ตอนที่ 66 คนดีอายุสั้น คนชั่วอายุยืน
ตอนที่ 66 คนดีอายุสั้น คนชั่วอายุยืน
“เสี่ยวอวิ๋นยังไม่มาอีกหรือ?”
เมื่อมองไม่เห็นร่างที่คุ้นเคยยืนอยู่ด้านล่าง เฟิ่งหลวนจึงขมวดคิ้วและส่ายหน้าระอา
“ช่างเถอะ ประกาศโดยไม่ต้องรอแล้ว”
ไม่นานนี้ซูอันเตือนนางว่าเศษซากที่เหลือของนิกายเหอฮวนกำลังจะโจมตีนิกายเทียนสุ่ย ซึ่งหลังจากที่นางตามสืบจนชัดเจน จึงพบว่ามีร่องรอยของผู้ปลูกฝังมารอยู่ใกล้กับนิกายเทียนสุ่ยซึ่งบังคับให้นางต้องเพิ่มความสนใจ
นางยิ่งรู้สึกขอบคุณซูอันสำหรับความช่วยเหลือครั้งนี้ นางละทิ้งความบาดหมางเก่าก่อนจนสิ้นและรู้สึกผิดที่เข้าใจซูอันผิดด้วย
เห็นได้ชัดว่าท่านโหวซูเป็นคนดี
“สานุศิษย์ทั้งหลาย วันนี้ข้าเรียกรวมตัวทุกคนเพราะ...” ขณะที่นางกำลังพูดก็มีร่างหนึ่งเดินเข้ามาและหยุดที่มุมห้องโถง นั่นคือฉินอวิ๋น
เฟิ่งหลวนเลิกคิ้วขึ้น แต่ยังประกาศต่อโดยไม่สนใจเขา “ตอนนี้ผู้ปลูกฝังมารกำลังอาละวาดอยู่ในชิงโจว ทั้งยังมีเป้าหมายที่จะทำลายนิกายเทียนสุ่ยของเราด้วย...พวกเราต้องรวมกันเป็นหนึ่ง...นับจากนี้ไป ศิษย์ทุกคนจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอก ค่ายกลป้องกันสูงสุดของนิกายจะถูกเปิดใช้งาน ในเวลาเดียวกันสามชั้นแรกของหอสมบัติจงเหมินจะเปิดขึ้น แต่ละคนสามารถเลือกวิทยายุทธเสินทงได้หนึ่งชนิดและสามารถใช้คะแนนคุณงามความดีแลกเคล็ดวิชาและสมบัติใดๆ ก็ได้”
ก่อนที่มู่หนิงเจินจะออกมา นางเป็นผู้ควบคุมดูแลนิกายเทียนสุ่ยจึงมีอำนาจในการตัดสินทั้งหมด
ทันทีที่นางพูดจบก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายความโกลาหลที่เกิดขึ้นในที่แห่งนี้ เพราะโดยปกติแล้วสมบัติล้ำค่ากับเคล็ดวิชาชั้นยอดนั้นอยู่ไกลเกินเอื้อมของสานุศิษย์
หากค่ายกลป้องกันสูงสุดของนิกายถูกเปิดใช้งาน มันจะมีพลังมหาศาลและสามารถปิดกั้นผู้แข็งแกร่งระดับหยางผู้บริสุทธิ์ได้ แต่การเปิดใช้งานเพียงหนึ่งวันต้องใช้หินวิญญาณจำนวนมหาศาล แม้แต่นิกายระดับสูงสุดยังเปิดใช้งานเมื่อศัตรูที่แข็งแกร่งมากๆ บุกโจมตีเท่านั้น
ตอนนี้ค่ายกลป้องกันสูงสุดถูกเปิดใช้งานแล้ว หมายความว่าศัตรูเหล่านั้นสามารถคุกคามความปลอดภัยของนิกายเทียนสุ่ยได้
ฉินอวิ๋นมองบรรดาศิษย์พี่หญิงที่ยืนอยู่ด้านบนและหัวใจของเขารู้สึกตึงเครียด
ในอดีต ภายใต้การคุ้มครองของนิกายเทียนสุ่ยและพวกศิษย์พี่ เขาไม่เคยต้องกังวลกับอันตรายใด
ก่อนซูอันจะมาเหยียบที่นิกาย เขาใช้ชีวิตด้วยความสบายใจเสมอ
แต่ตอนนี้อันตรายกำลังคุกคามนิกายและบรรดาศิษย์พี่ของเขาแล้ว
แม้ว่าตอนนี้พวกศิษย์พี่จะมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับซูอัน ถึงขั้นต่อต้านเขาเพื่อผู้ชายคนนั้น แต่เขาจะทนเห็นพวกนางตกอยู่ในอันตรายได้อย่างไร
ไม่ได้การ ต้องรีบฝึกตนให้ถึงระดับมิ่งตานโดยเร็ว!
ด้วยวิธีนี้เท่านั้นเขาจึงสามารถมีบทบาทในอันตรายที่จะเกิดขึ้นและช่วยปกป้องนิกายกับพวกศิษย์พี่หญิงได้
ฉินอวิ๋นตัดสินใจแล้ว
……
บูม!
ราวกับว่าดวงอาทิตย์ที่สดใสตกลงมาในลานบ้าน บังเกิดความร้อนล้นหลาม
พลังวิญญาณและเลือดในกายสูบฉีดมหาศาล มันเผาไหม้เหมือนแสงอาทิตย์
แต่ความแปลกประหลาดแบบนี้ถูกจำกัดไว้แค่ในบริเวณลานบ้าน เพราะบุปผามรณะดำเนินการปิดผนึกพื้นที่นี้ไว้แล้ว
เมื่อพลังวิญญาณและเลือดค่อยๆ รวมเป็นหนึ่งเดียว ร่างของถูเซิ่งหนานจึงปรากฏขึ้นอีกครั้ง พื้นที่รอบกายของนางพังทลายตามแรงที่นางลุกขึ้นยืน นี่คือการรั่วไหลของพลังวิญญาณระดับใหม่
รูปร่างของนางไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนมากนัก แต่นางดูมีพลังและงดงามมากขึ้น ใบหน้าละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น มันดูกลมกลืนในรู้สึกที่ไม่ลงรอยกันอย่างน่าประหลาดใจ
“โอ้ เซิ่งหนาน ขอแสดงความยินดีกับการบรรลุระดับหยางบริสุทธิ์ของเจ้า” ซูอันยิ้มดีใจและกล่าวแสดงความยินดี
ตามที่คาดไว้ ด้วยการให้ถูเซิ่งหนานกินมังกรสองตัว ในที่สุดนางก็ทะลวงถึงระดับหยางบริสุทธิ์ บัดนี้ในมือของเขามีไพ่อีกใบหนึ่งแล้ว
“ขอบคุณคุณชายสำหรับความเมตตา ข้าน้อยจะทำให้ดีที่สุดและยอมตายพร้อมคุณชาย” ถูเซิ่งหนานกำหมัดคารวะด้วยความเคารพ
อุปนิสัยของนางยังเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น
นางไม่ได้โง่และรู้ว่าเหตุใดนางจึงมาสู่ระดับหยางบริสุทธิ์ได้ หากไม่มีมังกรสองตัวที่ซูอันมอบให้ คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าสิบปีนางถึงจะมีโอกาสได้สัมผัสอาณาจักรหยางบริสุทธิ์
“แคก แคก เซิ่งหนาน ต่อไปถ้าเจ้าไม่มีคำพูดใด เจ้าก็ไม่ต้องพูดหรอกนะ” ซูอันสำลักคำพูดของถูเซิ่งหนาน
ตายไปก็น่าเสียดายแย่
คนดีอายุสั้น คนชั่วอายุยืนนับพันปี ไม่ว่าอย่างไรเขาจะต้องมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์
“เจ้าค่ะคุณชาย”
ถูเซิ่งหนานยกมือเกาหัว เพราะนางไม่ชอบพูดคำที่เหมือนพวกหนอนหนังสือนั่นจริงๆ
“หน้าอกของพี่เซิ่งหนานใหญ่ขึ้นมาก!” ความสนใจของเยี่ยหลีเอ๋อร์นั้นแตกต่างออกไป ดวงตาของนางจับจ้องไปที่หน้าอกของถูเซิ่งหนานและนางอยากกระโดดขึ้นไปบีบดูจริงๆ
นางอยากรู้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะส่งผลต่อความนุ่มและความแข็งของบริเวณนั้นหรือไม่?
จากนั้นนางถูกซูอันเขกหัว “ข้าบอกให้เจ้าขยันฝึกตน แต่เจ้ายังอยู่ในระดับจื่อฝู่ขั้นต้นและได้แต่มองคนอื่นพัฒนาไปเรื่อยๆ”
“ก็...มันนานแค่ไหนแล้ว ตั้งแต่มาที่นี่ท่านก็ไม่ฝึกกับข้าอีกเลย” เยี่ยหลีเอ๋อร์มองซูอันด้วยความขุ่นเคือง
ในอดีต ทั้งจวนโหวมีนางครองอยู่คนเดียวและบางครั้งจะเรียกหาหลี่จื่อซวง แต่หลี่จื่อซวงไร้มารยาจึงไม่อยู่ในสายตาของนาง ด้านถังซืออวิ๋นไม่ต้องเอ่ยถึง เพราะยังไม่เคยปีนขึ้นเตียงของพี่อัน นางจึงไม่คิดว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูที่น่ากลัว
แต่เมื่อมาถึงที่นี่ ฉู่อินแข่งขันกับนางในตำแหน่งหมอนข้าง พี่อันยังบอกด้วยว่าฉู่อินอวบอัดกว่านางและนอนกอดสบายกว่า
ส่วนเด็กสารเลวเซียวอวี่ลั่วคนนั้นนับวันยิ่งเหิมเกริม ยังเรียนรู้ที่จะเรียกพี่อันเหมือนที่นางเรียก และทุกวันนี้นางทำได้เพียงกินของเหลือจากเซียวอวี่ลั่วเท่านั้น ซึ่งมันเหลือทนจริงๆ
หากมีโอกาสนางต้องขังเด็กสารเลวนั่นไว้ในห้องลับและฝึกให้เชื่อง! ให้เข้าใจว่าใครเป็นพี่สาวคนโต
เมื่อคิดถึงฉากนั้น มุมปากของนางขดเหมือนคนบ้า ความรู้สึกยินดีแทบเอ่อล้น
เมื่อเห็นเยี่ยหลีเอ๋อร์ตกอยู่ในความคิดไร้สาระ สีหน้าของซูอันก็มืดลง
“เอาแต่คิดเหลวไหลทั้งวัน เจ้าช่วยทำสิ่งที่มีประโยชน์บ้างเถอะ!” เขาตำหนิ
“ทำสิ่งที่มีประโยชน์หรือ?” เยี่ยหลีเอ๋อร์คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นขยับเข้ามาใกล้และเปิดริมฝีปากสีแดงเพื่อเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าเพิ่งได้เรียนรู้ท่า...ใหม่ๆ พี่อัน อยากลองหรือไม่?”
ใบหน้าไร้เดียงสาเต็มไปด้วยรอยยิ้มมีเสน่ห์ ใบหน้าขาวอมชมพูเรียบเนียนทำให้ผู้คนอยากกลืนกินในคำเดียวให้หมด
เฮ้อ~ผู้หญิงคนนี้ได้เรียนรู้แต่อะไรมา
ใบหน้าของซูอันเคร่งเครียดและแสดงความไม่พอใจ “สาวน้อย เห็นข้าเป็นคนแบบนั้นหรือ?”
เขาดึงเยี่ยหลีเอ๋อร์เข้าไปในห้องแล้วกระแทกปิดประตูตามหลัง
“ดูสิว่าวันนี้ข้าจะสอนบทเรียนให้เจ้าอย่างไร!”
……
นอกนิกายเทียนสุ่ยมีกองกำลังเผ่ามารซุ่มอยู่ทุกทิศทาง
“คาดไม่ถึงว่าเบาะแสจะถูกค้นพบล่วงหน้า” เมื่อมองไปที่ค่ายกลป้องกันสูงสุดเหมือนกระดองเต่าของนิกายเทียนสุ่ย รอยยิ้มของผู้ฝึกตนอ้วนจากลัทธิฮวนสี่ก็จางหายไป
“คนเยอะมาก ข่าวจึงรั่วไหลเป็นธรรมดา” น้ำเสียงของชายหน้าบากยังคงสงบเพราะเขาคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว
วิถีมารนั้นมีมากหน้าหลายตาและความแข็งแกร่งต้องมาก่อน เรื่องของคุณธรรมไม่สำคัญ ถ้าเชื่อใจใครจริงๆ เจ้าจะเป็นคนโง่
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ยิ่งใหญ่มากจนไม่น่าแปลกใจที่นิกายเทียนสุ่ยจะสังเกตเห็น
กระนั้นค่ายกลป้องกันสูงสุดไม่ได้ช่วยอะไร ก็แค่ปล่อยให้นิกายเทียนสุ่ยอยู่รอดได้ระยะหนึ่งและมีโอกาสน้อยที่จะได้รับการสนับสนุน เพราะนิกายอื่นๆ ในชิงโจวมีความสุขมากที่ได้เห็นนิกายเทียนสุ่ยถูกทำลาย
เขามองไปในทิศทางของเซียวเหล่ากุ่ยซึ่งเป็นหนึ่งในกองกำลังครั้งนี้
เซียวเหล่ากุ่ยสังเกตเห็นการจ้องมองของเขาจึงหันมามอง รอยยิ้มอันมีเสน่ห์ปรากฏบนใบหน้าเหี่ยวย่น
“ไม่มีใครในชิงโจวอยากมีท้องฟ้าอีกผืนหนึ่งอยู่เหนือศีรษะหรอก”
มู่หนิงเจินมีความสามารถและเป็นคนที่แข็งแกร่งมากเกินไป
หากมู่หนิงเจินบรรลุระกับหยวนเสินได้จริง ในวันนั้นนิกายเทียนสุ่ยจะกลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งใหม่และกลายเป็นท้องฟ้าเหนือนิกายอื่นๆ ในชิงโจว