ตอนที่แล้วตอนที่ 67 สหายซูเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่ง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 69 ภูมิหลังของฉินอวิ๋น

ตอนที่ 68 นิกายเทียนสุ่ยมีไส้ศึก


ตอนที่ 68 นิกายเทียนสุ่ยมีไส้ศึก

  

นอกจากบ่นแล้ว ใบหน้าของฉินอวิ๋นยังแสดงความไม่พอใจสุดซึ้งอีกด้วย ราวกับว่าเขาไม่พอใจเฟิ่งหลวนที่มาปลุกเช่นนี้

  

เฟิ่งหลวนจากไปโดยไม่มองฉินอวิ๋นอีกเลย

  

ฉินอวิ๋นรู้สึกสับสนและอธิบายไม่ถูก ราวกับว่าเขาได้สูญเสียบางสิ่งไป

  

เขาส่ายหัวและหยุดคิดฟุ้งซ่าน “ตอนนี้ควรบรรลุระดับมิ่งตานให้เร็วที่สุด เพราะผู้ปลูกฝังมารเหล่านั้นพร้อมเข้ามาได้ทุกเมื่อ”

หลังจากเอาชนะผู้ปลูกฝังมารแล้ว ความเข้าใจผิดทั้งหมดจะได้รับการแก้ไขไปเอง

  

เมื่อจัดเตียงใหม่ เขาจึงเข้านอนโดยหวังว่าจะได้รับโอกาสสัมผัสระดับมิ่งตานอีกครั้ง

  ……

เวลาผ่านไปก้าวแล้วก้าวเล่า การโจมตีของผู้ปลูกฝังมารยังไม่หยุด

  

ผู้ปลูกฝังมารที่อ่อนแอบางกลุ่มถึงขั้นตกใจกับความแข็งแกร่งของค่ายกลป้องกันสูงสุด แต่ไม่กล้าหยุดโจมตี

ด้วยความพยายามที่ไม่หยุดยั้งของพวกเขา ในที่สุดการโจมตีค่อนข้างได้ผล

  

ค่ายกลป้องกันสูงสุดของนิกายเทียนสุ่ยเริ่มไม่มั่นคง

  

ผู้ปลูกฝังมารเหมือนจะมองเห็นความหวังทีละคนและการโจมตีของพวกเขาทรงพลังยิ่งขึ้น

  

เปรี๊ยะ!

  

ทันใดนั้นค่ายกลป้องกันสูงสุดสั่นสะเทือนรุนแรงและเกิดความไม่เสถียรอีกต่อไป เพราะเกิดการโจมตีที่ทรงพลังกระจายตัวไปทั่วค่ายกลป้องกันและพุ่งใส่กองทัพผู้ปลูกฝังมาร

  

ผู้ปลูกฝังมารหลายหมื่นคนที่ไม่มีเวลาตั้งรับจึงถูกซัดกระเด็นออกไปจากจุดนั้นและสลายหายไปทันที

  

“น่าเสียดาย” เฟิ่งหลวนแอบถอนหายใจ เพราะถ้ามีผู้ปลูกฝังมารระดับหยางบริสุทธิ์อยู่ที่นี่ก็อาจได้รับบาดเจ็บบ้าง ซึ่งจะช่วยลดความเครียดในภายหลังได้

ในเวลาอันสั้นจึงเหลือเพียงลัทธิและนิกายที่เดินทางสารมารสองในสามส่วนเท่านั้น

  

พวกเขาหวาดกลัวมาก แต่ทำได้เพียงก้าวไปข้างหน้าเพื่อโจมตีค่ายกลอีกครั้งแม้จะอยู่ภายใต้การคุกคามถึงชีวิต

  

ถ้าไม่โจมตีอาจตายเองได้ แต่ถ้าโจมตีอาจมีความหวังริบหรี่

  

แต่บัดนี้พลังใหม่ของค่ายกลป้องกันสูงสุดของนิกายเทียนสุ่ยไม่ใช่สิ่งที่ผู้ปลูกฝังมารจะสั่นคลอนได้อีกต่อไป

  

ค่ายกลเดิมถูกปล่อยให้ขับเคลื่อนตัวเอง แต่ตอนนี้เฟิ่งหลวนเป็นผู้นำการขับเคลื่อนและสามารถป้องกันการโจมตีของผู้ปลูกฝังมารระดับหยางบริสุทธิ์สามคนได้เป็นเวลานานแน่ๆ

  

“เฮอะ เศษสวะ สู้ทาสโลหิตของข้ายังไม่ได้” ปรมาจารย์ลัทธิเซวี่ยเหอมองไปที่ผู้ปลูกฝังมารด้วยแววตากระหายเลือด

  

บุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายเหอฮวนจิบชาแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “คนเหล่านี้มาไกลขนาดนี้ก็ดีมากแล้ว ตอนนี้ถึงตาพวกเราสักที”

  

“พวกเจ้าวางใจได้” ปรมาจารย์ลัทธิเซวี่ยเหอปรากฎตัวที่ด้านหน้ากองทัพ “เตรียมเป็นเจ้าของทาสโลหิตห้าสิบล้านคนของข้าได้เลย”

  

บัดนี้มีคนเดินออกจากด้านหลังของเขาทีละคน

หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า!

  

ใบหน้าของเฟิ่งหลวนค่อยๆ มืดลง

  

ความจริงแล้วมีผู้ปลูกฝังมารระดับหยางบริสุทธิ์อยู่ห้าคน ซึ่งไม่ดีเลย

  

หยางบริสุทธิ์สามคนยังสามารถต้านทานได้สักพักหนึ่ง แต่หยางบริสุทธิ์ห้าคนนั้นยากที่จะรับมือ

“นี่ต้องเป็นเทพธิดาเฟิ่งของนิกายเทียนสุ่ย” ผู้ฝึกตนอ้วนในหมู่ทั้งห้าคนเห็นร่างของเฟิ่งหลวนและทันใดนั้นดวงตาของเขาเป็นประกาย “เทพธิดาเฟิ่ง ข้ากำลังรออยู่เลย ความพ่ายแพ้ของนิกายเทียนสุ่ยได้ถูกกำหนดไว้แล้ว เหตุใดเจ้าไม่ยอมจำนนเสียล่ะ คงจะวิเศษไม่น้อยหากเราได้ร่วมฝึกควบรวมปีติและไปสู่แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งความสุขด้วยกัน”

  

“เจ้าคือ...โพธิสัตว์มารติ้งกวง!” เฟิ่งหลวนจำบุคคลนี้ได้และใบหน้าของนางแข็งกระด้าง

  

โพธิสัตว์มารติ้งกวงมีชื่อเดิมว่าโพธิสัตว์ติ้งกวง เป็นผู้ทรยศต่อศีลธรรมและหนีไปก่อตั้งลัทธิฮวนสี่ในแดนเหนือ มักเทศนาถึงแนวความคิดการควบรวมปีติ แม้เรียกว่าโพธิสัตว์ แต่ความจริงเขาคือมารที่ข่มเหงผู้ฝึกตนสตรีเป็นนิสัย

    

        ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นที่ยอมรับในต้าซาง แต่เขากลับข่มเหงผู้ฝึกตนหญิง จากนั้นเขาถูกแม่ทัพเจิ้นเป่ยซูติ้งฟางลงโทษจนบาดเจ็บเจียนตายและหนีเอาชีวิตรอดแทบไม่ทัน

  

ไม่คาดคิดว่าเขาจะกล้าเหยียบเข้าต้าซางอีกครั้ง

  

“ฮึ ร่างกายท่อนล่างของเจ้าหายดีแล้วหรือ” เฟิ่งหลวนพูดเย้ยหยัน

  

รอยยิ้มของโพธิสัตว์มารติ้งกวงแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็หัวเราะ “มันไม่สำคัญหรอก ถึงอย่างไรเทพธิดาเฟิ่งไม่เต็มใจที่จะฝึกควบรวมปีติกับข้าอยู่แล้ว ข้าเองก็ไม่มีทางเลือก นอกจากมอบความเป็นทาสแห่งตัณหาทั้งหกแก่เทพธิดาเฟิ่ง”

พูดว่าทาสแห่งตัณหาทั้งหกอาจสวยหรูไปหน่อย อันที่จริงมันเป็นเพียงหุ่นเชิดกามซึ่งสร้างขึ้นโดยวิธีพิเศษ สิ่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดังในแดนเหนือ

  

“คางคกหมายจะกินเนื้อห่านฟ้า...ลาเฒ่าหัวล้าน เปิ่นโหวก็มีวิถีสัตว์ร้ายซึ่งมันจะต้องเหมาะสมกับเจ้าเช่นกัน” ไม่รู้ว่าซูอันมาอยู่ข้างกายเฟิ่งหลวนตั้งแต่เมื่อใด เขามองไปทางผู้ปลูกฝังมารระดับหยางบริสุทธิ์ทั้งห้าและไม่มีความกลัวบนใบหน้าของเขาเลย

  

เฟิ่งหลวนเหลือบมองซูอันที่อยู่ข้างกาย นัยน์ตาคู่งามสั่นไหว

เมื่อครู่...เขาพูดปกป้องนางหรือ?

  

“เจ้าหนุ่ม เจ้าคงเป็นท่านโหวคนนั้นสินะ หน้าอ่อน ผิวขาว ดูบอบบางจริงๆ” โพธิสัตว์มารติ้งกวงมองซูอัน แต่ประกายแสงอนาจารในดวงตาของเขาไม่ได้ลดลงเลย

  

เขาไม่สนใจเพศชายหญิง ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาถูกปฏิเสธโดยผู้ปลูกฝังมารคนอื่นในสถานที่วุ่นวายเช่นแดนเหนือ

  

ซูอันได้ตัดสินโทษประหารชีวิตโพธิสัตว์มารติ้งกวงไว้ในใจแล้ว

  

เนื่องจากชายคนนี้รนหาที่ตายเอง ถ้าอยากพูดก็ปล่อยให้พูดไปก่อน

  

“หยุดพูดมากแล้วรีบโจมตีเถอะ” บุตรศักดิ์สิทธิ์เหอฮวนเป็นคนแรกที่โจมตีค่ายกลระลอกใหม่

  

ภายใต้การโจมตีของหยางบริสุทธิ์หลายคน ทำให้ค่ายกลป้องกันเริ่มไม่เสถียร เกรงว่ามันจะพังลงในอีกสองสามเค่อ

  

“เฟิ่งหลวน หลังจากนี้เจ้าแกล้งอ่อนแอแล้วปล่อยให้พวกมันเข้ามา อาจารย์อยู่ที่นี่แล้ว” เวลานี้มีเสียงดังขึ้นในจิตของเฟิ่งหลวนและนางดีใจมาก เพราะนั่นคือเสียงของอาจารย์!

  

“อาจารย์มาแล้ว!” นางรู้สึกมั่นใจขึ้นมาทันที

  

ในขณะนี้ค่ายกลป้องกันสูงสุดสั่นสะเทือนอีกครั้ง เฟิ่งหลวนผู้ควบคุมค่ายกลเปลี่ยนสีหน้าโดยพลัน เพราะนางไม่ได้ทำ!

  

พลังของค่ายกลป้องกันสูงสุดลดลงทันทีหนึ่งระดับ

  

หรือว่าในนิกายเทียนสุ่ยมีไส้ศึก?

  ……

ย้อนกลับไปเมื่อครึ่งเค่อที่แล้ว

  

ฉินอวิ๋นพยายามนอนหลับอย่างหนักและในที่สุดเขาก็ทะลวงสู่ระดับมิ่งตานได้สำเร็จ

  

เมื่อเขาจมอยู่ในความสุข ทันใดนั้นเขาเห็นร่างสีดำแอบย่องไปในทิศทางหนึ่ง

  

เขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติจึงติดตามไปทันที แต่เขาเห็นร่างสีดำทำลายค่ายกลจากด้านในและศิษย์พี่สามที่เฝ้าตรงจุดนั้นถูกทำให้หมดสติ

  

ฉินอวิ๋นโกรธมากจึงใช้กำลังทั้งหมดโจมตีร่างสีดำโดยตรง

  

แต่ร่างสีดำนั้นหายไปในพริบตา ส่งผลให้การโจมตีของเขากระทบกับค่ายกลป้องกันโดยไม่ตั้งใจ

  

ทันใดนั้นพวกศิษย์พี่ที่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของค่ายกลจึงรีบวิ่งมาดู รวมถึงอาจารย์ที่เขาไม่ได้พบหน้ามาครึ่งปีด้วย

  

“อาจารย์ ท่านกลับมาแล้ว!” ฉินอวิ๋นตะโกนด้วยความตื่นเต้น

“เสี่ยวอวิ๋น เหตุใดเจ้าต้องทำลายค่ายกลป้องกัน?” มู่หนิงเจินเหลือบมองศิษย์คนที่สาม จากนั้นจ้องมองฉินอวิ๋นด้วยสายตาซับซ้อน

  

หรือว่าเสี่ยวอวิ๋นรู้ภูมิหลังของตัวเองแล้ว?

  

“อาจารย์ คือศิษย์...” ฉินอวิ๋นกำลังจะอธิบาย

  

แต่ซูอันพูดขึ้นมาก่อน เขาถอนหายใจพลางกอดเซียวอวี่ลั่วที่อยู่ข้างกาย “ฉินอวิ๋น ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีนิสัยชั่วร้ายเช่นนี้ อย่าบอกว่าเจ้าเห็นข้าใกล้ชิดกับศิษย์พี่ของเจ้า จึงทำให้เจ้ารู้สึกไม่พอใจและต้องการแก้แค้นข้าด้วยวิธีนี้”

  

เมื่อได้ยินคำใส่ร้ายของซูอัน ใบหน้าของฉินอวิ๋นจึงเต็มไปด้วยความโกรธ “ซูอัน เป็นเจ้านั่นแหละ เจ้าวางแผนใส่ร้ายข้า!”

  

ในที่สุดเขาก็กระจ่าง เพราะนับตั้งแต่ซูอันมาที่นิกายเทียนสุ่ย เขามักจะโชคร้ายอยู่เสมอ

  

หากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ย่อมแสดงว่ามีซูอันอยู่เบื้องหลังและซูอันกำลังพุ่งเป้ามาที่เขา!

  

“หุบปาก อย่าใส่ร้ายสหายซู!” เฟิ่งหลวนตวาดด้วยความโกรธ