ตอนที่แล้วบทที่ 180: แยกทาง (2)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 182: สิ่งต่างๆ ยังคงเหมือนเดิม แต่ผู้คนเปลี่ยนไป (ตอนฟรี)

บทที่ 181: แยกทาง (3) (ตอนฟรี)


บทที่ 181: แยกทาง (3)

ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ทั้งสองเปิดสมบัติด้วยกัน หรือเมื่อกั๋วหยุนซานเปิดสมบัติเพียงลำพัง โจวชิงก็ไม่ได้ถูกทิ้งไว้เลย

เขาได้ติดตามไปอย่างลับๆ และทำให้ตัวเองให้มองไม่เห็น ส่วนกั๋วหยุนซานนั้นก็ทรนงเกินกว่าจะสังเกตเห็น

“แม้ว่าข้าจะไม่มีโอกาสมากนักที่จะได้รับยาโลหิตศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจาก กั๋วหยุนซานเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด แต่เขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนักกับมรดกวรยุทธ์อื่นๆ ในคลังสมบัติ ดังนั้นข้าจึงคว้ามันมาได้บางส่วน”

สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้ว มรดกวิชายุทธ์ก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุด

แต่ก็เหมือนกับที่พูดไปก่อนหน้านี้

คัมภีร์ลับระดับสูง แม้แต่คัมภีร์ที่พื้นฐานที่สุดก็ยังสามารถเปิดเส้นลมปราณพิเศษได้เพียงหนึ่งถึงสองเส้นเท่านั้น สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ที่จะฝึกฝนตั้งแต่เริ่มต้นจนไปถึงจุดสูงสุด แม้แต่อัจฉริยะด้านวรยุทธ์ก็ยังต้องใช้เวลาประมาณสี่สิบปี

เมื่อถึงเวลานั้น อัจฉริยะก็จะอายุห้าสิบหรือหกสิบปีแล้ว และไม่สามารถต่อสู้ได้อีกต่อไป

สำหรับคนธรรมดา พวกเขาก็จะต้องมีอายุเจ็ดสิบถึงแปดสิบปีก่อนจึงจะสามารถฝึกฝนไปสู่ระดับหนึ่งได้

ในกรณีเช่นนี้ คัมภีร์ลับจะมีประโยชน์อะไรกัน?

ดังนั้น สำหรับครอบครัวและนิกายชนชั้นสูงอย่างแท้จริง พวกเขาจึงให้ความสำคัญกับยาศักดิ์สิทธิ์ซะมากกว่า

มิฉะนั้นแล้ว กว่าคุณจะไปถึงระดับสูง คุณก็คงจะแก่เจียนตายซะก่อน

ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อกั๋วหยุนซานสังเกตเห็นว่าโจวชิงดูเหมือนจะมีมรดกอีกอย่างหนึ่ง และไม่ขาดวรยุทธ์ชั้นยอด เขาจึงผ่อนคลายความระมัดระวังลงบ้าง

“กั๋วหยุนชานคิดว่าข้าจะไม่สนใจมรดกของครอบครัวของเขาเพราะข้ามีวรยุทธ์ระดับสูงของตัวเองแล้ว แต่เขาไม่รู้เลยว่าข้ามีวิชาจิตระดับสูงเท่านั้นและไม่มีวิชายุทธ์ระดับสูงเลย”

“คราวนี้ข้าได้รับ 'วิชาศักดิ์สิทธิ์ชื่อหยาง' มาจากสมบัติของตระกูลกั๋ว ซึ่งเป็นวรยุทธ์ชั้นยอดที่มีเส้นลมปราณปกติ 12 เส้นและเส้นลมปราณพิเศษ 6 เส้น มันมีเส้นลมปราณมากกว่าพระสูตรปราณเสริมหัวใจของข้าสองเส้น”

“ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ดียิ่งกว่าคือทักษะศักดิ์สิทธิ์ชื่อหยางไม่เพียงแต่รวมวิชาจิตไว้เท่านั้น แต่ยังมาพร้อมกับวิชาฝ่ามือ วิชานิ้วและวิชาดาบ”

“วิชาจิตเพียงวิชาเดียวก็สามารถเทียบเคียงได้กับวิชาฝ่ามือ นิ้ว และดาบแล้ว ตระกูลกั๋วสมควรแล้วที่จะเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาสามตระกูลในซีซวน”

“ด้วยรากฐานเช่นนี้ ข้าเกรงว่ายกเว้นการขาดวรยุทธ์ขอบเขตก่อกำเนิดเท่านั้น แล้วพวกเขาก็จะสามารถนับเป็นหนึ่งในซีซวนได้แล้ว”

โจวชิงลูบไล้หนังสือที่เขาเก็บไว้ใกล้หน้าอก แล้วมองไปที่กั๋วหยุนชาน ซึ่งอยู่ข้างๆ เขา เขากำลังรู้สึกหงุดหงิดจากการปิดล้อมที่ไม่สำเร็จ

โจวชิงรู้สึกเหมือนกับว่าชายคนนี้มีขุมสมบัติอยู่แต่ไม่รู้ว่าจะใช้มันอย่างไร

ด้วยมรดกวรยุทธ์เช่นนี้ ถ้าเป็นเขา เขาก็คงจะซ่อนตัวเพื่อฝึกฝนไปแล้ว โดยไม่ออกมาจนกว่าจะถึงระดับสูงสุด

ท้ายที่สุดแล้ว ด้วยสถานการณ์ของโลกในปัจจุบัน กั๋วหยุนซานจะส่งผลกระทบอะไรกับโลกได้ด้วยพลังยุทธ์ระดับสอง?

เช่นเดียวกับการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรครั้งก่อน

เจ้าศาลาตาลซินเดิมทีเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนึ่งโดยเฉลี่ยในบรรดาสิบอันดับแรกของตระกูลในซีซวน

แต่เนื่องจากการล่มสลายของตระกูลต่างๆ และการล้มตายของผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงในนิกายและตระกูล มันจึงเหลือเพียงลู่เฟิงซึ่งเป็นผู้ดูแลศาลาเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้และกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงทั้งสามที่เหลือ

ในท้ายที่สุด โดยอาศัยความแข็งแกร่งของเขา ลู่เฟิงจึงได้รับเลือกให้เป็นผู้นำกลุ่มพันธมิตรและเป็นผู้นำกองกำลังนับแสนคน

ในโลกยุทธ์นี้ หรือแม้แต่ในโลกนี้ ท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่ง

กั๋วหยุนซานอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับสองแล้ว ด้วยทรัพยากรและพรสวรรค์ของเขา สิ่งที่เขาต้องทำคือการถอยออกไปสักสองถึงสามปี และเขาก็จะประสบความสำเร็จในระดับสูงสุดอย่างแน่นอน

เมื่อถึงเวลานั้น ถึงแม้จะไม่มีกองทัพ แต่มันจะไปมีความสำคัญอะไร?

ด้วยความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงและศักดิ์ศรีในอดีตของตระกูลกั๋ว มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะฟื้นฟูตระกูลอย่างรวดเร็ว

แต่ชายคนนี้ก็ไม่อาจทนเช่นนั้นได้ เมื่อเห็นลู่เฟิงกลายเป็นผู้นำของซีซวน เขาก็แทบรอไม่ไหวแม้แต่วินาทีเดียว

เขาเข้าร่วมการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรและนำทัพไปทำสงคราม และทั้งหมดเพียงเพื่อให้ได้รับความสนใจ

“นี่มัน…”

โจวชิงคิดกลับไปกลับมาและรู้สึกว่าไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไร มันก็ดูโง่เขลาเป็นอย่างยิ่ง

ด้วยมุมมองนี้ เขาจึงรู้สึกว่ากั๋วหยุนซานสามารถล้มลงได้ทุกเมื่อ

และถ้าเขาติดตามกั๋วหยุนชานไปด้วย เขาก็จะไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ และจะต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงแทนด้วย

เมื่อถึงจุดนี้ ความปรารถนาที่จะจากไปของเขาก็ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

“ท่านอาจารย์จะยังต้องการวรยุทธ์ระดับสูงอยู่ไหมนะ? ตอนนี้ข้าได้รับ วิชาศักดิ์สิทธิ์ชื่อหยางมาแล้ว หากข้ากลับไปถวายต่อท่านอาจารย์ เขาก็จะต้องดีใจแน่นอน”

โจวชิงคิดถึงอาจารย์ของเขาในเวลานี้

แม้ว่าอาจารย์ของเขาจะปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดี แต่เขาก็ยังจากไปเมื่ออาจารย์ต้องการเขามากที่สุด ซึ่งนั่นก็คงจะทำร้ายจิตใจของอาจารย์เขาอย่างแน่นอน

หลายปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่โจวชิงคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็จะรู้สึกละอายใจและไม่สบายใจ

หากเขาสามารถนำวิชาศักดิ์สิทธิ์นี้กลับไปให้อาจารย์ของเขาได้ แม้มันจะชดเชยความผิดเขาไม่ได้ แต่มันก็จะยังทำให้อาจารย์ของเขาดีใจอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่ได้เจออาจารย์ของเขามานานกว่าสามปีแล้ว และโจวชิงซึ่งเร่ร่อนอยู่ข้างนอกมานานก็คิดถึงอาจารย์ของเขาอย่างมาก

ตอนนี้เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสอง และได้รับวิชาศักดิ์สิทธิ์มา ดังนั้นเขาจึงสร้างชื่อให้กับตัวเอง และดำเนินชีวิตตามความทะเยอทะยานของเขา

“ถ้าข้ากลับไปหาอาจารย์ของข้า ข้าก็จะเชิดหน้าขึ้นได้”

ยิ่งโจวชิงคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร ความปรารถนาของเขาที่จะได้พบกับอาจารย์ของเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น สุดท้ายเขาก็ไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป

ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกต่อไปและขี่ม้าของเขาตรงไปยังกั๋วหยุนซานซึ่งอยู่ในแนวหน้าในการกำกับการต่อสู้อยู่ “พี่กั๋ว เจ้าได้รับสมบัติแล้วและฟื้นฟูตระกูลของเจ้าแล้ว ตอนนี้ เจ้ากำลังนำกองทัพชั้นยอดจำนวนห้าพันนายพิชิตเมืองและดินแดนต่างๆ”

“ข้าได้ปฏิบัติตามข้อตกลงของเราแล้ว”

“อาจารย์ของข้ากำลังรอข้าอยู่ที่บ้าน เราห่างหายกันไปหลายปีและเขาก็คิดถึงเขาอย่างสุดซึ้ง ดังนั้นข้าจะไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว ข้ามาที่นี่เพื่อขออนุญาตจากเจ้า”

กั๋วหยุนซานรู้สึกผงะกับคำขอที่กะทันหันนี้

เขามองไปที่โจวชิงซึ่งดูเหมือนจะตั้งใจจะจากไป และใบหน้าของเขาก็ดูน่าเกลียด

แม้ว่าเขาจะคอยระวังโจวชิง แต่โจวชิงก็กินยาโลหิตศักดิ์สิทธิ์ไปหลายเม็ดแล้ว และตอนนี้เขาก็ได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสองแล้ว

ตามตรรกะของกั๋วหยุนซาน เนื่องจากโจวชิงกินของเขาไปแล้ว ตอนนี้โจวชิงจึงเป็นของเขาแล้ว โจวชิงควรจะทำงานให้เขาอย่างซื่อสัตย์ แทนที่จะพยายามหลบหนีก่อนการสู้รบ เขาไร้ยางอายขนาดนี้ได้อย่างไร?

แต่มันก็เป็นความจริงที่ว่าไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างนายกับบ่าวระหว่างเขากับโจวชิง พวกเขาเป็นเพียงพันธมิตรชั่วคราวเท่านั้น

ตอนนี้ความร่วมมือของพวกเขาได้สิ้นสุดลงแล้ว หากโจวชิงต้องการออกไป มันก็ไม่มีใครหยุดเขาได้

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อนึกถึงอาจารย์ของโจวชิงที่กล่าวถึงในคำพูดของเขา...

โจวชิงมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาและมีมรดกชั้นยอด ดังนั้นแล้วอาจารย์ของเขาก็จะต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนึ่งแน่นอน

“ข้าเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับสองเท่านั้น ด้วยความรับผิดชอบในการฟื้นฟูครอบครัวของข้า ถ้าข้าบังคับให้โจวชิงอยู่ต่อ ข้าก็อาจทำให้อาจารย์ของเขาขุ่นเคืองได้”

“ให้ตายเถอะ ผู้ชายคนนี้นี่มันตัวปัญหาจริงๆ เขาทิ้งข้าไปในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ได้ยงไง”

“ ไร้ยางอาย! เนรคุณ!'

กั๋วหยุนซานสาปแช่งภายใน แต่หลังจากผ่านความยากลำบากมามาก ในที่สุดเขาก็สามารถยิ้มบนใบหน้าของเขาได้ เขาพยักหน้าและพูดว่า " ในเมื่อเจ้าต้องการจะจากไป งั้นก็ไปเถอะ"

หลังจากพูดแบบนี้ เขาก็หันหลังกลับ เขาไม่อยากมองใบหน้าที่น่ารำคาญของโจวชิงอีกต่อไป

เขาไม่อยากรักษาภาพลักษณ์ใจดีอีกต่อไปแล้ว

แต่กระนั้นโจวชิงก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้น

เมื่อเห็นว่ากั๋วหยุนซานไม่ได้กลายเป็นศัตรูและยอมให้เขาออกไปแต่โดยดี ความระมัดระวังของเขาก็ลดลง

“ดูแลตัวเองด้วยนะพี่กัว”

โจวชิงทักทายกั๋วหยุนชานด้วยการป้องหมัด จากนั้นเขาก็หันหัวม้าของเขา เขาเหวี่ยงแส้แล้วขี่ม้าออกไปไกลพร้อมกับเสียงร้องของม้า

หลังจากห่างหายจากบ้านมานาน นักเดินทางเร่ร่อนก็รู้สึกคิดถึงบ้านจนแทบรอไม่ไหวที่จะกลับไป..

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด