บทที่ 50 เจ้าเมืองฉีซาน
“เมื่อการแข่งขันเริ่มต้นขึ้น พวกเจ้าทั้งสามจะต้องเข้าไปในหุบเขาแล้วล่าสัตว์อสูร”
“การล่าสัตว์อสูรระดับสูงหนึ่งดาวหนึ่งตัว จะมีคะแนนเทียบเท่ากับล่าสัตว์อสูรระดับกลางหนึ่งดาวห้าตัว และสัตว์อสูรระดับกลางหนึ่งดาวหนึ่งตัว จะเทียบเท่ากับสัตว์อสูรระดับต่ำหนึ่งดาวห้าตัว”
“หากพวกเจ้าต้องการได้คะแนนที่สูง จะต้องบุกลึกเข้าไปในหุบเขา แล้วล่าสัตว์อสูรระดับสูงหนึ่งดาวเท่านั้น”
หลัวหมิงซานแนะนำกฎการแข่งขันให้หลัวเฉิง และคนอื่นๆ ทราบอย่างพร้อมเพรียง
จากนั้นกล่าวย้ำเตือนว่า “แม้สัตว์อสูรระดับกลางหนึ่งดาวจะเป็นสัตว์อสูรส่วนใหญ่ในหุบเขา แต่ก็อาจพบสัตว์อสูรระดับสูงหนึ่งดาวด้วย พวกเจ้าต้องระวังตัวให้ดี หากรู้ว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันก็จงรีบหนีอย่าอวดดีเด็ดขาด เพียงเอาตัวรอดออกมาก็พอ ข้าไม่ต้องการให้เกิดอันตรายกับพวกเจ้า”
“ข้าน้อยทราบแล้ว”
หลัวเฉิงและอีกสามคนต่างจดจำกฎการแข่งขันเอาไว้ในหัว
ขณะนี้ บนหอสูงชันก็เต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมาก
ไม่ช้าผู้คนจากตระกูลฉีก็มาถึง ซึ่งตรงกลางเป็นชายวัยกลางคนสวมเสื้อผ้าหรูหราและดูมีฐานะร่ำรวย ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มอยู่เสมอ คนผู้นั้นคือฉีฟู่ซ่ง ผู้นำตระกูลหลิน
ถัดจากฉีฟู่ซ่ง คืออัจฉริยะวัยเยาว์จากตระกูลฉี แน่นอนว่านั่นรวมถึงฉีถิงและฉีตง
“ไอ้คนไร้ค่านั่นมาที่นี่จริงๆ ด้วย!”
เมื่อฉีตงเห็นหลัวเฉิงอยู่ท่ามกลางฝูงชน ดวงตาเขาก็ร้อนเผาราวกับลุกเป็นไฟ แล้วหันหน้าไปกล่าวกับฉีถิงผู้เป็นพี่สาว
“พี่หญิง ท่านต้องช่วยสั่งสอนเขาให้ข้า ข้าอยากให้เขาลุกไม่ได้ครึ่งเดือน ไม่สิ เขาต้องไม่สามารถลุกจากเตียงได้หนึ่งเดือน มันถึงจะสาสมกับสิ่งที่เขาตบหน้าข้า”
ฉีถิงหยิกแก้มของฉีตงแล้วยิ้มอย่างเอ็นดู “เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าไม่เคยผิดคำสัญญา”
ในขณะที่กล่าว ฉีถิงก็มองไปทางหลัวเฉิงด้วยสายตาที่เย็นเยียบ
ที่บ่อนพนันหยกเขียวเมื่อคราก่อน นางประมาทจึงไม่สามารถเอาชนะหลัวเฉิงด้วยหมัดเดียวได้ ซึ่งนั่นทำให้นางเสียหน้าใช่น้อย ครั้งนี้นางจะไม่ยอมปล่อยเขาไปเป็นอันขาด!
“ฉีถิงแห่งตระกูลฉี นางมองเจ้าอยู่นานแล้ว คงมิใช่ว่านางชมชอบเจ้าอยู่หรอกหรือ”
หลัวชิงหว่านแย้มยิ้มหวานพร้อมกะพริบตาอย่างซุกซนให้หลัวเฉิง
หลัวเฉิงยักไหล่พร้อมเอียงศีรษะเล็กน้อย “ก็ข้ามันหล่อ จะให้ทำไงได้เล่า”
หลัวชิงหว่านหัวเราะเบาๆ พลางยกมือขาวปิดริมฝีปาก นางไม่คิดเลยว่าหลัวเฉิงจะผ่อนคลายไร้ซึ่งกังวลได้มากถึงขนาดนี้
ระหว่างนั้นเอง ก็มีหลายร่างเดินเข้ามาเช่นกัน ร่างแรกที่เดินเข้ามาเป็นชายวัยกลางคนสวมอาภรณ์หรูหรา
ชายวัยกลางคนผู้นี้มีท่าทางสง่า ดวงตาของเขาแหลมคม และการเคลื่อนไหวองอาจน่าเกรงขามยิ่ง เห็นได้ชัดว่าเขาต้องเป็นผู้มีฐานันดรสูงศักดิ์
“ท่านผู้นำหลัว ข้าทราบมาว่าท่านได้รับบาดเจ็บสาหัส และยังไม่ทันได้ไปเยี่ยมเยียน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าท่านจะดูดีทีเดียว” ชายวัยกลางคนในอาภรณ์หรูยิ้มให้หลัวหมิงซานขณะกล่าว
หลัวหมิงซานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เพียงอาการบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้นเอง ขอบคุณท่านเจ้าเมืองที่เป็นห่วง”
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าแพรหรู คือ อวิ๋นเต้าเจี้ยง เจ้าเมืองฉีซาน ไม่เพียงแต่เขาปกครองเมืองเท่านั้น แต่เขายังควบคุมเสนาและทหารม้าของเมืองอีกด้วย ความแข็งแกร่งของเขาก็ยากหยั่งถึงนัก
มีข่าวลือว่า อวิ๋นเต้าเจี้ยงมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงของอาณาจักรต้าเยว่ ซึ่งตระกูลเหล่านั้นยิ่งใหญ่กว่าสามตระกูลหลักของเมืองฉีซานอย่างมาก
โดยปกติแล้ว อวิ๋นเต้าเจี้ยงจะอาศัยอยู่แต่ในจวนเจ้าเมือง ใช้ชีวิตอย่างสันโดษและเรียบง่าย อาจกล่าวได้ว่าเขาเป็นเหมือนมังกรที่เห็นหัวไม่เห็นหาง ทั้งเขายังไม่เคยเข้าร่วมงานชุมนุมล่าสัตว์เลยสักครั้ง!
แต่ครั้งนี้ไม่เพียงมาด้วยตนเองเท่านั้น แต่ยังริเริ่มถามอาการบาดเจ็บของเขาอีกด้วย ซึ่งนั่นทำให้หลัวหมิงซานรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
ไม่เพียงแต่หลัวหมิงซานเท่านั้น แต่ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์แล้วประสบพบฉากเช่นนี้ก็ต่างแสดงสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน
เจ้าเมืองอวิ๋นเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้ใดคือคุณชายหลัวเฉิง”
หลัวหมิงซานได้ยินเช่นนั้นก็ผงะเล็กน้อย จากนั้นจึงหันไปกล่าวกับหลัวเฉิง “เฉิงเอ๋อร์ ออกมาพบท่านเจ้าเมืองอวิ๋นเร็วเข้า”
“ท่านเจ้าเมืองอวิ๋น ข้าน้อยหลัวเฉิง”
หลัวเฉิงยืนขึ้นประสานมือกล่าวด้วยความเคารพ แต่สายตาเขากลับทอดยาวไปยังอวิ๋นเหมิงลี่ ซึ่งยืนอยู่เบื้องหลังของท่านเจ้าเมืองอวิ๋นขณะนี้
อวิ๋นเหมิงลี่ยังคงสวมอาภรณ์สีขาวพร้อมด้วยผ้าปิดหน้า นางยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางสงบ อากัปกิริยาบริสุทธิ์สง่างามประหนึ่งเทพธิดาลงมาจุติบนโลก นางพยักหน้าเล็กน้อยให้หลัวเฉิง
เจ้าเมืองอวิ๋นมองยังหลัวเฉิง แล้วกล่าววาจายกย่อง “เจ้าเป็นบุรุษผู้มีพรสวรรค์ และมีรูปลักษณ์องอาจสมดั่งชายชาตรี ข้าจะตั้งตารอชมการแสดงฝีมือของเจ้าในการแข่งขันล่าสัตว์ครั้งนี้”
“ข้าน้อยมิกล้า ขอบคุณท่านเจ้าเมืองสำหรับคำชม” หลัวเฉิงกล่าวพร้อมประสานมือคำนับ
ทุกคนในตระกูลหลวงต่างแสดงสีหน้าประหลาดใจ พวกเขาไม่รู้ว่า ไฉนท่านเจ้าเมืองอวิ๋นจึงยกย่องหลัวเฉิงมากถึงเพียงนี้
หลังจากทักทายกันเรียบร้อยแล้ว ท่านเจ้าเมืองอวิ๋น หลัวหมิงซาน และคนอื่นๆ ก็นั่งด้วยกัน
“หลัวเฉิง เกิดอะไรขึ้น นี่เจ้ารู้จักกับบุตรสาวที่น่าภาคภูมิใจของท่านเจ้าเมืองด้วยหรือ” หลัวชิงหว่านเอ่ยถามอย่างสงสัย
หลัวเฉิงตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้ากับนางเคยพบกันมาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง”
“เคยพบกันมาก่อนแล้วครั้งหนึ่งงั้นหรือ”
หลัวชิงหว่านขยิบตาซุกซนแล้วกล่าวด้วยสีหน้าหยอกเย้าเคล้าเจ้าเล่ห์ “ข้าคิดว่ามันต้องมีอะไรที่ลึกซึ้งมากกว่านั้น เห็นได้ชัดว่าท่านเจ้าเมืองมาที่นี่เพื่อพบเจ้าโดยเฉพาะ อีกทั้งเขายังชื่นชมในตัวเจ้ามากอีกด้วย หรือว่า…”
หลัวเฉิงถึงกับกล่าวสิ่งใดไม่ออกหลังเห็นท่าทางของหลัวชิงหว่าน ปกตินางจะเป็นสตรีผู้สุภาพเรียบร้อย ซึ่งมันแตกต่างไปจากอากัปกิริยาในตอนนี้ยิ่ง
เรื่องนั้นอาจเป็นเพราะ อวิ๋นเหมิงลี่ได้แจ้งให้ท่านเจ้าเมืองทราบ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหุบเขาเมฆาทมิฬอย่างแน่นอน
“ฮ่าฮ่า หลัวหมิงซาน เจ้ามาถึงเร็วมาก แต่น่าเสียดายที่ผลการแข่งขันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใดมาถึงก่อน หาไม่แล้วเจ้าคงต้องคว้าอันดับหนึ่งได้แน่!”
ขณะที่หลัวหมิงซานและคนอื่นๆ กำลังนั่งลง ทันใดนั้น เสียงหัวเราะที่สนั่นก้องไปทั่วหอสูงก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน
“ตระกูลหลิน มาถึงแล้ว!”
ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น เหล่าผู้คนจำนวนมากต่างมองไปทางเดียวกันทันใด