ตอนที่ 74 ก้าวสู่อำนาจแท้จริง
ตอนที่ 74 ก้าวสู่อำนาจแท้จริง
บัดนี้ซูอันต้องการต่อสู้อีกครั้งเพื่อชิงตำแหน่งผู้นำของตนคืนมา
“เอาล่ะ ข้าพร้อมทะลวงระดับหยวนเสินแล้ว” มู่หนิงเจินตื่นขึ้นมาแล้วพูดด้วยใบหน้าแข็งทื่อ กระนั้นยังเห็นเสน่ห์เย้ายวนผ่านสายตาของนาง “สิ่งนี้มอบให้เจ้าและอย่าเที่ยวพูดเหลวไหลข้างนอกเด็ดขาด”
นางโยนกระดิ่งเหอฮวนที่ผ่านการขัดเกลาใหม่ให้ซูอัน จากนั้นซัดพลังเวทใส่ซูอันและเสื้อผ้าของเขาออกไปนอกห้อง
ซูอันรีบใส่เสื้อผ้าพลางมองสิ่งที่กระโดดอยู่บนฝ่ามือของตน...กระดิ่ง (ไข่) เหอฮวน
เห็นเขาเป็นคณิกาชายหรือ?
เขามองกลับไปที่ประตูและแอบถ่มน้ำลายใส่
“ถุย หญิงชั่ว ได้แล้วทิ้ง!”
……
ครึ่งเดือนต่อมา นิกายเทียนสุ่ยคืนสู่สถานการณ์ปกติ
ตอนนี้เอง!
รัศมีที่ทรงพลังเทียบเท่าท้องฟ้าแผ่ปกคลุมทั้งนิกายเทียนสุ่ยและพื้นที่โดยรอบซึ่งอยู่ไกลออกไป
ผู้ฝึกตนจำนวนมากรู้สึกถึงรัศมีนี้และมองไปในทิศทางของนิกายเทียนสุ่ย
รัศมีแห่งหยวนเสินอันสูงส่งก่อกำเนิดแล้ว!
ชิงโจวมีดินแดนศักดิ์สิทธิ์กำเนิดเป็นแห่งแรก นั่นคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนสุ่ย
ไม่นานหลังจากนั้น เรือเซียนลำหนึ่งบินออกจากนิกายเทียนสุ่ย
ซูอันนั่งบนเก้าอี้โยกพลางเล่นยันต์หยกในมือ
สุดท้ายมู่หนิงเจินไม่มาส่งเขา อาจเพราะนางไม่รู้ว่าจะจัดการกับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองอย่างไรจริงๆ
แต่นางสั่งให้เฟิ่งหลวนมอบยันต์หยกนี้แก่เขา ซึ่งมันบรรจุพลังโจมตีของหยวนเสินเอาไว้
แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับหยวนเสินยังต้องใช้ความพยายามสูงมากในการบรรจุพลังโจมตีไว้ในยันต์หยก ดังนั้นเว้นแต่เป็นคนใกล้ชิดจริงๆ ถึงจะมอบให้ได้
“เฮอะ” ซูอันเก็บยันต์หยก “ไปเถอะ กลับเมืองหลวงกัน!”
……
สำหรับเหตุการณ์ในชิงโจวได้แพร่ไปยังเมืองหลวงโดยเจตนาแล้ว
เรื่องราวต่างๆ เช่นแผนการอันชาญฉลาดของอู่ซ่วนโหวในการสังหารกองทัพผู้ปลูกฝังมารนับแสน การต่อสู้อันทรงพลังของอู่ซ่วนโหวกับผู้ปลูกฝังมารระดับหยางบริสุทธิ์ห้าคน ข่าวลือที่เกินจริงแพร่กระจายไปยังเมืองหลวง
แต่ผู้คนไม่ได้สนใจว่าจริงหรือเท็จ ขอแค่ได้ฟังเรื่องสนุกและน่าตื่นเต้นก็พอ
ซูอันได้รับชื่อเสียง ราษฎรได้รับความสุข เรียกว่ายิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ทำให้ซูอันกลายเป็นวีรบุรุษที่ช่วยชาวชิงโจวจากภัยพิบัติของผู้ปลูกฝังมาร สร้างภาพลักษณ์สง่างามและเที่ยงธรรมให้เขาอีกมากโข
ชื่อเสียงที่ดีขึ้นเช่นนี้จะช่วยส่งเสริมการเลื่อนตำแหน่งใหม่ให้สมเหตุสมผลขึ้น
หากไม่บรรยายความน่ากลัวของกองทัพผู้ปลูกฝังมารและความรุนแรงของสงคราม แล้วจะสะท้อนถึงการมีส่วนร่วมอันยิ่งใหญ่ของซูอันได้อย่างไร
เมื่อซูอันกลับมาที่จวนโหว พระราชโองการก็เดินทางมาถึงเช่นกัน
นอกจากรางวัลซึ่งเป็นสมบัติต่างๆ แล้ว ตำแหน่งขุนนางของเขาถูกเลื่อนขั้นเป็นขุนนางขั้นสองและตำแหน่งทางราชการยังเป็นที่ปรึกษาองค์จักรพรรดินีและราชเลขาธิการ
แม้จะได้รับการเลื่อนขั้นจากขุนนางขั้นสามเป็นขั้นสองเท่านั้น มองผิวเผินแล้วไม่น่าอิจฉามากนัก แต่เท้าของเขาก้าวสู่จุดสุดยอดแห่งอำนาจแท้จริงก็คราวนี้
เขาสามารถก้มหน้ามองเหล่าขุนนางได้
ขณะเดียวกันอำนาจผู้ตรวจการขององค์จักรพรรดินีก็มีสิทธิ์ชี้นิ้วตัดสินโทษมากขึ้นด้วย
ในตอนท้ายของพระราชโองการมีการเพิ่มประโยคพิเศษอีกหนึ่งประโยค นั่นคือเตือนซูอันให้เข้าวังเพื่อทูลรายงานต่อฝ่าบาทด้วย
ซูอันมองท้องฟ้ายามเย็นและเก็บพระราชโองการไว้ในกระเป๋า
“เหนื่อยกับการเดินทางมาก ขอนอนพักก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
……
วันถัดไป กว่าจะตื่นนอนก็ตะวันโด่งฟ้าแล้ว ซูอันรีบเดินทางเข้าวัง
“ฝ่าบาท...” ก่อนที่ซูอันจะทันได้พูดมากกว่านี้ จักรพรรดินีก็พูดก่อนแล้ว
“ไม่ได้เจอกันนาน ใต้เท้าซูยังเหมือนเดิมนะ! เจิ้นคิดว่าใต้เท้าซูชอบนิกายเทียนสุ่ยจนลืมทางกลับเมืองหลวงแล้วเสียอีก”
ซูอันตื่นตัวทันทีเพราะโทนเสียงนี้ไม่ปกติ
กำลังตำหนิว่าเขาอยู่ในนิกายเทียนสุ่ยนานเกินไปใช่ไหม?
“ไม่มีทางหรอกพ่ะย่ะค่ะ” การแสดงออกของซูอันจริงจังเช่นกัน “ฝ่าบาท ในวันนั้นเจ้านิกายมู่หนิงเจินทะลวงสู่ระดับหยวนเสิน กลายเป็นผู้นำของผู้ฝึกตนในชิงโจวไปแล้ว จึงไม่ควรประเมินความแข็งแกร่งต่ำเกินไป เนื่องด้วยกระหม่อมกลัวว่าชิงโจวจะเกิดความผันผวน จึงตั้งใจแฝงตัวอยู่ในนิกายเทียนสุ่ยเพื่อสืบว่ามู่หนิงเจินภักดีต่อต้าซางของเราหรือไม่”
“แล้วเจ้าได้คำตอบหรือไม่?” คิ้วสวยของจักรพรรดินีเลิกขึ้นเล็กน้อย
ผู้ฝึกตนระดับหยวนเสิน หากถูกจัดให้อยู่ในเผ่ามังกรก็สามารถถูกเรียกว่าบรรพบุรุษมังกรได้ หากถูกจัดให้อยู่ในเผ่าปีศาจก็สามารถถูกเรียกว่านักบุญปีศาจ แม้แต่ในสายตาของต้าซางยังเป็นคู่ต่อสู้ที่ควรค่า
สำหรับหยวนเสินที่ไม่เป็นศัตรูภายในอาณาเขต โดยพื้นฐานแล้วต้าซางจะให้เกียรติปลอมๆ เพื่อแสดงความยกย่อง
“กระหม่อมทำงานหนักทั้งวันทั้งคืนเพื่อสืบหาความจริงมากมายและหยั่งเชิงมู่หนิงเจินคนนั้นหลายหน ในที่สุดจึงค้นพบว่า...” ซูอันหยุดพูด สีหน้าเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น “มู่หนิงเจินคนนั้นภักดีจริงๆ ต้าซางสามารถวางใจได้พ่ะย่ะค่ะ!”
สำหรับบทละครนี้ไม่ได้เตรียมตัวมาล่วงหน้าจริงๆ
“แน่ใจหรือ? เจ้าไม่ได้มัวแต่หลงใหลศิษย์ในนิกายคนใดหรอกหรือ”
เท้าหยกของซูรั่วซีวางอยู่บนไหล่ของซูอัน สายตาจดจ้องซูอันด้วยความพินิจพิจารณา สีหน้าและน้ำเสียงบ่งบอกถึงการคุกคาม
นางย่อมรู้ว่านิกายเทียนสุ่ยเป็นนิกายที่รับแต่สานุศิษย์หญิงเท่านั้น
นางไม่สงสัยมู่หนิงเจิน เพราะโดยหลักแล้วนางไม่คิดว่าเสน่ห์ของซูอันจะมีพลังมากพอจนหลอกล่อผู้แข็งแกร่งระดับหยวนเสินได้ ใครก็ตามที่สามารถบรรลุถึงระดับหยวนเสินได้ย่อมไม่ใช่ผู้มีจิตใจอ่อนแอและถูกล่อลวงด้วยตัณหาของบุรุษ
“ฝ่าบาท กระหม่อมถูกใส่ร้าย!” ซูอันตะโกนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม “ทุกสิ่งที่กระหม่อมพูดเป็นความจริง กระหม่อมภักดีต่อฝ่าบาทสุดซึ้ง หัวใจที่ภักดีนี้ฟ้าดินเป็นพยานพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฝ่าบาท หากไม่เชื่อก็สัมผัสหัวใจอันเร่าร้อนของกระหม่อมได้เลย ที่มันเต้นอยู่ได้เพราะมีความภักดีต่อฝ่าบาทและต้าซางหล่อเลี้ยงพ่ะย่ะค่ะ!” ขณะที่พูด เขาประคองเท้าหยกออกจากไหล่และย้ายมาวางไว้บนตำแหน่งของหัวใจพลางเงยหน้าขึ้นเพื่อแสดงสายตาภักดีสุดซึ้ง
“พอเถอะ ข้าแค่ล้อเล่น” จักรพรรดินีกลอกตาใส่เขา
เสี่ยวอันจื่อคนนี้ ยิ่งตำแหน่งสูงมากเท่าไร ยิ่งด้อยศีลธรรมเท่านั้น
“นวดเท้าให้เจิ้น”
นางวางเท้าหยกอีกข้างไว้บนแขนของซูอันแล้วสั่ง
“พ่ะย่ะค่ะ!”
“...”
“ฝ่าบาท ความแรงเท่านี้พอดีหรือไม่ สบายไหม?”
“อืม~…ไม่เลว”
นางไม่รู้ตัวเลยว่าซูอันขึ้นมานั่งบนเตียงหงส์อีกครั้ง
……
“ฝ่าบาทไม่ได้ทำให้เจ้าลำบากใจใช่ไหม” เมื่อเห็นซูอันเดินออกจากตำหนัก ชิงหลิงจึงรีบเดินเข้ามาถามทันที
เมื่อซูอันได้ยินเช่นนี้ ท่าทางสบายๆ ของเขาก็ทรุดลง ร่างกายเหมือนหดเหลือนิดเดียวและดวงตากลมโตรื้นน้ำตา “ฮือฮือ พี่ชิงหลิง ฝ่าบาทโหดร้ายกับข้าอีกแล้ว ข้าเสียใจมาก อยากถูกกอด”
“โธ่!” ชิงหลิงเชื่อทันทีและกอดซูอันไว้ในอ้อมแขนพลางตบหลังเขาเบาๆ “ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร อย่าเศร้าเลย ฝ่าบาทก็ห่วงใยเจ้าเช่นกันนะ”
หงเสาที่เห็นภาพนี้แล้วได้แต่ส่ายหัว
ด้วยนิสัยเจ้าเล่ห์ของเสี่ยวอันจื่อแล้ว ฝ่าบาทจะรังแกเขาได้อย่างไร
แต่ชิงหลิงโง่มากจนหลงเชื่อคำลวงของซูอัน
“พี่ชิงหลิงคิดถึงข้าหรือเปล่า?” หลังจากฝังใบหน้าไว้กับอกของชิงหลิงแล้วเพลิดเพลินสักพัก ซูอันจึงเงยหน้าขึ้นถาม
“อืม~นิดหน่อย” ชิงหลิงลังเลแล้วตอบ
“โอ้ นิดหน่อยเองหรือ!” ซูอันดูผิดหวังเมื่อได้ยินคำตอบ “แต่ข้าคิดถึงพี่ชิงหลิงมากเลย”
เมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของซูอัน ชิงหลิงเลียริมฝีปากแล้วพูดว่า “ข้าน่าจะคิดถึงมากกว่านะ”
มีเสียงกลั้นหัวเราะดังมาจากระยะใกล้ เป็นหงเสาที่กำลังปิดปากหัวเราะอยู่นั่นเอง