต้องการบอกหลงเหรินเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นของหอสมบัติชั้นที่ 2 และความสำเร็จอันยอดเยี่ยมของหลานชายของเขา

แต่เมื่อผู้อาวุโสหยางไปถึง เขาก็ได้รับการแจ้งว่าผู้นำหลงเหรินพึ่งออกเดินทางไปเมืองใกล้เคียงเพื่อทำธุระสำคัญบางอย่าง และไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาตอนไหน ทำให้ผู้อาวุโสหยางไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากกลับหอสมบัติและรอหลงเหรินกลับมา

ในขณะที่รถม้าของหลงเฉินกำลังมุ่งหน้าไปที่ป่าทมิฬทางตอนเหนือ เขาก็นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างในอย่างสบายใจ ในโลกที่แล้วของหลงเฉิน เขาไม่ได้มีเวลาว่างอ่านหนังสือมากนัก นอกจากหนังสือเรียนที่เขาจะอ่านมันตอนใกล้สอบเท่านั้น

แต่ตอนนี้หลงเฉินตระหนักว่าการอ่านหนังสือและได้รับความรู้จากมันได้กลายเป็นหนึ่งในงานอดิเรกของเขาไปแล้ว เขารู้สึกว่าบางทีมันอาจเป็นเพราะอิทธิพลจากความทรงจำของหลงเทียนที่ทำให้เขากลายเป็นคนแบบนี้ และสนุกกับการอ่านหนังสือ

ขณะที่หลงเฉินกำลังอ่านหนังสืออยู่ รถม้าของเขาก็เดินทางได้อย่างราบรื่น โดยไม่พบอุปสรรคอะไร เพราะไม่มีใครกล้าหยุดรถม้าของตระกูลหลง และหลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดรถม้าของเขาก็เข้าสู่ดินแดนทางตอนเหนือของเมืองมังกร

หลงเฉินเปิดหน้าต่างรถม้าและมองออกไปข้างนอก

หลงเฉินพบว่าดินแดนแห่งนี้ไม่ได้เจริญรุ่งเรืองเหมือนกับดินแดนทางตอนใต้ที่ตระกูลหลงปักหลักอยู่ เขารู้ว่ามันเป็นเพราะไม่มีตระกูลใหญ่ปักหลักอยู่ที่นี่และคอยจัดการดูแลดินแดนแห่งนี้ ในขณะที่ตระกูลฉินกับตระกูลกู่ปักหลักอยู่ที่ดินแดนตะวันออกและตะวันตก

อีกเหตุผลหนึ่งคือ ดินแดนแห่งนี้ไม่ได้มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์มากนัก ถึงจะไม่แย่ แต่ก็ไม่ได้ดี บ้านเรือนไม่ได้หรูหรา แต่ก็ไม่ธรรมดา ผู้คนไม่ได้ยากจนและอ่อนแอเช่นกัน เนื่องจากดินแดนแห่งนี้ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรสุ่ย

หลังจากเดินทางผ่านดินแดนทางเหนือมาระยะหนึ่ง ในที่สุดรถม้าของหลงเฉินก็มาถึงชายแดนทางทิศเหนือ ซึ่งเป็นที่ตั้งของป่าทมิฬทางตอนเหนือ

หลงเฉินลงจากรถม้า และบอกให้คนขับรถม้าของเขาอยู่ที่นี่และรอเขากลับมา ขณะที่หลงเฉินมองใกล้ๆ เขาก็สังเกตเห็นว่ามีรถม้าอีกสองคันจอดรออยู่บริเวณใกล้เคียง

หลงเฉินจำรถม้าสองคันนั้นได้จากสัญลักษณ์ของพวกมัน รถม้าคันแรกมีสัญลักษณ์มังกรซึ่งเหมือนกับรถม้าของหลงเฉิน เขาจึงเดาว่ามันน่าจะเป็นรถม้าของหลงชู และเป็นข้อพิสูจน์ว่ามันอยู่ที่นี่

สิ่งที่ทำให้หลงเฉินรู้สึกประหลาดใจมากที่สุดคือรถม้าคันที่สอง หลงเฉินสามารถมองเห็นสัญลักษณ์ดวงจันทร์บนรถม้าคันนั้นได้อย่างชัดเจน

“ทำไมพวกเขาถึงมาที่นี่?” หลงเฉินพึมพำกับตัวเองขณะมองไปที่รถม้าคันนั้น

หลงเฉินรู้ว่าสัญลักษณ์ดวงจันทร์หมายถึงอะไร มันเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลเย่ว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลราชวงศ์แห่งอาณาจักรสุ่ย

‘มีคนจากตระกูลราชวงศ์มาที่นี่ด้วย แต่เพราะอะไร? มันจะเป็นปัญหาหากมีใครก็ตามอยู่กับหลงชู ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าเขาเป็นใคร’ หลงเฉินคิดอยู่ในใจขณะที่เขาเริ่มเดินตรงไปที่รถม้าคันนั้น

เขามองเห็นคนขับรถม้านั่งหลับตาอยู่

“ขอโทษที่รบกวน เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าใครนั่งรถม้าคันนี้มา?” หลงเฉินถามคนขับรถม้าขณะที่เขาเดินเข้าไปใกล้

“ไปให้พ้น เจ้าไม่เห็นหรือไงว่านี่เป็นรถม้าของตระกูลราชวงศ์” คนขับรถม้าคนนั้นดุในขณะที่ลืมตาตื่นขึ้นมา แต่ทันทีที่เขาเห็นเสื้อผ้าอันหรูหราของหลงเฉินและสัญลักษณ์มังกรบนเสื้อคลุมสีทองของเขา เขาก็รีบปิดปากของตัวเองทันที

เขากวาดสายตามองรอบๆ และสังเกตเห็นรถม้าคันที่สามที่พึ่งมาถึง ซึ่งแน่นอนว่ามาจากตระกูลหลง ถึงแม้เขาจะเป็นคนขับรถม้าของตระกูลราชวงศ์ แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะไปล่วงเกินใครก็ตามที่เป็นสายเลือดหลักของ 3 ตระกูลใหญ่ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเด็กอายุประมาณ 12-13 ปีก็ตาม แต่การที่เขามีรถม้าส่วนตัวนั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เด็กคนนี้จะไม่ใช่คนสำคัญ เขารู้ว่าเด็กที่อยู่ตรงหน้าจะต้องเป็นสายเลือดหลักของตระกูลหลงอย่างแน่นอน

“นายน้อยหลง ข้าขออภัยเป็นอย่างสูงที่ไม่รู้ว่าเป็นท่าน ตั้งแต่ข้ามาถึงที่นี่ มีผู้คนมากมายได้เข้าไปในป่าแห่งนี้ แต่ก่อนที่พวกเขาจะเข้าไป พวกเขาทุกคนต่างก็ถามคำถามแบบนี้กับข้า ข้าเลยคิดว่าเป็นคนพวกนั้นอีกแล้ว” คนขับรถม้ากล่าวกับหลงเฉินขณะขอโทษ

“ไม่เป็นไร ข้าชื่อหลงเทียนจากตระกูลหลง เอาล่ะ เจ้าช่วยบอกข้าได้หรือไม่ว่าใครเป็นคนนั่งรถม้าคันนี้มา? และข้าสังเกตเห็นว่าเหมือนจะมีคนจากตระกูลหลงของข้ามาที่นี่ด้วยเช่นกัน พวกเขาเข้าไปข้างในด้วยกันหรือไม่?” หลงเฉินยังคงถามต่อ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด