บทที่ 48 เลือกผู้นำกลุ่ม
วันรุ่งขึ้น แสงสุริยันเริ่มสาดส่องสว่างไสวไปทั่วทั้งเมืองฉีซาน ขณะนี้ในเมืองเต็มไปด้วยกิจกรรมต่างๆ มากมาย
งานชุมนุมล่าสัตว์ถูกจัดขึ้นในทุกๆ ห้าปี ซึ่งถือเป็นงานที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฉีซาน
ยิ่งไปกว่านั้น ในงานชุมนุมล่าสัตว์ปีนี้ แม้แต่องค์ชายแปดแห่งราชวงศ์ต้าเยว่และบุตรสาวของเจ้าเมืองก็เข้าชมการแข่งขันนี้เช่นกัน สิ่งนี้ทำให้ผู้คนต่างตั้งรองานชุมนุมล่าสัตว์กันอย่างมาก!
อีกทั้งบุคลากรสำคัญทั้งหมดที่อยู่โดยรอบเมืองฉีซาน ต่างก็รุดมางานชุมนุมล่าสัตว์นี้เช่นกัน
หลัวเฉิงตื่นแต่เช้า อาบน้ำชำระกายไม่นานนัก จากนั้นก็เตรียมความพร้อมที่จะไปรวมตัวกันยังโถงหลักของตระกูล
ทันทีที่เขาเดินออกจากเรือน หลัวเฉิงก็พลันหยุดชะงัก
ที่ด้านนอกเรือนเขา มีสองคนรอเขาอยู่ที่นั่นซึ่งเป็นชายและหญิง
ทางด้านซ้ายเป็นหญิงสาวที่สวมอาภรณ์สีเขียวเรือนร่างของนางผอมเพรียวและมีอากัปกิริยาสุภาพเรียบร้อยประหนึ่งผ้าที่ถูกพับไว้ ส่วนชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ด้านข้าง เขาแต่งกายด้วยชุดที่ดูแล้วห้าวหาญยิ่งนัก
หลัวเฉิงจำทั้งสองได้ทันที ว่านั่นคือหลัวชิงหว่านและหลัวจื่อซิง ซึ่งเป็นอีกสองคนของตระกูลหลัวที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันล่าสัตว์ครั้งนี้
“อรุณสวัสดิ์พวกเจ้าทั้งสอง!” หลัวเฉิงเดินเข้ามาแล้วกล่าวเสียงดังด้วยรอยยิ้ม
“อรุณสวัสดิ์รึ”
หลัวชิงหว่านแย้มยิ้มเล็กน้อย พร้อมความชื่นชมที่ประกายในดวงตาอันสงบของนาง
เมื่อครั้งแรกที่นางได้ยินว่า หลัวเฉิงปลุกวิญญาณยุทธ์ที่ไม่ถือกำเนิดขึ้นมา นางรู้สึกเสียใจกับเขาผู้เป็นพี่ใหญ่ของตระกูลยิ่งนัก
แต่โดยไม่คาดคิด ในเวลาเพียงเดือนเดียว หลัวเฉิงกลับสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับแปดได้สำเร็จ ซึ่งเหนือกว่านางมาก
หลัวจื่อซิงยังเงียบงันไม่ได้กล่าวสิ่งใด เพียงจ้องหลัวเฉิงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“หลัวเฉิง กองทัพไม่สามารถเคลื่อนพลได้หากไร้ซึ่งแม่ทัพ และงูก็ไม่สามารถเลื้อยได้หากไร้ซึ่งหัว! เพื่อหลีกเลี่ยงข้อพิพาทในการแข่งขันล่าสัตว์ พวกเราจำต้องเลือกผู้นำเสียก่อน! เมื่อเวลาการแข่งขันมาถึง ทุกคนต้องเชื่อฟังคำสั่งของผู้นำ!”
หลัวเฉิงเลิกคิ้วแล้วถามว่า “แล้วเจ้าคิดว่า ผู้ใดในกลุ่มกันเล่าที่เป็นผู้เหมาะสม”
หลัวจื่อซิงหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วกล่าวด้วยสีหน้าภาคภูมิ “เรื่องนั้นง่ายมาก ผู้ใดมีพลังหมัดที่แข็งแกร่งที่สุดจะกลายเป็นผู้นำ!”
นับตั้งแต่เหตุการณ์ในบ่อนพนันหยกเขียว มีข่าวลือภายในตระกูลว่าเขานั้นมีความแข็งแกร่งไม่เท่ากับหลัวเฉิง
แล้วเขาจะด้อยกว่าคนไร้ค่าที่ปลุกวิญญาณยุทธ์ขยะขึ้นมาได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้ หลัวจื่อซิงจึงต้องการพิสูจน์ด้วยมือตนเอง ว่าข่าวลือนั้นไร้สาระมากถึงเพียงใด!
หลัวชิงหว่านทอดถอนใจอย่างสงบ จากนั้นนางขยับเรียวขาถอยหลังหนึ่งก้าว แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน “เรื่องนี้ข้าขอไม่มีส่วนร่วมแล้วกัน”
“ดูข้าให้ดี!”
หลัวจื่อซิงเหลือบมองหลัวเฉิง แล้วเดินไปที่ก้อนหิน เขาสูดหายใจเข้าลึกแล้วพุ่งหมัดออกไปทันใด
ปัง!
ก้อนหินสั่นสะเทือน บนพื้นผิวของมันก็ปรากฏรอยแตกขึ้น และตำแหน่งที่ชกลงไปก็ปรากฏเป็นรอยกำปั้นฝังอย่างชัดเจน
“พลังของหมัดนี้ใกล้เคียงกับเก้าร้อยจิน ดูเหมือนว่าหลัวจื่อซิง ใกล้จะสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับเก้าได้ในไม่ช้าแน่!”
หลัวชิงหว่านทอดสายตามองยังรอยหมัดบนก้อนหิน ก่อนที่ใบหน้าอันสงบจะแสดงความประหลาดใจเล็กน้อย
ในเวลาเดียวกันนั้น ในหัวของนางก็พลันคิดว่าหลัวเฉิงไม่มีทางที่จะเอาชนะหลัวจื่อซิงได้
ซึ่งนั่นก็เพราะ หลัวเฉิงเพิ่งปลุกวิญญาณยุทธ์ได้ไม่นาน ทั้งยังเป็นวิญญาณยุทธ์ที่ไม่ถือกำเนิดเสียอีก เวลาไม่ถึงสองเดือนเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมีพลังยุทธ์สูงกว่าหลัวจื่อซิงได้
“ถึงทีของเจ้าบ้างแล้วหลัวเฉิง เชิญ!”
หลัวจื่อซิงหันกลับมาแสดงรอยยิ้มอย่างลำพอง แล้วมองไปยังหลัวเฉิง
ใบหน้าของหลัวเฉิงมืดลง จากนั้นเขาก้าวไปข้างหน้าไม่ได้เค้นปราณแท้แต่อย่างใด เพียงชกออกไปเปล่าๆ ราวไร้พลัง
บูม!
ก้อนหินขนาดใหญ่ซึ่งสูงพอๆ กับมนุษย์หนึ่งคน กลับแตกกระจายลงไปอย่างกะทันหัน เศษหินกรวดพุ่งปลิวกระจายไปทั่วอาณาบริเวณ
“นี่…นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน!”
หลัวชิงหว่านที่เป็นสตรีอากัปกิริยาสงบนิ่ง ขณะนี้ไม่สามารถระงับสติอารมณ์ของนางได้ ใบหน้านางเปี่ยมด้วยความตกตะลึงยิ่ง
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ในหัวของหลัวจื่อซิงคันว่างเปล่าเขาโพลน เขามองไปยังหลัวเฉิงด้วยแววตาประหลาดใจยิ่ง หลังนิ่งอึ้งไปสักพัก ครั้นได้สติเขาก็เปิดปากกล่าว
“เจ้า...เจ้าทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับเก้าได้แล้วงั้นรึ?”
“ใช่” หลัวเฉิงพยักหน้าและกล่าวว่า “แล้วอย่างนี้ หมายความว่าข้าชนะแล้วหรือยัง?”
หลัวจื่อซิงพยักหน้าอย่างลำบากใจ แต่เมื่อมองไปยังรอยหินที่แตกกระจาย ใบหน้าเขาก็แสดงความตกตะลึงอีกครั้ง
เวลาเพียงเดือนครึ่งเท่านั้นที่หลัวเฉิงปลุกวิญญาณยุทธ์ขึ้นมา แต่ในเวลาช่วงสั้นๆ เช่นนี้ เขากลับสามารถทะลวงผ่านระดับสี่ไปจนถึงระดับเก้าของขั้นหลอมกายาได้ นี่มันไม่เกินจริงไปหน่อยหรือ
หากว่าเขาไม่เห็นมันด้วยตาตนเอง เขาคงไม่อาจเชื่อได้เลย!
หลัวชิงหว่านที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ได้สติสัมปชัญญะกลับมาอีกครั้ง จากนั้นใบหน้าอันสงบก็พลันแย้มยิ้มหวาน
“ในที่สุดเราก็มีผู้แข็งแกร่งที่สามารถประมือกับตระกูลหลินและฉีได้อย่างสูสีแล้ว เรารีบไปที่โถงหลักตระกูลกันเถอะ ใกล้ได้เวลาออกเดินทางแล้ว”