ตอนที่ 2 กระทะเหล็กวิวัฒนาการ
ตอนที่ 2 กระทะเหล็กวิวัฒนาการ
ซ่งเจิงมีความมั่นใจในฝีมือการทำอาหารของตัวเอง เพราะตอนที่เป็นนักเรียนโรงเรียนเทคโนโลยีโม่วเซียงอันเลื่องชื่อในโลกก่อนหน้า เขาได้เรียนรู้วิธีการทำอาหารมากมาย ถ้าต้องรังสรรค์อาหารรสเลิศคงจะเป็นเรื่องที่ลำบากสักหน่อย แต่ถ้าเป็นการทำอาหารเพื่อให้อิ่มท้องนั้นง่ายดายยิ่ง!
พี่ใหญ่กุ้ยกล่าวต่อ “วัตถุดิบต่าง ๆ อยู่ในนี้ มีผักแล้วก็เนื้อนิดหน่อย หัวหน้าเฉินบอกว่าให้นายตุ๋นเนื้อและทำซุป ทุกคนจะได้แบ่งกันคนละถ้วย กินร้อน ๆ น่าจะพอคลายหิวได้”
ซ่งเจิงพยักหน้ารับ “ครับ”
พี่ใหญ่กุ้ยจับศีรษะราวกับนึกอะไรออกพร้อมพูดต่อ “อ้อใช่ ถ้านายต้องการใช้เครื่องครัวก็ไปหยิบที่ชั้นหนึ่งของโรงแรมได้เลยนะ มันอยู่หลังห้องครัวน่ะ ไว้ฉันจะบอกคนดูแลที่นั่นให้”
“ไม่เป็นไรครับ ที่นี่ก็มีเครื่องครัวอยู่”
ขณะพูดอย่างนั้น ซ่งเจิงยกกระเป๋าเป้ใบใหญ่จากตู้พร้อมหยิบกระทะเหล็กสีดำขนาดใหญ่ออกมา ในนั้นยังมีเครื่องครัวต่าง ๆ อีกเช่นทัพพี ตะหลิว
กระทะเหล็กอันนี้เขาเคยใช้เมื่อครั้งเป็นพ่อครัวในโลกก่อนหน้า ระหว่างหนีตายจากซอมบี้ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ได้ทิ้งขว้างมันและพามันมาที่นี่ด้วย
อีกทั้งซ่งเจิงยังจำได้ว่ากระทะเหล็กใบนี้กับกระทะเหล็กที่เขาใช้ตอนสอบเหมือนกันทุกอย่าง! เรื่องนี้ทำให้เขาสงสัยว่ากระทะเหล็กใบนี้ข้ามเวลามากับเขาด้วยหรือเปล่า… แค่ถือมันไว้เฉย ๆ ยังรู้สึกราวกับอยู่ใกล้ชิดเพื่อนเก่าที่สนิทชิดเชื้อมานานหลายปี
ไม่รู้ว่าป่านนี้เพื่อนที่ไม่โดนฟ้าผ่าในโลกใบเดิมจะเป็นยังไงกันบ้าง…
เมื่อคิดเรื่องนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะโศกเศร้า
…
เขาเดินตามพี่ใหญ่กุ้ยลงไปที่ห้องโถงของโรงแรมด้านล่าง ของบนรถบรรทุกสองสามคันใกล้จะขนเสร็จแล้ว
วัตถุดิบพวกนี้ถูกจัดสรรมาให้ผู้รอดชีวิตกว่าสองร้อยคนในโรงแรมเพื่อใช้อยู่กินในหนึ่งเดือน ทั้งหมดถูกจัดเก็บไว้ในโกดังชั้นหนึ่งและมีการดูแลอย่างเข้มงวด ถ้าของหายพวกเขาจะไม่มีอะไรกินทั้งเดือนแล้วก็ไม่สามารถหาสิ่งใดทดแทนได้ ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับทุกคน
เมื่อเห็นว่าพี่ใหญ่กุ้ยเดินมา สมาชิกในทีมสำรวจสองสามคนก็รีบโบกมือทักทาย
ภายในโรงแรมไม่มีหัวหน้าจริงจังนัก ไม่ว่าจะธุระเล็กใหญ่ใด ๆ ก็ตามแต่เบื้องต้นพวกเขามีหัวหน้าทีมสำรวจสองถึงสามคนและยังมีรองหัวหน้าไว้สำหรับปรึกษาหารือในเรื่องทั้งหลาย นอกจากหัวหน้าทีมสำรวจเฉินเฟิงก็ยังมีพี่ใหญ่กุ้ยและเจ้าลิงผอมซึ่งเป็นรองหัวหน้า ทั้งหมดเป็นคนที่สามารถตัดสินใจเรื่องราวได้
พี่ใหญ่กุ้ยเดินนำหน้าพร้อมพูดกับซ่งเจิง “วัตถุดิบทั้งหมดถูกวางไว้หลังครัว นายคิดเอาแล้วกันว่าจะทำยังไง ตุ๋นน้ำซุปผักหรือว่าซุปเนื้ออะไรก็ได้ เอาแค่ให้มันพอสำหรับพวกเราสองร้อยคนก็พอ...”
ซ่งเจิงมองไปรอบ ๆ พร้อมกับหยุดสายตาลงที่สมาชิกคนหนึ่งซึ่งนั่งยอง ๆ อยู่ไม่ไกล
เขาคนนั้นกุมหน้าอกไว้แน่นพร้อมสีหน้าเผยถึงความเจ็บปวด ไม่รู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บหรือเกิดอะไรขึ้น สถานที่ที่เขานั่งอยู่ค่อนอยู่ในมุมอับและคนอื่น ๆ ที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ก็ไม่ทันสังเกตเห็นท่าทางประหลาดนั้น
ฉับพลันเขาคนนั้นกระโดดขึ้นพร้อมกับกล้ามเนื้อในร่างกายพองโต สีผิวดำคล้ำพร้อมกับส่งเสียงร้องพิลึกออกมา!
ดวงตาคู่นั้นกลอกไปมาและหยุดลงที่พี่ใหญ่กุ้ยกับซ่งเจิง เขาคำรามลั่นพร้อมพุ่งตัวเข้าหาราวกับต้องการจะฉีกเนื้อหนังของทั้งสอง!
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไปทำให้ทุกคนที่เห็นภาพนั้นตกตะลึง แม้แต่พี่ใหญ่กุ้ยยังคาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น เขามองซอมบี้ที่พุ่งเข้ามาอย่างตื่นตระหนก แขนอ้าออกพร้อมกรงเล็บราวกับจะตรึงเขาเอาไว้กับที่!
ปัง!
ซ่งเจิงปรับตัวได้อย่างรวดเร็วเพราะเคยฝึกฝนการต่อสู้ในห้องครัวมากว่าสิบปี เขาโยกตัวหลบพร้อมกับฟาดของหนักลงไปบนศีรษะของซอมบี้ตัวนั้นเต็มแรง!
มันคือกระทะเหล็กสีดำขนาดใหญ่!
กระทะเหล็กใบนี้มีน้ำหนักไม่น้อยกว่าสามสิบจิน* ซ่งเจิงฟาดมันลงบนศีรษะของซอมบี้เต็มแรงจนทำให้มันกระเด็นออกไปไกลหลายเมตร ศีรษะของมันแยกออกอย่างน่าสยดสยอง
*1 จิน เท่ากับ ครึ่งกิโลกรัม หรือ 500 กรัม
มันดิ้นรนเฮือกสุดท้ายพร้อมกับมีน้ำขาวขุ่นไหลทะลักออกมาจากรอยแผล ท้ายที่สุดก็แน่นิ่งไป…
ตอนนี้เองมีสมาชิกคนหนึ่งกระโดดตัวโยนพร้อมร้องตะโกนเสียงดัง “ซอมบี้! เหล่าหลี่กลายเป็นซอมบี้ไปแล้ว! พระเจ้า…”
เสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากห้องโถงใหญ่ เพียงไม่กี่วินาทีหัวหน้าเฉินก็มาถึง เขามองเหตุการณ์ตรงหน้าพร้อมกับก้าวเท้ายาวไปที่ร่างของซอมบี้ตัวนั้นพร้อมตรวจสอบอย่างละเอียด
เขาเงยหน้าขึ้นถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
สมาชิกทุกคนที่อยู่โดยรอบต่างก็ซุบซิบถึงเรื่องที่เกิดอย่างออกรส
หัวหน้าเฉินพลิกร่างของซอมบี้ขึ้นมาพร้อมกับมองดูรอยข่วนมากมายบนหน้าอก “เหล่าหลี่ถูกซอมบี้ไล่กวดจนบาดเจ็บ น่าจะติดเชื้อระหว่างทางกลับ… ใครอยู่ทีมเดียวกับเขาบ้าง? เรื่องสำคัญแบบนี้ทำไมไม่รายงานฉัน!?”
ทั้งหมดได้แต่มองหน้ากันเลิกลั่กโดยไม่มีใครปริปากอธิบาย ท้ายที่สุดก็มีสมาชิกคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงติดขัด “หัวหน้าครับ… พวกเราไม่รู้ว่าเหล่าหลี่บาดเจ็บ อาจจะเป็นตอนที่เขาพุ่งไปลงมือคนเดียวแล้วพวกเราไม่ทันสังเกต”
ตอนนั้นหัวหน้าเฉินตรวจสอบร่างกายของเหล่าหลี่อย่างละเอียดอีกครั้งพร้อมดึงมีดสั้นจากเอว เขางัดกะโหลกให้เปิดออก “หืม… ในสมองทำไมไม่มีน้ำยาวิวัฒนาการล่ะ?”
ขณะพูดสายตาของหัวหน้าเฉินมองไปที่ซ่งเจิง ทำให้สมาชิกคนอื่น ๆ มองตามไปด้วย เมื่อครู่เป็นเขาที่ใช้กระทะเหล็กฟาดเหล่าหลี่จนตายคาที่
“อาจเป็นเพราะเมื่อกี้ซ่งเจิงฟาดเขาแรงไปหน่อยจนทำให้สมองของเหล่าหลี่ แหลกเหลว
… เลยทำให้น้ำยาวิวัฒนาการหายไปด้วย” สมาชิกคนหนึ่งลองคาดเดา
หัวหน้าเฉินเงียบก่อนจะถอนหายใจออก “เอาล่ะ ช่างมันเถอะ ไม่ว่ายังไงเหล่าหลี่ก็เป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมของพวกเรา จัดการเรื่องนี้ซะแล้วอย่าให้ลูกชายของเขารู้เด็ดขาด ให้บอกว่าเขาตายระหว่างที่ต่อสู้กับซอมบี้ก็พอ…”
ทุกคนตอบรับพร้อมกับลากร่างของเหล่าหลี่ออกไป
หัวหน้าเฉินลุกขึ้นพร้อมจับจ้องซ่งเจิงอย่างจริงจัง “นายชื่อซ่งเจิงใช่ไหม? เมื่อกี้ไม่เลวเลย… แข็งแกร่งขึ้นกว่านี้อีกสักหน่อยสิ ตั้งใจทำงานแล้วครั้งหน้าฉันจะพานายออกไปฆ่าพวกซอมบี้ด้วย ส่วนคนอื่น ๆ แยกย้ายได้!”
สิ้นเสียง ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ทยอยกันออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนซ่งเจิงเดินตามหลังพี่ใหญ่กุ้ยไปทางห้องครัว หากมีใครจับตามองอยู่ก็คงจะเห็นสีหน้าที่แปลกประหลาดของเขาในตอนนี้
ตอนที่เขาฟาดเหล่าหลี่ด้วยกระทะเหล็กดำ เสียงประหลาดดังขึ้นในสมองของซ่งเจิง
[ติ๊ง! กระทะเหล็กดำเนื้อหยาบเชื่อมต่อสำเร็จ! ดูดซับน้ำยาวิวัฒนาการครั้งที่หนึ่ง คุณภาพอยู่ในระดับต่ำที่สุด!]
แม้ว่าเขาจะเป็นหนุ่มหล่อซึ่งเดินทางข้ามมิติมาจากโรงเรียนเทคโนโลยีโม่วเซียงอันโด่งดังของศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดยังอดไม่ได้ที่จะแตกตื่นกับเสียงประหลาดนั้น หรือตอนนี้เขาได้พบเจอกับเทพเจ้าตัวจริง…
แต่ตอนที่เสียงดังขึ้น เขารู้สึกได้ถึงความร้อนที่พุ่งออกจากศีรษะของเหล่าหลี่ถูกดูดเข้าไปในกระทะเหล็ก มันร้อนขึ้นมานิดหน่อยแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
เมื่อเดินผ่านระเบียงทางเดินก็มาถึงห้องครัวของโรงแรม
พี่ใหญ่กุ้ยชี้ไปด้านหน้าซึ่งมีเตาไฟและภาชนะต่าง ๆ วางอยู่พร้อมแนะนำ “อาเจิงสามารถใช้ของที่นี่ได้ทั้งหมด แล้วก็วัตถุดิบก็วางอยู่ตรงนั้นนั่นด้วย อาหารค่ำของทุกคนต้องฝากนายแล้วล่ะ”
ซ่งเจิงรู้สึกหิวตั้งแต่ที่ฟาดเหล่าหลี่แล้ว เขาเหนื่อยล้าเกินกว่าจะสนใจเรื่องอื่น ตอนนี้หัวใจของเขาต้องการที่จะเริ่มทำอาหารสักทีจึงพยักหน้ารับอย่างเร่งรีบ “วางใจเถอะครับพี่ใหญ่กุ้ย”