ตอนที่แล้วตอนที่ 66 คนดีอายุสั้น คนชั่วอายุยืน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 68 นิกายเทียนสุ่ยมีไส้ศึก

ตอนที่ 67 สหายซูเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่ง


ตอนที่ 67 สหายซูเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่ง

  

ชิ้นเนื้อที่เรียกว่าชิงโจวนั้นมีขนาดใหญ่มาก หากต้องยกให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ปกครองแล้วกองกำลังอื่นๆ จะกินเนื้อชิ้นนี้ได้สักมากน้อยเพียงใด

  

สำหรับผู้ปลูกฝังมารที่ก่อปัญหา...อย่างไรการเคลื่อนไหวนี้จะทำให้ต้าซางตื่นตัวแน่นอน และพวกเขาไม่กล้าที่จะอยู่ในชิงโจวอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นหากนิกายเทียนสุ่ยล่มสลาย ส่วนแบ่งในเนื้อชิ้นนี้จะลดลงโดยธรรมชาติ

  

สำหรับคนแบบเซียวเหล่ากุ่ยที่เต็มใจสมรู้ร่วมคิดกับผู้ปลูกฝังมารคือหนึ่งในผู้รอส่วนแบ่งนี้

  

“ทำเช่นนี้ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลหรือเปล่า แต่มันคือการหน้าซื่อใจคดจริงๆ” ปรมาจารย์ลัทธิเซวี่ยเหอพูดเหน็บแนม

  

“ไม่ว่าเส้นทางที่ถูกต้องจะเลวร้ายเพียงใด แต่เส้นทางที่ถูกต้องก็คือถูกต้อง” เซียวเหล่ากุ่ยเหลือบมองปรมาจารย์ลัทธิเซวี่ยเหอ

  

ผู้ปลูกฝังมารไม่มีความรู้สึกภักดีและไม่ต้องพูดถึงความสามัคคี การต่อสู้ภายในนั้นดุเดือดมาก วันนี้เจ้าทรยศข้า พรุ่งนี้ข้าจะแทงข้างหลังเจ้า อาจารย์ใช้ลูกศิษย์ทำยาอายุวัฒนะ ลูกศิษย์ส่งอาจารย์กลับทิศประจิม มันเป็นทักษะดั้งเดิมของการเชือดเฉือนกันระหว่างผู้ที่แกร่งกว่าและด้อยกว่า แม้ว่านิกายกำลังจะพินาศก็ยังไม่ลืมที่จะต่อสู้กันเอง

  

ในสายตาของพวกเขานั้นเส้นทางที่ถูกต้องคือถูกต้อง ไม่เกี่ยวว่าจะหน้าซื่อใจคดเพียงใด ไม่ว่าจะผิดศีลธรรมแค่ไหน แต่สิ่งต่างๆ ต้องไม่ทำโจ่งแจ้ง ยังมีข้อจำกัดและต้องแอบทำให้แนบเนียน

  

ถ้าไม่ทำเช่นนี้ ผู้ปลูกฝังมารคงไม่รอดจากการปราบปรามโดยต้าซางและนิกายต่างๆ มาจนถึงทุกวันนี้

  

แม้ว่าตอนนี้ผู้ปลูกฝังมารจะถูกต้าซางปราบปรามจนไม่อาจเงยหน้าขึ้นได้ แต่ลัทธิมารดั้งเดิมของต้าซางได้อพยพไปยังแดนเหนือเพื่อความอยู่รอด และการต่อสู้ภายในยังไม่หยุดลง

“เอาล่ะ” ชายหน้าบากตะโกนเพื่อยุติบทสนทนา “สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้คือเอาชนะนิกายเทียนสุ่ย แทนที่จะมานั่งต่อปากต่อคำกัน”

  

คำพูดของเขายังคงมีผลอยู่บ้าง หลายคนมอบหมายงานและสั่งให้ผู้ปลูกฝังมารภายใต้คำสั่งโจมตีค่ายกลป้องกันสูงสุดของนิกายเทียนสุ่ยทันที

  

ผู้ปลูกฝังมารระดับต่ำเหล่านี้ล้วนแต่เป็นหน่วยกล้าตาย เหมาะสำหรับใช้สำรวจเส้นทางและตายไปพร้อมคู่ต่อสู้

  

อย่างไรก็ตาม ผู้ปลูกฝังมารประเภทนี้ได้รับการฝึกฝนในเวลาอันสั้น เหมาะที่สุดสำหรับการออกไปตายก่อน โดยเฉพาะหลังจากที่ลัทธิเซวี่ยเหอเริ่มเพาะพันธุ์มนุษย์และสัตว์โดยวิธีรวบรวมวัตถุวิญญาณ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการฝึกฝนผู้ปลูกฝังมารประเภทนี้ลดลง และผู้ปลูกฝังมารระดับต่ำจำนวนมากเหล่านี้มีฝีมือต่ำต้อย

  

แต่จะปล่อยให้หยางบริสุทธิ์แบบพวกเขาได้รับบาดเจ็บจากค่ายกลป้องกันสูงสุดนี้ไม่ได้ เพราะมันจะส่งผลกระทบต่อการต่อสู้ครั้งต่อไปและนั่นคงไม่สวยงามสักเท่าไร

  ……

“ผู้ปลูกฝังมารบุกมาแล้ว!”

  

เมื่อมองมวลพลังมืดของผู้ปลูกฝังมารที่อยู่ตรงหน้าแล้วสานุศิษย์ของนิกายเทียนสุ่ยได้แต่พรั่นพรึง

  

เมื่อมองคร่าวๆ ดูเหมือนว่ามีผู้ปลูกฝังมารไม่น้อยกว่าหนึ่งแสนเข้าโจมตี

ผู้ปลูกฝังมารทุกคนมีอารมณ์แค้นและชิงชังสุดแสน

  

ความเกรี้ยวโกรธท่วมท้นเช่นนี้ส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศโดยรวม เกิดเมฆดำทะมึนและท้องฟ้าร้องคำราม

  

ชิงโจวซุกซ่อนผู้ปลูกฝังมารไว้มากมายขนาดนี้ได้อย่างไร!

  

นิกายเทียนสุ่ยยกระดับการแจ้งเตือนสูงสุดทันที

  

ในความเป็นจริงแล้วกองทัพนี้มีผู้ปลูกฝังมารของชิงโจวเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น ที่เหลือส่วนใหญ่มาจากสถานที่อื่น

  

แม้โดยรวมจะไม่สามารถพูดได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับสูง เพราะพวกเขาส่วนใหญ่อยู่ในระดับผันวิญญาณ ซึ่งมีระดับจื่อฝู่ปะปนอยู่บ้าง แต่เมื่อรวมกันมากเช่นนี้อาจเรียกได้ว่าแข็งแกร่ง

  

โชคดีที่คนเหล่านี้ถูกกั้นไว้โดยค่ายกลป้องกันสูงสุดของนิกาย ตอนนี้จึงยังไม่สามารถเข้ามาได้

  

ถึงกระนั้นสานุศิษย์ที่เคยชินกับชีวิตสงบสุขได้สูญเสียความสงบเยือกเย็นจนหมด เพราะพวกนางอาศัยอยู่ใต้การคุ้มครองของนิกายเทียนสุ่ยมาโดยตลอด จึงไม่เคยเห็นสงครามเช่นนี้เลย

  

กองทัพผู้ปลูกฝังมารถืออาวุธธรรม (เป็นอาวุธเวทระดับต่ำสุด) ที่หลากหลาย มีรูปร่างทั้งเป็นโครงกระดูกหรือธงวิญญาณ พวกมันพุ่งเข้าโจมตีค่ายกลป้องกันสูงสุดไม่ยั้ง

  

แต่ละคนปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์และแข็งขัน

  

หากไม่สามารถเอาชนะนิกายเทียนสุ่ยได้ภายในยี่สิบสี่ชั่วยาม พวกเขาทั้งหมดต้องตายแทน

  

พวกระดับหยางบริสุทธิ์ที่ควบคุมผู้ปลูกฝังมารเหล่านี้ย่อมรู้นิสัยผู้ใต้บังคับบัญชาที่สุดและเพื่อป้องกันไม่ให้คนเหล่านี้เกียจคร้านจึงมีการวางเงื่อนไขเอาไว้

  

ภายใต้การโจมตีที่รุนแรงของกองทัพผู้ปลูกฝังมารหลายแสนคน ทำให้ค่ายกลป้องกันสูงสุดเกิดระลอกคลื่นบางส่วน

  

แม้ไม่สามารถทำลายค่ายกลป้องกันสูงสุดได้ในขณะนี้ แต่สามารถสร้างความแปรปรวนได้

  

หลังจากนั้นถ้าหยางบริสุทธิ์ลงมือก็จะสร้างช่องว่างได้

  

“อาจารย์ยังไม่ออกจากหลังเขาอีกหรือ?” เฟิ่งหลวนมองไปทางหลังเขาด้วยแววตากังวล

  

ผู้ปลูกฝังมารเหล่านี้ไม่มีค่าในสายตาของนาง หากนางออกไปรับมือ นางก็สามารถกวาดล้างผู้ปลูกฝังมารมากกว่า 100,000 คนได้ง่ายดาย

  

แต่นางไม่คิดว่าจะไม่มีหยางบริสุทธิ์อยู่เบื้องหลังกองทัพผู้ปลูกฝังมารเหล่านี้

  

ใช้ผู้ปลูกฝังมารมากกว่าแสนมาสังเวยและเป็นตัวแทนแสดงอำนาจของหยางบริสุทธิ์ มันจึงคุ้มค่ามาก

  

แต่ปัจจุบันนี้นิกายเทียนสุ่ย นอกจากนางแล้วไม่มีผู้ฝึกตนระดับหยางบริสุทธิ์คนใดอีก

  

กังวลไปก็เปล่าประโยชน์ นางได้แต่หวังว่ามู่หนิงเจินจะออกจากหลังเขาโดยเร็วที่สุด

  

หลังจากทำให้สานุศิษย์สงบลงแล้ว นางรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย เพราะตอนนี้ภาระของนิกายเทียนซุ่ยอยู่บนบ่าของนางคนเดียว ทำให้นางไม่กล้าผ่อนคลาย

  

ในเวลานี้ซูอันเข้ามาพลางเอ่ย “สหายเฟิ่งกังวลเรื่องผู้ปลูกฝังมารข้างนอกสินะ”

  

“เฮ้อ ทำให้สหายซูต้องหัวเราะแล้ว” เฟิ่งหลวนถอนหายใจ

  

ถูกกองทัพผู้ปลูกฝังมารกดดันให้มาที่ประตูใหญ่แต่ไม่กล้าออกไป ช่างน่าตลกสิ้นดี

  

“สหายเฟิ่งไม่ต้องกังวล ทุกคนสามารถออกไปไล่ล่าสังหารผู้ปลูกฝังมารได้และข้าไม่ยืนมองเฉยๆ เด็ดขาด ข้าได้แจ้งหน่วยวิหคดำสาขาชิงโจวแล้ว คิดว่าในไม่ช้ากำลังเสริมจะมาถึง” ซูอันพูดปลอบใจ

  

เฟิ่งหลวนมองซูอันด้วยความประหลาดใจ เพราะนางเคยแจ้งไปทางหน่วยราชการชิงโจวแล้ว ทว่าไม่มีการตอบรับ

  

ทันใดนั้นใบหน้าของนางเปล่งประกายด้วยความดีใจและคุกเข่าโค้งคำนับซูอันแบบสุดซึ้ง “สหายซูมีคุณธรรมสูงส่ง!”

  

ความจริงคือแม้ว่านิกายเทียนสุ่ยจะล่มสลาย แต่จะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อซูอัน เพราะด้วยเรือเซียนที่น่าสะพรึงกลัวลำนั้น เขาสามารถหลบหนีเมื่อใดก็ได้

  

แต่เขาเลือกที่จะเพิกเฉยต่อความบาดหมางในอดีตและเริ่มให้ความช่วยเหลือก่อน

  

สหายซูเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่ง!

  

เฟิ่งหลวนรู้สึกผิดและชื่นชอบซูอันมากขึ้น

“สหายเฟิ่งอย่าเกรงใจ” ซูอันรีบก้าวไปข้างหน้าและคว้าแขนของเฟิ่งหลวนเพื่อช่วยให้นางลุกขึ้น เขาพูดด้วยใบหน้าซื่อตรง “นี่เป็นความรับผิดชอบของข้าด้วย ตราบใดที่ข้าอยู่ที่นี่จะไม่ยอมให้ผู้ปลูกฝังมารอาละวาด”

  

“ถึงอย่างไรก็ต้องขอบคุณสหายซู” เฟิ่งหลวนยิ้ม รู้สึกว่าภาระบนบ่าเบาลงมาก

  

“จริงสิ แล้วฉินอวิ๋นอยู่ที่ใด?” ซูอันถามด้วยท่าทางสบายๆ

  

“เสี่ยวอวิ๋นหรือ?” เฟิ่งหลวนผงะ ราวกับเพิ่งรู้ตัวว่าจนถึงตอนนี้นางไม่เห็นฉินอวิ๋นเลย เขาไม่ได้เฝ้าประตูใหญ่หรือมาตรวจสอบสถานการณ์ของศัตรูด้วยซ้ำ

  

“เขาอาจจะ...” นางกล่าวอำลาซูอันและมาที่ลานบ้านของฉินอวิ๋น แต่เมื่อนางเห็นฉินอวิ๋นซึ่งกำลังนอนหลับสนิทจริงๆ ใบหน้าของนางก็จมลง

  

ด้วยการยกฝ่ามือขึ้นเล็กน้อย ร่างกายของฉินอวิ๋นกลิ้งตกจากเตียง

  

“ใคร! ใครถีบข้า?” ฉินอวิ๋นหันกลับมาด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยวและตวาดดังลั่น

  

เขาได้สัมผัสถึงโอกาสที่จะบรรลุระดับมิ่งตานชัดเจนมาก แต่กลายเป็นว่าเขาถูกถีบตกจากเตียง จะไม่ให้เขาโกรธได้อย่างไร

  

“ข้าเอง!” เสียงของเฟิ่งหลวนที่พยายามระงับความโกรธดังขึ้น

  

“เอ่อ ศิษย์พี่ใหญ่ เป็นท่านเองหรือ” เมื่อเห็นว่าคนที่มาคือเฟิ่งหลวน ความโกรธของฉินอวิ๋นจึงหายไปทันที เขาลูบหัวด้วยเขินอายและบ่นว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ยังเช้าอยู่เลย ท่านปลุกข้าทำไม ข้ายังอยากนอนอยู่เลย”

หากเขาไม่ถูกปลุก เขาอาจบรรลุระดับมิ่งตานไปแล้ว