บทที่ 249 ปรากฎว่ามันเป็นเรื่องจริง!
ตูม!
ฝ่ามือพุทธองค์สีทองขนาดใหญ่ของหยางเสี่ยวเทียน ถูกมังกรเพลิงพุ่มโจมเข้าใส่ด้วยแรงอันทรงพลังจนน่าอัศจรรย์ใจ
แต่ขณะมังกรเพลิงซึ่งคล้ายจะทรงพลัง กำลังมุ่งไปอย่างน่าเกรงขาม มันก็ดูเหมือนจะพุ่งชนเข้ากับขุนเขาพุทธองค์ทองคำศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่สามารถทำลายได้
ครั้นมันกระทบกับฝ่ามือพุทธองค์ มังกรเพลิงก็มิต่างจากลูกไฟที่กระดอนเปลี่ยนทิศทางพุ่งขึ้นสูงเหนือนภากาศ ก่อนระเบิดแตกออกราวพลุไฟวันเทศกาลที่จัดภายในจัตุรัสพระราชวัง ส่งให้ผู้คนทั้งหมดได้ตื่นตากับดอกไม้ไฟสีแดงอันเจิดจรัส
แต่ฝ่ามือพุทธองค์ขนาดใหญ่ กลับยังคงโถมไปเบื้องหน้าหลังมังกรเพลิงแตกพ่ายพร้อมสลายหายไปกลางอากาศ กระทั่งฟาดเฉิงหลงผู้ถูกโจมตีในที่สุดครั้นไร้เกราะป้องกัน
ร่างเฉิงหลง ลอยลิ่วออกจากลานประลองราวกับใบไม้แห้งไร้แรงเหนี่ยวรั้ง แต่ฝ่ามือพุทธองค์ยังตามทุบตีเขาไม่หยุดและดูจะต่ออีกนาน
ทุกครั้งที่เฉิงหลงถูกฟาดด้วยฝ่ามือ เลือดในปากจะพ่นออกมาเต็มทุกคำ
กระทั่งแรงฟาดหนสุดท้าย ร่างเขาถึงปลิวด้วยความเร็ว พุ่งกระแทกเข้ากับขอบจัตุรัสพระราชวัง ที่อยู่ห่างออกไปเกือบพันฉื่อ
ทุกคนที่เดิมตกใจกับความก้าวหน้าเฉิงหลง กระทั่งเปลี่ยนใจย้ายเดิมพันว่าเขาจะเป็นฝ่ายชนะ ตอนนี้ กลับได้ตื่นตะลึงครั้นเห็นเฉิงหลงถูกทุบตีราวสุนัขข้างถนนที่ตายแล้ว นอนกระตุกสั่นยังขอบจัตุรัสพระราชวังอย่างน่าสังเวช
แม้เขาจะทะลวงเข้าสู่ขั้นราชันยุทธ์ระดับห้า แต่เฉิงหลงก็ยังคงพ่ายแพ้จนสิ้นท่า และนับว่าเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่
ตั้งแต่ต้นจนจบ เฉิงหลงไม่สามารถบังคับกระทั่งผลักดันหยางเสี่ยวเทียน ให้ถอยหลังได้แม้แต่ครึ่งก้าว
ส่วนใบหน้าเฉินจื่อหาน ซึ่งเดิมสดใสหลังเฉิงหลงทะลวงขั้นสำเร็จ เพลานั้น ท่าทางนางแสดงออกชัดเจนว่าสำราญใจและดูมีความหวังที่จะได้เห็นหยางเสี่ยวเทียนเป็นฝ่ายถูกทุบตี
ต่างจากตอนนี้ ที่สีหน้านางไม่ผันเปลี่ยนไปเท่านั้น แต่ยังรู้สึกว่ามือเท้าเย็นเฉียบจนชา ครั้นประสบสภาพเฉิงหลงผู้กำลังนอนนิ่งอยู่ยังขอบจัตุรัส
ขนาดเฉิงหลงยังถูกทุบตีราวสุนัขที่ตายแล้วเช่นนี้ แล้วนางผู้อยู่ในขั้นราชันยุทธ์ระดับสามเล่า จะประสบกับสภาพน่าเกลียดเช่นไร
หากรอบต่อไป กลายเป็นนางที่ได้พบกับหยางเสี่ยวเทียน มันจะเกิดเรื่องแบบใดขึ้นบ้าง
ไฉ่ห่าวเบิกตาแข็ง ขณะมองไปยังร่างเฉิงหลงที่นอนแน่นิ่งแทบมิไหวติง แม้จะตกตะลึง แต่เขาก็อดหันกลับมามองศิษย์ตนไม่ได้ เมื่อนึกถึงสิ่งที่เติ้งอี้ชุนเคยกล่าวไว้ก่อนหน้าว่า "ข้าไม่คู่ควรกับหยางเสี่ยวเทียน"
ปรากฎว่ามันเป็นเรื่องจริง!
ปรากฎว่าเติ้งอี้ชุน ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหยางเสี่ยวเทียนจริงๆ
แม้เติ้งอี้ชุนจะเป็นศิษย์ส่ายตรงสำนักยวินฮุย แต่เมื่อเทียบกับเฉิงหลงผู้แข็งแกร่งในขั้นราชันยุทธ์ระดับห้า ก็ยังนับว่ามีความแตกต่างกันอยู่ไม่น้อย ซึ่งขนาดเฉิงหลงยังโดนสภาพปางตายเช่นนี้ สำมะหาอะไรกับเติ้งอี้ชุนในขั้นราชันยุทธ์ระดับสี่ขั้นปลายเล่า
สำหรับเจ้าสำนักเสินไห่ที่เห็นเฉิงหลงในสภาพน่าอนาถจากระยะไกล พวกเขามิเพียงผงะตกใจแต่ยังมีความรู้สึกสลับซับซ้อน ทับถมรวมกันอยู่หลายอย่างหลายเรื่อง
นึกย้อนกลับไปหลังกลับสำนักวานนี้ พวกเขายังเพิ่งตำหนิสั่งสอนเฉิงเซิ่งด้วยอารมณ์อย่างรุนแรง ที่ทำให้สำนักเสินไห่อันยิ่งใหญ่แลทรงเกียรติ ต้องประสบกับความอัปยศจวบจนเสื่อมเสียชื่อเสียงถึงบรรพบุรุษ
แต่ที่สุด พวกเขาก็เข้าใจว่าทำไม เฉิงเซิ่งถึงบอกว่าเฉิงหลงเป็นคนโง่เขลา
“หยางเสิน!”
“หยางเสิน!”
ขณะทุกคนตกอยู่ในห่วงแห่งความตื่นตะลึง จู่ๆ บรรดาศิษย์จากสำนักเสินเจี้ยนก็ร้องตะโกนออกมา เสียงดังกึกก้องไปทั้งจัตุรัส
เมื่อถูกกระตุ้น ผู้คนก็เริ่มส่งเสียงตะโกนตามเพิ่มมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ หลังศิษย์สำนักเสินเจี้ยนโห่นำพานรู้สึกปลุกเร้า
เสียงกึกก้องยังคงดำเนินต่อไป กว่าสุ้มเสียงจะคลายสงบ ก็ดังอยู่นานสองนานด้วยยากต่อการระงับอารมณ์ความตื่นเต้นยินดี
ดวงตาห้าวหาญของหยางเฉา ไหวระริกขณะมองหยางเสี่ยวเทียนบนลานประลองด้วยความตื้นตัน ระหว่างมือไม้ก็พลางสั่นอย่างตื่นเต้น เด็กผู้มีนามว่าหยางเสิน คือบุตรชายเขา!
ประกายหยาดน้ำตา วาวในดวงตาคู่งามหวงอิ๋งมิต่าง ด้วยนางรู้สึกปลาบปลื้มกับบุตรชายอย่างหยางเสี่ยวเทียนไม่น้อยกว่าผู้ใดเช่นกัน
จากนั้นไม่นาน ขันทีระดับสูงผู้ทำการตัดสิน ก็ประกาศให้หยางเสี่ยวเทียนเป็นฝ่ายชนะท่ามกลางความตื่นเต้นของฝูงชน
การแข่งขันยังคงดำเนินต่อไป
หลังการประลองรอบแรกสิ้นสุดลง รอบสองก็ดำเนินต่อโดยไม่เสียเวลา
ในรอบสอง หยางเสี่ยวเทียนหยิบป้ายหยกได้หมายเลขสอง
ครั้นพบว่าตนหยิบป้ายหยกได้หมายเลขสองอีกหน หยางเสี่ยวเทียนก็ส่ายศีรษะพลางเผยยิ้มเบาๆ ดูเหมือนว่าเขาและหมายเลขนี้ จะมีชะตาระหว่างการแข่งขันประลองยุทธ์ต้องกันในครั้งนี้
เมื่อเริ่มต้นด้วยหมายเลขสอง ก็ต้องจบด้วยหมายเลขสองเช่นกัน
หลังทุกคนเห็นหยางเสี่ยวเทียนได้หมายเลขสอง พวกเขาก็พร้อมใจก้มหน้ามองดูป้ายหยกในมือของตนโดยไม่รู้ตัว
ดวงตาเฉินจื่อหานสะท้านสั่น ครั้นเห็นหมายเลขในมือตัวเอง ใบหน้างดงามของนางพลันซีดเซียวไร้เลือดฝาด ทั่วทั้งสารพางค์กายก็พานรู้สึกด้านชา เหมือนลื่นตกไปในหลุมธาราน้ำแข็งอันหนาวเหน็บ
แม้นวานนี้นางจะตั้งตารอเผชิญหน้ากับหยางเสี่ยวเทียนอย่างใจจดจ่อ แต่ตอนนี้ เมื่อนางเห็นหมายเลขในมือ ความอยากสั่งสอนเจ้าเด็กไร้ยางอายที่นางเคยสบประมาท พลันลดฮวบลงเปลี่ยนไปหวาดกลัวเครื่องรางหายนะจากนรก ซึ่งเป็นเพียงตัวเลข
บรรดาศิษย์ผู้เข้าร่วมทุกคนต่างหันมองไปยังเฉินจื่อหานด้วยความสงสารเป็นตาเดียว ครั้นรู้แล้วว่าผู้ที่สุ่มได้ประลองกับหยางเสี่ยวเทียนรอบนี้คือนาง
หยางเสี่ยวเทียนสืบเท้าออกไปยังลานประลองที่สอง เขาหยุดยืนนิ่งบนนั้นก่อนหันมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย ขณะเฝ้ารออย่างใจเย็น
เกือบทุกคนเหลียวหน้ามองเฉินจื่อหาน
สายตาทุกคู่ที่มองมา ประหนึ่งเร่งเร้าให้นางรีบตามเขาขึ้นไปโดยเร็ว แต่ละก้าวของเฉินจื่อหานเยื้องย่างมุ่งหาลานประลองที่สองอย่างยากลำบาก
กระทั่งไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าตนเองเดินก้าวเข้าสู่ลานประลองได้อย่างไร
นางยังคงสติเลื่อนลอยประหนึ่งวิญญาณหลุดจากร่าง จนกระทั่งเสียงประกาศเริ่มการประลองดังขึ้น
หยางเสี่ยวเทียนออกตัวย่างเท้าหาเฉินจื่อหานทันที