บทที่ 21 ครอบครัว
เมื่อหลูมู่หยานเห็นว่าสมาชิกในตระกูลของนางมีแต่รอยยิ้ม นั่นก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกดี และอบอุ่นหัวใจ
ชีวิตของหลูมู่หยานถูกส่งไปฝึกฝนที่สำนักตั้งแต่มีอายุเพียงแค่สามปี ทันทีที่กลับมานางก็พบว่าครอบครัวของนาง ไม่ว่าจะเป็นท่านพ่อ ท่านแม่ หรือแม้แต่ท่านพี่กลับเสียชีวิตแล้ว
ตอนนี้ หลูมู่หยานหันไปหาคนในตระกูล ก่อนจะเอ่ยถามว่า “พวกท่านไม่สังเกตหรือ ว่าระดับการบ่มเพาะของข้าพัฒนาขึ้นแล้ว?”
“ปรมาจารย์ดาบผู้ยิ่งใหญ่” หลูซานเทียนพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ เพราะก่อนหน้านี้เขาสนใจแค่ว่าหลานสาวของเขาจะกลับมาจากเทือกเขาแห่งเพลิงอัคคีอย่างปลอดภัย และไม่ได้สนใจเรื่องการฝึกฝนเลยแม้แต่น้อย
“ช่างเป็นสุดยอดนักดาบรุ่นเยาวร์จริง ๆ” หลูหม่าอวี้เอ่ย
“เจ้าสะกัดยาซีซุยแล้วหรือ?” ดวงตาของหลูมู่ไป๋ฉายแววความตื่นเต้น ก่อนจะถามสิ่งที่ค้างคาใจว่า “หยานเอ๋อร์ ร่างกายของเจ้าดีขึ้นแล้วหรือยัง?”
“อืม ข้าฝึกมาแล้ว” หลูมู่หยานยิ้ม ก่อนจะพยักหน้า “ข้ายังได้ผลไม้แห่งเพลิงมาอีกสองสามผล เดี๋ยวข้าระเริ่มทำยาซีซุยอีกสองสามวัน แล้วเมื่อถึงเวลาจะเอามาให้ทุกคน”
“ยาซีซุยสามารถชำระล้างไขกระดูก และขยายเส้นลมปราณได้ ตอนนี้เส้นลมปราณในร่างกายข้าเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และการดูดซับพลังงานก็เร็วขึ้นมาก”
“มียาที่ท้าทายสวรรค์จริง ๆ แต่มันจะสามารถเปลี่ยนแปลงพลังการต่อสู้ของคนทั้งประเทศได้หรือไม่?” หลูเซียนเทียนเอ่ย
หลูมู่หยานใช้มือเรียวสวยลูบไล้ไปที่ใบหน้า ก่อนจะมองไปยังท่านปู่ของนาง “ท่านปู่ ยาซีซุยกลั่นไม่ง่าย รวมไปถึงผลไม้แห่งเพลิงด้วย ไม่ง่ายเลยที่หาได้ด้วยตัวคนเดียว และปัจจุบันมีแค่ข้าคนเดียวในหยานโจวที่สามารถฝึกฝนได้”
ตอนนี้หลูมู่หยานไม่ได้รู้สึกว่านางเป็นเจ้าของประเทศหรืออะไร ฉะนั้นนางจึงไม่กังวลใจที่จะช่วยพวกเขาปรับแต่งไขกระดูก เพื่อใช้ปรับปรุงพลังการต่อสู้ การเพิ่มความแข็งแกร่งในตระกูลหลูเป็นเรื่องร้ายแรง
“ใช่ มันจะดีกว่าหรือไม่ที่เจ้าจะมองถึงระยะยาว” หลูซานเทียนเอย พร้อมกับลูบไปที่เคราของตัวเองอย่างครุ่นคิด “เจ้าเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับก่อน”
เมื่อยาดังกล่าวถือกำเนิดขึ้น ไม่มีทางล่วงรู้ได้เลยว่ามันจะทำให้พวกขุนนาง หรือพวกคนอื่น ๆ ที่อยู่ในระดับสูงของหยางโจว และคนทั่วทั้งทวีปตกใจมากเพียงใด
หลูหม่าอวี้พยักหน้าเห็นด้วย “ความแข็งแกร่งตอนนี้ของหยานเอ๋อร์ยังอ่อนแออยู่เล็กน้อย แม้ว่าจะมีการค้นพบยาซีซุยแล้วก็ตาม แต่ก็มีการพูดว่าได้รับมาจากปรมาจารย์”
หลูมู่ไป๋เคยบอกกับหลาย ๆ คน ฉะนั้นแม้ว่าจะตื่นเต้นแต่ก็จะต้องเก็บรักษาความลับด้วย
“เอาล่ะ ในที่สุดหลูมู่หยาน คนในครอบครัวของข้าก็สามารถดูดซับพลังทางจิตวิญญาณของสวรรค์และโลกเพื่อบ่มเพาะพลังได้!” หลูเซียนเทียนกล่าวอย่างมีความสุข ความสามารถในการจัดการกับหลอดเลือดในร่างกายของหลานสาว ทำให้เขาตื่นเต้นมากกว่าการที่จะได้รับยาซีซุยเสียอีก
“เจ้าช่างเป็นคนที่โชคดีจริง ๆ หยานเอ๋อร์” หลูหม่าอวี้เอ่ยด้วยความโล่งใจ
หมอดูคนนั้นช่างมีความแม่นยำเหลือเกิน ตระกูลของหลูและหยานเอ๋อร์นั้นแตกต่างกันมาก ทั้งประสบการณ์ชีวิตและความตาย มากไปกว่านั้นนางไม่ต้องแบกรับคำว่าขยะไร้ค่าอีกต่อไป
หลูหม่าอวี้ เป็นที่รู้จักในนามสงครามจักรวรรดิ เขาดูหล่อเหลา ทว่าร่างกายของเขาไม่ได้กำยำเหมือนหลูเซียนเทียน เขาดูเหมือนพวกข้าราชการเสียมากกว่า
“ธรรมชาติ หยานเอ๋อร์ของข้าเป็นธรรมชาติที่สุด” หลูเซียนเทียนเอ่ยด้วยความภาคภูมิใจในตัวหลูมู่หยาน
หลูหม่าอวี้แสดงรอยยิ้มผ่านดวงตา “ท่านแม่ของเจ้าเดินทางไปที่บ้านของท่านตาเจ้าสองสามวันถึงจะกลับ หากพวกเขารู้ว่าร่างกายของเจ้าเปลี่ยนไป พวกเขาคงมีความสุขมาก ข้าจะส่งข่าวไปให้พวกเขาภายหลัง”
“ใช่ ใช่ เจ้าส่งจดหมายไปให้ญาติของเจ้า มันเป็นเรื่องที่มู่หยานของข้าสามารถฝึกพลังได้” หลูเซียนเทียนหัวเราะอย่างร่าเริง “พี่สาวของเจ้าด้วยล่ะ ส่งข่าวนี้ไปด้วย”
“ขอรับท่านพ่อ” หลูหม่าอวี้ยิ้ม และพยักหน้า
หลูมู่ถิงเอื้อมมือไปสะกิดที่แก้มของหลูมู่หยานเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยว่า “ผิวเจ้าดูสว่างและขาวขึ้นนะ หลังจากที่ได้รับยาซีซุย”
หลูมู่หยานแกล้งตบไปที่มือของพี่รอง “เป็นเรื่องธรรมดา”
“พี่รองกลับมาเมื่อไหร่หรือ?” หลูมู่หยานเอ่ย นางค่อนข้างสนิทสนมกับหลูมู่ถิงอยู่แล้ว
เมื่อเอ่ยเรื่องนี้ ดวงตาหลูมู่ถิงก็เริ่มหม่นลงเล็กน้อย ใบหน้าของเขาแสดงความเฉยชาออกมา “ข้าได้ยินว่าเจ้ากลับมาจากชายแดนหลังถูกรังแก เห็นทีบุตรสาวของตระกูลกู่คงไม่อยากจะที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้วกระมัง”
สิ่งที่ทำให้หลูมู่ถิงแตกต่างกับหลูมู่ไป๋ก็คือ พี่รองเป็นคนที่ชอบการต่อสู้ที่เร้าใจ ทำให้ท่านปู่มักจะส่งให้พี่รองไปฝึกฝนกับท่านลุงที่ชายแดนอยู่เสมอ
ทว่าจะสามารถล่วงรู้ได้ เมื่อวันที่เขากลับมาก็ได้ยินว่าน้องสาวของเขาเดินทางไปที่เทือกเขาแห่งเพลิงอัคคี เขาต้องการที่จะสะสางปัญหาที่เรียกว่ากู่ยันรัน แต่พี่ใหญ่อย่างหลูมู่ไป๋กลับห้ามไว้ก่อน
หลูมู่หยานผู้เป็นน้องสาวของเขา ต้องการที่จะแก้แค้นด้วยตัวเอง ฉะนั้นเขาจึงหยุดความคิดที่จะฆ่ากู่ยันรันไว้ชั่วคราว
“ไม่คุ้มที่พี่ชายของข้าทั้งสองจะลงมือด้วยตัวเอง” หลูมู่หยานใช้สายตามองอย่างเฉียบคม ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และเอ่ยว่า “เมื่อการแข่งขันของสถาบันจบลง ข้าจะให้นางได้ลิ้มลองการบ่มเพาะที่เลวร้ายของข้าเอง”
“นี่น้องข้า การอดทนไม่ใช่วิถีของตระกูลเรา”
เขาจำได้ว่าน้องสาวของเขาถูกกู่ยันรันและเซงรูกลั่นแกล้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความอดทนที่มีต่อฉีอี้ซวน เมื่อคิดเช่นนั้นความโกรธก็ออกมาจากอกของหลูมู่ถิงทันที
เขาพยายามกดน้ำเสียงให้อ่อนลง และพูดเกลี้ยกล่อมหลูมู่หยานว่า “แม้ว่าฉีอี้ซวนจะไม่ได้ชอบกู่ยันรันจริง ๆ แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่า ตระกูลฉีต้องการให้เขาแต่งงานกับสตรีผู้นั้นในฐานะนางบำเรอ ข้าได้ยินมาว่านางสนมของจักรพรรดิและตระกูลกู่กำลังพยายามให้ฉีอี้ซวนแต่งงานกับกู่ยันรัน เพื่อเป็นภรรยาของเขา ไม่ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่แต่ก็ไม่คุ้มที่จะไปฝากชีวิตไว้กับบุรุษผู้นั้น”
เมื่อได้ฟังคำพูดของหลูมู่ถิง คนอื่น ๆ ก็หันไปให้ความสนใจกับหลูมู่หยานทันที
หลูมู่หยานเคยหมกมุ่นอยู่กับฉีอี้ซวน นางมักขอให้คนในตระกูลไปส่งนางที่ประตูด้านหลังของสถาบัน เพื่อไปเป็นคนไร้ค่าในสายตาผู้อื่น นางมักจะถูกเยาะเย้ย ถูกรังแก ทำให้คนในตระกูลหลาย ๆ คนเป็นทุกข์
“ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านพี่ใหญ่ และท่านพี่รอง ไม่ต้องห่วง” หลูมู่หยานเอ่ยด้วยสายตาที่แน่วแน่ และเฉียบขาด “หลังจากที่ข้าได้ตายไปแล้ว ข้าละอายใจต่อฉีอี้ซวน เขาไม่ใช่คนรักของข้า ตอนนี้ทั้งความคิดและพลังงานของข้าทั้งหมดอยู่ที่การบ่มเพาะหมดแล้ว ฉะนั้นข้าไม่มีเวลาที่จะวิ่งตามเขาอีกแล้ว”
คำพูดของหลูมู่หยานทำให้หลาย ๆ คนโล่งใจ หลูมู่ถิงตบเข้าที่บ่าของน้องสาวเบา ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอันโล่งใจ “เจ้าคิดแบบนี้ แล้วใครจะกล้าดูถูกเจ้าหลังจากที่แข็งแกร่ง ข้าว่าฉีอี้ซวนจะต้องเสียใจบ้างล่ะ แต่เราจะปล่อยเขาไป”
“พี่ยังเข้าใจข้า แม้ว่าฉีอี้ซวนจะเปลี่ยนใจมาอ้อนวอนข้าในอนาคต ข้าก็จะปล่อยเขาไป” เมื่อพูดจบ หลูมู่หยานก็ยื่นมือออกมา นางกำมือเป็นรูปกำปั้น ก่อนจะชกไปที่อากาศเพื่อแสดงความมุ่งมั่น
หลูมู่หยานเห็นได้จากท่าทางของฉีอี้ซวน เขาผู้นั้นไม่ได้สนใจอะไรนางเลย แม้ว่าในตอนเด็ก ๆ เราทั้งสองจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่หลังจากที่กู่ยันรันเข้ามา เราทั้งคู่ก็ค่อย ๆ หายจากกันไป จนมาถึงทุกวันนี้
ทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ฉีอี้ซวนไม่เหมาะสมจะเป็นคู่ด้วย เขาสามารถปล่อยให้กู่ยันรันและเซงรูรังแกร่างเดิมของหลูมู่หยานได้ แม้ว่านางจะรักเขามากแค่ไหน
ตอนนี้หลูมู่หยานไม่ได้รู้สึกอะไรกับฉีอี้ซวนแล้ว แม้ว่านางจะสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกเดิมได้ แต่ตอนนี้ร่องรอยความผูกพันธ์ระหว่างนางกับเขาไม่มีอีกแล้ว นางไม่สนใจฉีอี้ซวนอีกแล้ว
หลูมู่หยานใช้เวลารับประทานอาหารค่ำกับครอบครัวพร้อมกับพูดคุยกันตามประสา หลังจากเสร็จสิ้นนางขอตัวไปที่โกดังด้านในซึ่งเป็นที่ที่เก็บของมีค่าเพื่อหาหญ้าวิญญาณ ที่จำเป็นสำหรับการสะกัดยาซีซุย ก่อนจะไปยังห้องของตัวเองเพื่อเริ่มการเล่นแร่แปรธาตุ