บทที่ 245 คิดว่าข้าจะเข้าสู่เพียงสิบอันดับแรกเท่านั้นหรือ
หลังจบการแข่งขันประลองยุทธ์รอบที่สิบ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดค่ำจบวัน ดังนั้น การประลองหาผู้ชนะเป็นสิบอันดับแรก จึงจะเริ่มการต่อสู้รอบแรกในวันรุ่งขึ้น
ทุกคนเริ่มแยกย้ายกลับที่พักของตน
หลายตระกูล เหล่าวิญญาจารย์และอาจารย์จากสำนักต่างๆ ล้วนแห่แหนเข้ามาร่วมแสดงความยินดีต่อหยางเสี่ยวเทียน หลินหยงพร้อมคนอื่นๆ ในสำนักเสินเจี้ยนด้วยยกย่องแลชื่นชมกับความปรีชาสามารถอันเก่งกาจ
เพียงมีผู้คนมากหน้าหลายตาร่วมแสดงความยินดีแก่กันเป็นปกติ คนจำพวกที่รู้สึกอึดอัดพร้อมๆ กับไม่ค่อยสบอารมณ์ก็มีบ้างธรรมดา
เพราะท้ายที่สุด การเข้าสู่ร้อยอันดับแรกของหยางเสี่ยวเทียนด้วยวิธีบางอย่างอันค่อนข้างพิเศษ จึงพานทำบางคนไม่มีความพึงใจแต่อย่างใด
ไฉ่ห่าวก็เป็นอีกผู้ ที่เข้ามากับฝูงชนเพื่อแสดงความยินดีกับหยางเสี่ยวเทียน เขากำหมัดยกขึ้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ยินดีกับเจ้าตำหนักหยางที่สามารถเข้าสู่ร้อยอันดับแรกได้สำเร็จ ความแข็งแกร่งท่านช่างพิเศษเกินผู้ใด ทำคู่ต่อสู้ยอมพ่ายแพ้ได้โดยมิต้องเคลื่อนไหวใดเลยด้วยซ้ำ ข้าไฉ่ห่าว นับถือ นับถือ” ใบหน้าเขาแสดงรอยยิ้ม แต่วาจากลับแฝงด้วยความกระทบกระเทียบ
“จะถือสาหรือไม่ หากข้าจะแสดงความยินดีล่วงหน้ากับเจ้าตำหนักหยาง ที่พรุ่งนี้ ก็เข้าสู่สิบอันดับแรก โดยมิต้องลงมือใดเช่นวันนี้”
เมื่อฟังคำกล่าวแสดงความยินดีที่ขัดกับความประสงค์ของเขา หยางเสี่ยวเทียนจึงกล่าวอย่างใจเย็นด้วยท่าทีไร้เดียงสา
“ข้าน้อยมิกล้า แต่ท่านเจ้าสำนักไฉ่ คิดว่าข้าจะสามารถเข้าสู่เพียงสิบอันดับแรกเท่านั้นเองหรือ”
ไฉ่ห่าวชะงัก ก่อนระเบิดหัวเราะกลบเกลื่อนสีหน้าขุ่นมัว “ด้วยความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาของ เจ้าตำหนักหยาง ท่านสามารถเข้าสู่สามอันดับแรกได้แน่นอน”
กล่าวจบอย่างนั้น เขาก็ยกกำปั้นขอลา แล้วจากไปพร้อมกับบรรดาศิษย์สำนักยวินฮุยเดินตามหลังเป็นขบวน
ครั้นพวกเขาปลีกตัวออกห่างจากกลุ่มหยางเสี่ยวเทียนมาได้สักระยะ ใบหน้าไฉ่ห่าวก็พลันมืดลง ขณะมือพลางกำหมัดแน่น
“หยางเสี่ยวเทียน เจ้าเด็กไร้ยางอายนั่น คิดจริงหรือว่าตนจะสามารถชนะเป็นหนึ่งในสามอันดับแรกได้” หลัวจุนเผิง อดกล่าวด้วยความโกรธเคืองไม่ไหว
เติ้งอี้ชุนผู้เดินมาพร้อมกับพวกเขา ยังคงปิดปากเงียบไม่แสดงความเห็นใดเหมือนทุกครา
ไฉ่ห่าวเหลือบมองเติ้งอี้ชุนที่นิ่งเงียบตลอดเวลา หลังพ่ายแพ้ให้แก่หยางเสี่ยวเทียนอย่างไร้เกียรติ เขาจึงเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาด้วยไม่สบอารมณ์
“วันนี้ ที่สำนักยวินฮุยเราต้องอับอายโดยสิ้นเชิง ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า! บอกข้ามาเสีย ว่าไฉนเกิดเรื่องอัปยศเช่นนี้”
เขาหมายถึงว่าทำไม เติ้งอี้ชุนถึงยอมรับความพ่ายแพ้โดยสมัครใจ ทั้งที่ความแข็งแกร่งเขา สามารถเอาชนะหยางเสี่ยวเทียนได้อย่างมิต้องสงสัย
เติ้งอี้ชุนส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “ข้าบอกท่านไปแล้ว ข้าไม่คู่ควรกับเจ้าตำหนักหยาง”
“ข้าไม่สามารถรับหมัด หรือแม้แต่เคลื่อนไหวจากเจ้าตำหนักหยางได้เลยสักกระบวนท่าเดียว” เขากล่าวน้ำเสียงห่อเหี่ยว แต่เป็นเรื่องจริงทุกคำ แม้นฟังดูไร้สาระก็ตาม
ยิ่งได้ฟังที่เติ้งอี้ชุนกล่าว อารมณ์เกรี้ยวโกรธของไฉ่ห่าวและหลัวจวิ้นเผิง ก็ยิ่งคุกรุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อสิ่งที่เขาพล่ามออกมา ดูเลอะเทอะสิ้นดี
จะบอกว่าแม้แต่กระบวนท่าเดียว ก็รับมือเด็กเช่นหยางเสี่ยวเทียนไม่ไหวกระนั้นหรือ ใบหน้าไฉ่ห่าวสั่นสะเทิ้นด้วยเดือดจัด ครั้นเห็นว่าเติ้งอี้ชุนยังกล้าสบประมาทเขาด้วยวาจาเหลวไหล
เขาชี้นิ้วไปที่เติ้งอี้ชุนด้วยดวงตาแดงก่ำขณะท่าทางก็น่าเกรงขามอย่างหวั่นกลัว “เติ้งอี้ชุน อย่าคิดว่าเพราะอาจารย์เจ้าคืออู๋ฉี แล้วข้าจะมิกล้าขับเจ้าออกจากสำนักยวินฮุยนะ!”
เติ้งอี้ชุนไม่สะทกสะท้าน ทั้งยังมีท่าทีนิ่งเฉยก่อนเผยปากกล่าวเรื่องที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าออกมา “สิ่งที่ข้ากล่าวนั้นเป็นความจริง ไม่เพียงข้าเท่านั้น แม้แต่เหล่ยจื่อเอง ก็ยังรับหมัดหยางเสี่ยวเทียนไม่ได้”
เมื่อไฉ่ห่าวยังได้ยินเรื่องเช่นนี้พ่นออกจากปากเติ้งอี้ชุน เนื้อตัวเขาก็สะท้านสั่นด้วยบันดาลโทสะจวนแทบระเบิด เขาขบกรามแน่นพลางชี้นิ้วหาเติ้งอี้ชุนอย่างฉุนเฉียว
“แม้แต่เหล่ยจื่อก็รับหมัดหยางเสี่ยวเทียนไม่ได้งั้นรึ หึ! เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนโง่เขลาหรืออย่างไร ถึงยังกล้าโต้เถียงด้วยวาจาเหลวไหลเช่นนี้”
เติ้งอี้ชุนหุบปาก เบือนหน้าหนีพร้อมลอบถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย หากยังไม่เปิดใจยอมรับฟังหรือเชื่อในสิ่งที่เขาพูดด้วยมีทิฐิต่อคนสำนักเสินเจี้ยน เขาก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายสิ่งใดแล้ว
เพราะต่อให้เขามีพยานรับรองประกอบเหตุผลช่วยยืนยันใดๆ สุดท้ายก็คงไร้ประโยชน์
ทางที่ดี เขาไม่ต้องกล่าวสิ่งใดและหุบปากไว้เหมือนเดิมก็ดีอยู่แล้ว
ครั้นท้องนภาเปลี่ยนสีสันเป็นมืดค่ำ บรรดาคนจากสำนักเสินเจี้ยนที่กลับถึงลานเสริมสำนักเสินเจี้ยนสาขารอง ต่างส่งเสียงหัวเราะครื้นเครงอย่างสนุกสนาน ระหว่างงานเลี้ยงเฉลิมฉลองหลังจบการแข่งขันวันนี้
ส่วนอีกด้านของเมืองหลวง
ครั้นกลับถึงจวน เฉินจื่อหานและเฉิงหลง ทั้งคู่ต่างไม่สบอารมณ์หลังประสบกับผลการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรมวันนี้
แม้ทั้งสองจะผ่านเข้าสู่ร้อยอันดับแรกตามความมุ่งหวัง แต่สีหน้าท่าทางพวกเขากลับไม่มีรู้สึกยินดีหรือพอใจใดๆ เลย
ซึ่งสาเหตุนั้น จะเป็นเรื่องไหนไปเสียหากมิใช่เพราะหยางเสี่ยวเทียน ก็ผ่านเข้าสู่ร้อยอันดับแรก อย่างไม่ต้องออกแรงเคลื่อนไหวใดๆ สักกระบ่วนท่า ทั้งที่เป็นการแข่งขันประลองยุทธ
“หยางเสี่ยวเทียน เจ้าเด็กน่ารังเกียจและไร้ยางอาย พรุ่งนี้ อย่าให้ข้าเป็นคู่ประลองกับเขาเสียดีกว่า ไม่เช่นนั้น ข้าคงอดยั้งมือไม่ไหว” เฉินจื่อหานกล่าวด้วยโทสะ
เพราะเฉิงเซิ่งและเฉิงหวู่ สนิทสนมกันดั่งเป็นเงาตามตัว วันนี้ เมื่อเฉิงเซิ่งเต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้ให้แก่หยางเสี่ยวเทียน เฉิงหลงจึงเค้นถามเหตุผลแลความจริงกับเฉิงหวู่ ด้วยอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่
“เฉิงหวู่ปฏิเสธที่จะกล่าว ไม่ว่าข้าจะเค้นเอาคำตอบจากเขาอย่างไร” เฉิงหลงส่ายศีรษะ หลังไม่ได้เรื่องใดกับเฉิงหวู่กลับมาเลย
“แต่วางใจเถอะ ในวันพรุ่งนี้ หยางเสี่ยวเทียนไม่สามารถเข้าสู่สิบอันดับแรกได้แน่” เขาเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา
“ถึงอย่างไร เขาก็ไม่สามารถเอาชนะทุกคนได้” แน่นอนว่าประโยคนี้ หมายถึงเขา
ค่ำคืนอันเงียบสงบ เปลี่ยนผ่านเป็นวันฟ้าใสอย่างรวดเร็ว
หลังหยางเสี่ยวเทียนหยุดฝึกฝน เขาและทุกคนจากสำนักเสินเจี้ยน ก็พร้อมเดินทางมุ่งหน้าไปยังจัตุรัสพระราชวัง