บทที่ 29 เนื้อร้อง ทำนอง การเรียบเรียง ทั้งหมดโดยเสวี่ยโจว
บทที่ 29 เนื้อร้อง ทำนอง การเรียบเรียง ทั้งหมดโดยเสวี่ยโจว
"เพลงนี้…ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย"
ภายในห้องพักนักร้อง นักร้องทั้งสี่คนที่ขึ้นแสดงไปแล้ว ต่างนั่งรับชมการแสดงบนเวทีผ่านหน้าจอ
ครั้งนี้ซูชิงเหม่ยราวกับผีเสื้อที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เธอดูงดงามและเย็นชาบนเวที เหมือนกับเธอได้ย้อนเวลากลับไปสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง ซึ่งต่างจากภาพลักษณ์ครั้งที่แล้วลิบลับ เซิ่นเหยาถึงกับรู้สึกหวั่นใจขึ้นมา
อย่างน้อยก็ในแง่ของรูปลักษณ์ บุคลิก และสไตล์ของเสื้อผ้าหน้าผม วันนี้ซูชิงเหม่ยเหนือกว่าเธออย่างไม่อาจปฏิเสธจริงๆ
และเมื่อเสียงดนตรีบรรเลงขึ้น เซิ่นเหยาก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
ท่วงทำนองแบบนี้เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน
ซูชิงเหม่ยไปหาเพลงใหม่มาจากไหน?
เซิ่นเหยา และซูชิงเหม่ยต่างสังกัดบริษัทเทียนหยุน เอนเตอร์เทนเมนท์เช่นเดียวกัน หากทางบริษัทมีผลงานเพลงใหม่ที่เหมาะกับนักร้องหญิง เซิ่นเหยาย่อมไม่มีทางที่จะไม่รู้เรื่องนี้
ทันใดนั้น เฉิงหลินที่อยู่ข้างๆพูดขึ้นว่า: "ฟังจากทำนองแล้ว น่าจะเป็นเพลงเศร้า"
หลังจากพูดจบ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยัง เซิ่นเหยา หยูซิน และ จางหัวที่อยู่ข้างๆ พวกเขาต่างก็พยักหน้าเช่นกัน เพียงแค่ฟังจากทำนองอินโทร เพลงนี้มีบางอย่างที่คล้ายกับเพลงเศร้าคลาสสิกที่เซิ่นเหยาเพิ่งร้องไป
“สไตล์เพลงชนกันหรือเปล่า?”
เฉิงหลินที่สวมแว่นตา ดูเป็นคนประเภทที่มักจะเก็บตัวอยู่ที่บ้านเพื่อเขียนเพลง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไร เขาอยากจะพูดอะไรเขาก็พูดออกมาตรงๆ
ส่วนรุ่นใหญ่ในวงการทั้งสองอย่างหยูซิน และจางหัวที่มีประสบการณ์มากกว่าต่างก็ปิดปากเงียบ การแสดงออกของเซิ่นเหยาตอนนี้ดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ แต่เพราะตอนนี้มีกล้องกำลังถ่ายทำอยู่ เธอจึงทำได้เพียงหัวเราะกลบเกลื่อน: “ฉันกับพี่ชิงเหม่ยดูเหมือนจะมีชะตาร่วมกันจริงๆ แม้แต่เพลงที่เราเลือกมาร้องก็ยังคล้ายกันมาก ฮ่าฮ่าฮ่า”
แต่ในใจของเธอกลับอัดแน่นด้วยความไม่พอใจ ซูชิงเหม่ยทำแบบนี้หมายความว่ายังไง?
แค่เพียงเพราะถูกฉันเอาชนะในครั้งที่แล้ว คราวนี้เธอเลยตั้งใจมาทำให้ฉันเสียหน้างั้นหรอ?
ฮ่าๆ เธอคิดง่ายไปหน่อยแล้ว กับเพลงใหม่ที่ไม่มีใครรู้จักเนี่ยนะ!
ขณะที่เซิ่นเหยากำลังคิดอยู่นั้น บนเวทีปากของซูชิงเหม่ยเปิดออกเล็กน้อย เสียงร้องใสกังวานอ่อนหวานก็ดังขึ้น:
“เวลานี้จู่ๆ ก็รู้สึกช่างคุ้นเคยเหลือเกิน”
“ราวกับภาพอดีตและปัจจุบันกำลังฉายซ้อนทับกัน”
“น้ำเสียงประโยคนี้ของฉัน ช่างคล้ายกับเธอ”
บางครั้ง แค่เพลงหนึ่งเพลง หรือการแสดงครั้งเดียว เพียงแค่เปล่งเสียงออกมาประโยคแรก ก็บ่งบอกได้แล้วว่าเป็นอย่างไร
เช่นเดียวกับช่วงเวลานี้ เพียงแค่ซูชิงเหม่ยร้องท่อนแรกจบลง ก็ราวกับเสียงของเธอสามารถกุมหัวใจของผู้ฟังได้อย่างง่ายดาย น้ำเสียงใสกระจ่างบริสุทธิ์ของเธอมีร่องรอยของความเศร้าปนอยู่ ทั้งล้ำลึกและหม่นหมอง
นี่แหละที่เรียกว่า “แค่เปิดปากก็ต้องคุกเข่า”
"โห โคตรเจ๋ง"
เฉิงหลินอ้าปากค้างอย่างเห็นได้ชัด เขาในฐานะนักแต่งเพลงย่อมมีความรู้สึกไวต่อคุณภาพเพลงเป็นพิเศษ
เพลงใหม่นี้ คุณภาพไม่ธรรมดาเลย!
หลินโจวที่ยืนอยู่ข้างกำแพงในห้องบันทึกเทปก็พยักหน้าเช่นกัน แม้ว่าประโยคแรกของ ซูชิงเหม่ยจะไม่อาจเทียบได้กับนักร้องชื่อดังระดับตำนานจากโลกได้ทุกระเบียดนิ้ว แต่ก็ยังถือว่าใกล้เคียงกันมาก
เพียงประโยคแรกนี้ ก็รู้แล้วว่าซูชิงเหม่ยได้ฝึกฝนมาอย่างหนัก อีกทั้งยังต้องขอคำแนะนำจาก "อาจารย์เสวี่ยโจว" หลายครั้ง กว่าจะได้ผลลัพธ์อย่างที่เห็นในตอนนี้
บนเวที ซูชิงเหม่ยร้องท่อนแรกจบลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเข้าสู่ท่อนฮุคที่เธอได้พยายามฝึกฝนอย่างหนัก:
“เสียดายที่ไม่ใช่เธอ”
“เคียงข้างฉันไปจนสุดทาง”
“ครั้งหนึ่งเคยเดินร่วมกันแต่กลับเดินไปผิดเส้นทาง”
"ขอบคุณที่คนนั้นคือเธอ"
"มือที่เคยจูงมือฉัน"
“ยังคงรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นนั้น”
บนเวที ซูชิงเหม่ยถ่ายทอดคอมรู้สึกออกมาผ่านเสียงเพลงได้อย่างลึกซึ้ง เสียงร้องที่แฝงไว้ด้วยความโศกเศร้าดังก้องไปทั่วห้องบันทึกเทป แทรกซึมเข้าไปในหัวใจของผู้ฟังทุกคน
ในหอประชุม ผู้ชม 500 คนมองไปที่ร่างบอบบางอันงดงามบนเวทีด้วยความตะลึงงัน ฟังเสียงขับร้องอันไพเราะนี้อย่างเงียบ ๆ
ผู้ชมหญิงที่มีอารมณ์อ่อนไหวบางคนกระทั้งอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตา
บางครั้งการฟังเพลงสดๆ กับการและฟังผ่านหูฟังก็เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันลับลับ โดยเฉพาะเมื่อเป็นนักร้องที่มีพรสวรรค์สามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างยอดเยี่ยม มันทำให้ผู้ฟังหวนรำลึกถึงความหลังบางอย่างที่เจ็บปวด น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
แน่นอนว่ามีเพียงการขับร้องที่สมบูรณ์แบบเท่านั้นที่จะสามารถสะกดผู้ฟังและสร้างผลกระทบเช่นนี้ได้
และในขณะนี้ การร้องเพลงของซูชิงเหม่ยนั้นสมบูรณ์แบบอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่เพียงแต่จะสะกดผู้ชมในห้องบันทึกเทปเท่านั้น แม้แต่สองนักร้องรุ่นใหญ่ในห้องพักนักร้องก็ต่างประหลาดใจเช่นกัน ทั้งสองต่างสบตามองกันแล้วพยักหน้า:
"เป็นเพลงที่ดีจริงๆ"
“นักร้องเองก็ทำได้ยอดเยี่ยมเหมือนกัน”
คำชมเหล่านี้แม้ไม่ได้มากมาย แต่ถือเป็นการชื่นชมระดับสูงจากนักร้องระดับตำนานทั้งสองแล้ว
เฉิงหลินเองก็เริ่มเคาะตามจังหวะเพลงไปโดยไม่รู้ตัว และเมื่อซูชิงเหม่ยเริ่มร้องท่อนเดิมซ้ำครั้งที่สอง เขาก็เผลอฮัมเพลงตามไปด้วย ยิ่งได้ฟังได้ร้อง สุดท้ายน้ำตาของเขาก็ไหลออกมาสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกที่ล้นปรี่ในใจของนักแต่งเพลง
อัจฉริยภาพเชิงสร้างสรรค์ล้วมมีอารมณ์ค่อนข้างอ่อนไหว
ส่วนเซิ่นเหยานั้น สีหน้าของเธอค่อยเปลี่ยนจากรอยยิ้มที่แข็งทื่อกลายเป็นเย็นเยียบจนหน้าขนลุก
แต่เธอก็ยังคงฝืนยิ้มต่อไป
ในที่สุด ท่านกลางความหลงไหลและเต็มไปด้วยความรู้สึกของผู้คน การแสดงของซูงชิงเหม่ยก็จบลงการร้องเพลงของ ซูชิงเหม่ย ก็จบลงเมื่อผู้ฟังฟังและรู้สึกประทับใจ
เมื่อเสียงเพลงจบลง ผู้ชมทั้งฮอลล์ต่างลุกยืนขึ้นปรบมือและโห่ร้องดังกึกก้อง
“ซูชิงเหม่ย!”
“ซูชิงเหม่ย!”
“ซูชิงเหม่ย!”
เพลงที่ดีและการขับร้องอันยอดเยี่ยมย่อมสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ฟังได้เสมอ ในเวลานี้ ผู้ชมต่างตะโกนชื่อของซูชิงเหม่ยโดยไม่รู้ตัว แสดงให้เห็นถึงความชื่นชมและประทับใจทั้งในตัวของบทเพลงและศิลปินผู้ขับร้อง
“ว้าว!! พี่ชิงเหม่ยนอนมงค่ะแม่!!”
โจวหยุนกระโดดโลดเต้นแสดงความดีใจ พลางร้องอุทานออกมาอย่างตื่นเต้น
ส่วนจางหงยังคงรักษาท่าทีสงบเอาไว้ได้ จนถึงตอนนี้ผลตอบรับจากผู้ชมนั้นถือว่าดีมาก อีกทั้งสภาพร่างกายและจิตใจของซูชิงเหม่ยก็ดูเหมือนจะกลับมาเป็นปกติแล้ว แต่ถึงกระนั้น ผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไร ยังคงต้องรอจนกว่าการแข่งขันจะสิ้นสุดลง
หลินโจวมองไปที่ซูชิงเหม่ยซึ่งกำลังโค้งคำนับขอบคุณผู้ชมอย่างสง่างามบนเวที ริมฝีปากของเขายกขึ้นอย่างพึงพอใจ
ความรู้สึกนี้ เหมือนกับเป็นครูที่ได้เห็นลูกศิษย์คนโปรดสอบได้คะแนนดีเยี่ยม
“เฮ้อ…ทำไมเราถึงรู้สึกแบบนี้กันนะ? หลินโจวคิดในใจ ‘หรือจะเป็นเพราะถูกเธอเรียกว่าว่า”อาจารย์เสวี่ยโจว" บ่อยๆ จนเคลิ้ม?
ท่ามกลางเสียงตะโกนโห่ร้องเรียก “ซูชิงเหม่ย” ไม่ขาดสาย พิธีกรที่พีงเดินขึ้นไปบนเวทีก็เอ่ยเรียกซูชิงเหม่ย ที่กำลังจะลงจากเวที:
“คุณชิงเหม่ย ผมอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่าเป็นนักแต่งเพลงคนไหนที่แต่งเพลงเพราะๆแบบนี้ขึ้นมา คุณช่วยคลายความสงสัยให้พวกเราหน่อยได้ไหมครับ?”
ซูชิงเหม่ยหยุดเดิน ราวกับว่าเธอนึกถึงเรื่องน่าขบขันบางอย่างขึ้นในใจ มุมปากของเธอยกขึ้นโค้งงออย่างหาได้ยาก:
“ผู้แต่งชื่อ เสวี่ยโจว ทำนอง เสวี่ยโจว เรียบเรียงโดย เสวี่ยโจว และนักร้องต้นฉบับเองก็เป็นเสวี่ยโจวด้วยเหมือนกัน เขามาจากเว็บไซต์สถานีมือสมัครเล่น”
พูดจบเธอก็พยักหน้าให้พิธีกร ก่อนจะหันไปโค้งคำนับผู้ฟังอีกครั้งแล้วจึงเดินลงจากเวทีไป
“อะไรนะ เนื้อเพลง ดนตรี การเรียบเรียง นักร้องต้น ทำโดยคนคนเดียว?”
“แถมยังมาจากสถานีมือสมัครเล่นอีก? ไม่จริงน่า! เว็บไซต์มือสมัครเล่นมีคนเก่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่??”
“เอ๊ะ ฉันก็เข้าเว็บนั้นออกจะบ่อยนะ ทำไมไม่เคยได้ยินชื่อเสวี่ยโจวมาก่อนเลย?”
ผู้ชมต่างสงสัยว่า "เสวี่ยโจว" คนนี้เป็นใคร คนมีความสามารถเช่นนี้ ทำไมถึงไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน
“หรือว่าจะเป็นนามแฝงของอาจารย์นักแต่งเพลงบางคน?”
แม้แต่นักร้องในห้องรับรองเองก็รู้สึกสับสนไม่น้อย ไม่เพียงแต่ผู้ชมในห้องบันทึกเทปเท่านั้น แม้แต่พวกเขาที่อยู่ในวงการเพลงเองก็ไม่เคยได้ยินชื่อของ “เสวี่ยโจว” มาก่อน
ไม่นาน ซูชิงเหม่ยก็กลับมาที่ห้องของนักร้อง นักร้องทั้งสี่คนยืนขึ้นจับมือและสวมกอดเธอ เฉิงหลินยกนิ้วโป้งแล้วเอ่ยชื่นชมจากใจจริง:
“คุณซูร้องได้เยี่ยมมาก! ว่าแต่อาจารย์เสวี่ยโจวเป็นใครกันหรือครับ หากมีโอกาศผมอยากจะพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเขา?”
นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเขาได้พบกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของตัวเองแล้ว
หยูซิน และจางหัวต่างก็ชื่นชมการแสดงของซูชิงเหม่ยเช่นกัน เมื่อถึงตาของเซิ่นเหยา เธอก็ฝืนยิ้มออกมาพลางกล่าวว่า: “พี่ชิงเหม่ยร้องได้ดีมากเลยค่ะ สุดยอดมากจริงๆ”
ซูชิงเหม่ยตอบกลับอย่างเรียบๆ สั้นๆว่า "ขอบคุณ" ก่อนจะเดินกลับไปนั่งประจำที่ เซิ่นเหยาซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เธอแสร้งทำเป็นยิ้มกว้าง แต่กลับลอบเหน็บแนบอยู่ในใจ:
“วันนี้เธออาจจะร้องเพลงได้ดีก็จริง แต่ลืมไปแล้วเหรอว่าคะแนนโหวตในรอบที่แล้วของเธอต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดไหน หากในรอบนี้เธอไม่เข้าสามอันดับแรก เธอก็ยังตกรอบอยู่ดี เอาเถอะมารอดูตอนจบกันดีกว่า!”
ไม่นานนักนักร้องสองคนที่เหลือก็ทำการแสดงเสร็จ และในที่สุดก็มาถึงช่วงเวลาอันตึงเครียดที่ทุกคนรอคอย
ผู้กำกับจางเหล่ยเดินเข้ามาที่ห้องรับรองนักร้อง และพูดกับนักร้องทั้งเจ็ดว่า:
“ทุกท่านคงรอนานแล้ว ตอนนี้ ผมจะประกาศอันดับสำหรับการแข็งขันรอบนี้…..”