บทที่ 31 ด่านที่ 5
หลงเฉินพบว่าตัวเองยืนอยู่ในทุ่งกว้าง และข้างหน้าเขามีสัตว์อสูรตัวหนึ่งที่มีหน้าตาเหมือนวัว ซึ่งหลงเฉินสามารถรับรู้ได้ว่าสัตว์อสูรตัวนี้มีระดับพลังอยู่ที่ระดับจิตวิญญาณขั้น 6
หลงเฉินจำสัตว์อสูรตัวนี้ได้ มันมีชื่อว่า วัวทลายศิลา และมีสายเลือดทั่วไป ดังนั้นมันถือว่าเป็นสัตว์อสูรที่ค่อนข้างธรรมดาในสายตาของหลงเฉิน แม้มันจะเป็นที่รู้จักในด้านพละกำลัง แต่ก็เคลื่อนที่ช้าและมีสติปัญญาต่ำ
หลงเฉินหยิบดาบทลายภูผาออกมาจากแหวนมิติ และเตรียมพร้อมที่จะโจมตีสัตว์อสูรตัวนี้
“ดาบศักดิ์สิทธิ์เจ็ดกระบวนท่า กระบวนท่าที่ 1 ชำระล้าง!”
ทันทีที่สัตว์อสูรเริ่มพุ่งเข้ามาหาเขา หลงเฉินก็ใช้ทักษะดาบและฟาดฟันไปข้างหน้า
แสงสีทองเจิดจรัสพุ่งเข้าไปหาวัวทลายศิลา ก่อนที่สัตว์อสูรตัวนี้จะได้เข้าใกล้หลงเฉิน มันก็ถูกฟันแยกเป็นสองส่วนและตายทันที หลงเฉินสามารถผ่านการทดสอบด่านแรกได้ทันทีที่เริ่มต้น แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังตกตะลึงกับความแข็งแกร่งของการโจมตีนี้
สิ่งที่หลงเฉินใช้คือทักษะยุทธ แม้ว่าเขาจะไม่เคยไปที่หอทักษะชั้นที่ 2 และเลือกทักษะยุทธระดับจิตวิญญาณ แต่พ่อของเขา หลงจุนได้มอบทักษะดาบนี้ให้กับเขา ซึ่งทักษะดาบนี้มีชื่อเรียกว่า ‘ทักษะดาบศักดิ์สิทธิ์เจ็ดกระบวนท่า’ ในตอนที่เขาอยู่ในระดับหลอมกากยา
หลงจุนได้บอกเขาว่าทักษะยุทธนี้ค่อนข้างพิเศษ และหลงเฉินควรฝึกฝนมันให้เชี่ยวชาญ เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะคู่ควรกับทักษะนี้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลงเฉินเลยฝึกฝนทักษะนี้ด้วยความตั้งใจ
ทักษะนี้จะมีดาบเจ็ดกระบวนท่า ซึ่งแต่ละกระบวนท่าจะแตกต่างกันและจะทรงพลังกว่ากระบวนท่าก่อนหน้านี้ และหลงเฉินใช้เพียงแค่กระบวนท่าแรกเท่านั้นเขาก็สามารถเอาชนะสัตว์อสูรตัวแรกได้
หลงเทียนเคยใช้ทักษะนี้อยู่หลายครั้ง ตอนที่เขาอยู่ระดับหลอมกายา นั่นเป็นเหตุผลที่หลงเฉินรู้ว่าทักษะนี้แข็งแกร่งแค่ไหน แต่วันนี้พลังของมันเกินความคาดหมายของเขามาก และทำให้เขาสงสัยว่าทำไมมันถึงทรงพลังขนาดนี้
หลงเฉินรู้ว่ากระบวนท่าแรกของทักษะนี้ทรงพลังมาก แต่เขาจำไม่ได้ว่ามันจะทรงพลังขนาดเอาชนะสัตว์อสูรระดับจิตวิญญาณขั้นที่ 6 ได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว มันจะต้องมีบางอย่างที่ทำให้มันทรงพลังมากขนาดนี้
หลังจากนั้นไม่นาน สัตว์อสูรตัวที่ 2 ของหลงเฉินก็ปรากฏตัวขึ้น มันเป็นสัตว์อสูรระดับจิตวิญญาณขั้น 7 และก็เป็นหลงเฉินที่สามารถเอาชนะมันได้อย่างง่ายดาย หลังจากที่ใช้ความพยายามเพิ่มอีกเล็กน้อย แล้วหลงเฉินก็สามารถเอาชนะสัตว์อสูรตัวถัดไปได้เช่นกัน ซึ่งมันเป็นสัตว์อสูรระดับจิตวิญญาณขั้น 8 ตอนนี้เขาผ่านด่านที่ 3 แล้ว
หลังจากที่หลงเฉินเอาชนะสัตว์อสูรตัวแล้วตัวเล่า ผู้อาวุโสหยางที่ยืนอยู่ด้านนอกก็ตกตะลึง และจ้องมองไปที่ผลึก 3 ใน 5 ก้อนที่กำลังส่องแสงสีเขียวอยู่บนประตู ซึ่งบ่งบอกได้ว่าหลงเฉินผ่านได้ด่านที่ 3 แล้ว และเขาไม่อยากจะเชื่อกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้
“พ่อเป็นอย่างไร ลูกก็เป็นอย่างนั้น! เขาเป็นคนที่น่าประทับใจเหมือนกับเจ้าไม่มีผิด หลงจุน เจ้าสามารถพักผ่อนอยู่บนสวรรค์ได้อย่างสงบโดยไม่จำเป็นต้องห่วงลูกของเจ้าอีกต่อไป สหายของข้า” ผู้อาวุโสหยางพึมพำกับตัวเอง ขณะเงยหน้าขึ้นมอง
ขณะที่ผู้อาวุโสหยางกำลังรอหลงเฉินทำการทดสอบเสร็จและออกมา เขาคิดว่าด่านที่ 3 คงเป็นด่านสุดท้ายของหลงเฉิน แต่ทันใดนั้นเองผลึกก้อนที่ 4 ก็เปลี่ยนเป็นสีเขียว ซึ่งทำให้ผู้อาวุโสหยางตกตะลึงอีกครั้ง
“น่าทึ่งมาก!!! บางที....บางทีเขาอาจทำได้และผ่านด่านที่ 5 ได้เช่นกัน!” ผู้อาวุโสหยางเริ่มคาดหวังในตัวหลงเฉิน
ขณะที่ผู้อาวุโสหยางตกตะลึงกับผลลัพธ์ของหลงเฉิน หลงเฉินกำลังนั่งหอบอยู่ข้างในห้อง การต่อสู้กับสัตว์อสูรระดับจิตวิญญาณขั้น 9 มันตึงมือกว่าที่เขาคิดไว้มาก
หลงเฉินต้องใช้ความพยายามทั้งหมดเพื่อที่จะเอาชนะมัน ถึงขั้นใช้กระบวนท่าที่ 3 ของทักษะดาบศักดิ์สิทธิ์เจ็ดกระบวนท่า - ทำลายล้าง และในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายชนะหลังจากที่ต่อสู้กับมันนานกว่า 15 นาที ซึ่งทำให้เขาต้องสูญเสียพลังปราณไปมาก และตอนนี้เขากำลังนั่งพักและฟื้นฟูพลังปราณของเขา
หลงเฉินเชื่อว่ามันเป็นเรื่องดีที่ความเร็วในการฟื้นฟูพลังปราณของเขาเพิ่มขึ้นทุกวัน นับตั้งแต่วันที่เขาเจอแหวนวงนั้น เขายังคงนั่งพักเป็นเวลา 10 นาที จนกระทั่งสัตว์อสูรตัวต่อไปก็ปรากฏ มันเป็นสัตว์อสูรระดับจิตวิญญาณขั้น 10 และมีหน้าตาคล้ายเสือ
หลงเฉินจำสัตว์อสูรตัวนี้ได้ มันมีชื่อเรียกพยัคฆ์กลืนวิญญาณ สัตว์อสูรสายเลือดทั่วไป และว่ากันว่าความเร็ว ความแข็งแกร่งและพลังป้องกันของมันล้วนไม่ธรรมดา แต่นั่นไม่ใช่ส่วนที่น่ากลัวที่สุดของมัน ส่วนที่น่ากลัวที่สุดของมันคือมันเป็นสัตว์อสูรที่เชี่ยวชาญด้านการโจมตีทางวิญญาณ
แม้ว่าวิธีการส่วนใหญ่ของมันจะสังหารเหยื่อด้วยความแข็งแกร่งของมัน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า พยัคฆ์กลืนวิญญาณจะโจมตีไปที่จิตยุทธแทนผ่านการโจมตีทางจิตวิญญาณเพื่อขังศัตรูไว้ข้างใน และฆ่าศัตรูจากภายนอก
หลงเฉินเข้าใจดีว่ามันจะต้องเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากอย่างแน่นอน เขาจับดาบทลายภูผาในมือแน่นขณะพุ่งเข้าหาพยัคฆ์กลืนวิญญาณและฟาดฟันไปที่มัน แต่หลงเฉินก็พบว่ามันไม่ได้บาดเจ็บมากนัก
หลังจากที่การต่อสู้ดำเนินไปได้ระยะหนึ่ง การปะทะกันของทั้งสองส่วนใหญ่จะจบลงด้วยเป็นฝ่ายหลงเฉินที่กระเด็นออกไปและร่างกระแทกกับพื้น หลงเฉินสามารถตระหนักได้ว่าถ้าเขายังเป็นฝ่ายเสียเปรียบแบบนี้อยู่ และได้รับความเสียหายแบบนี้ต่อไป มันจะเป็นเขาที่จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในไม่ช้า
‘ดาบศักดิ์สิทธิ์เจ็ดกระบวนท่า – กระบวนท่าที่สอง สังหารสิ้น!’ หลงเฉินโจมตีด้วยทักษะดาบของเขา และในที่สุดเขาก็สามารถสร้างความเสียหายให้กับมันได้ แต่หลงเฉินคิดว่าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป เขาคงจะต้องใช้เวลานานพอสมควรถึงจะเอาชนะพยัคฆ์กลืนวิญญาณตัวนี้ได้
พยัคฆ์กลืนวิญญาณอ้าปากกว้าง และหลงเฉินก็รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น เขารู้ว่าพยัคฆ์กลืนวิญญาณจะมีทักษะที่เรียกว่าพยัคฆ์คำราม ถ้าเขาได้รับการโจมตีครั้งนี้ มันจะทำให้เขาเจ็บหนักอย่างแน่นอน
“ปีกปีศาจสวรรค์” หลงเฉินรีบใช้ทักษะของเขาทันที และมีปีกที่งดงามคู่หนึ่งปรากฏอยู่บนหลังของเขา จากนั้นเขาก็รีบบินขึ้นไปในอากาศ ก่อนที่พยัคฆ์คำรามจะผ่านจุดที่เขายืนเมื่อครู่
หลงเฉินรู้ว่าเขาไม่สามารถบินอยู่ในอากาศได้นานนัก ดังนั้นเขาเลยตัดสินใจที่จะใช้ประโยชน์ขณะอยู่ด้านบน และโจมตีพยัคฆ์กลืนวิญญาณด้วยทักษะดาบศักดิ์สิทธิ์เจ็ดกระบวนท่าจากอากาศ
พยัคฆ์กลืนวิญญาณเริ่มเกรี้ยวกราด เมื่อมันไม่สามารถโจมตีหลงเฉินที่อยู่ในอากาศได้ เนื่องจากทักษะโจมตีระยะไกลของมันถูกหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นมันเลยเริ่มหงุดหงิด
พยัคฆ์กลืนวิญญาณมองไปทางหลงเฉินขณะที่ดวงตาของมันเปลี่ยนเป็นสีดำ ทำให้หลงเฉินรู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรง เหมือนถูกความว่างเปล่ากำลังดูดกลืนจิตสำนึกและจิตวิญญาณของเขา แล้วพยายามกักขังมันเอาไว้ แม้ว่าหลงเฉินจะรู้ว่ามันเป็นการโจมตีทางจิตวิญญาณของมัน แต่ตอนนี้เขสก็ไม่สามารถต่อต้านมันได้
เมื่อหลงเฉินรู้สึกว่าเขาไม่สามารถต่อต้านได้อีกต่อไป จิตยุทธของหลงเฉินก็ลืมตาขึ้นกะทันหันและจ้องมองไปในทิศทางของพยัคฆ์กลืนวิญญาณ ด้วยดวงตาที่แดงก่ำอย่างสมบูรณ์ของมัน