ตอนที่ 63 เขตต้องห้ามของนิกายเทียนสุ่ย
ตอนที่ 63 เขตต้องห้ามของนิกายเทียนสุ่ย
หลังเขา นิกายเทียนสุ่ย
สถานที่แห่งนี้มีอันตรายมาก ซึ่งเป็นภาพที่ตัดกับทิวทัศน์สวยงามของด้านหน้าภูเขาชัดเจน
นี่เป็นเขตต้องห้ามของนิกายเทียนสุ่ย ยกเว้นเจ้านิกายแล้วแม้แต่เฟิ่งหลวนก็ไม่มีอำนาจเข้าไป
“ซูอัน!” เมื่อฉินอวิ๋นฟื้นขึ้นมา เขายังคงสบถเรียกชื่อเดิม
ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงมากกว่าเดิม
เมื่อได้ระบายโทสะออกมาแบบสุดโต่งแล้วเหมือนว่าเขาจะหมดสติไป
“ตอนนี้ข้าอยู่ที่ใด” เขารวบรวมเรี่ยวแรงและมองไปรอบกาย
เมื่อเห็นป้ายห้ามเข้านั้นแล้ว ฉินอวิ๋นจึงตระหนักได้ถึงสถานการณ์ปัจจุบัน
คาดไม่ถึงว่าเขาจะวิ่งมาถึงหลังเขาโดยไม่รู้ตัว
ต้องทราบก่อนว่าโดยปกติแค่คนของนิกายเทียนสุ่ยเดินมาใกล้บริเวณหลังเขาจะถูกตำหนิรุนแรงทันที ดังนั้นจึงไม่มีใครในนิกายเทียนสุ่ยกล้าฝ่าฝืนกฎของมู่หนิงเจินแล้วตั้งใจวิ่งมาที่หลังเขา
แต่เขาเดินมาที่นี่โดยไม่ได้ตั้งใจจริงๆ
“ลองเข้าไปดูหน่อยคงไม่เป็นไร”
ทางเข้าเป็นม่านพลังเวทลวงตา แต่ ‘คัมภีร์มหาสุบิน’ ที่เขาฝึกนั้นมีผลในการทำลายภาพลวงตา ดังนั้นมันจึงขวางเขาไม่ได้
“ขอดูหน่อยเถอะ” ฉินอวิ๋นรู้สึกตื่นเต้นจนไม่สนใจกฎของนิกายอีกต่อไป
เขาก้าวเข้าไปในม่านพลังเวทลวงตาทันที
ในพริบตาต่อมา ร่างของซูอันก็ปรากฏขึ้นในตำแหน่งเดิมของฉินอวิ๋น
“เข้าไปดูแล้วไม่ต้องออกมา”
เขาสะบัดมือแล้วเกิดภาพลวงตาของตำหนักเซียนครอบลงมายังม่านพลังเวทลวงตาเดิม
ทำให้ม่านพลังเวทลวงตาแต่เดิมเปลี่ยนไปทันที โดยมีภาพจำนวนนับไม่ถ้วนทับซ้อนกัน ทำให้รูปแบบภาพลวงตาธรรมดากลายเป็นการวางกับดักขั้นสูงสุดทันที
ภายใต้การควบคุมของซูอัน ค่ายกลนี้จะไม่ปล่อยให้ผู้ใดมีโอกาสรอดเหมือนเทพไท่ซวี แม้ว่าพลังไม่แกร่งเท่าเทพไท่ซวี แต่สำหรับผู้ฝึกตนระดับไม่สูงมากยังใช้ได้ดี แม้ว่าฉินอวิ๋นจะโชคดีเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่มีทางผ่านค่ายกลภาพลวงตาของตำหนักไท่ซวีที่ควบคุมโดยซูอันไปได้
“คิดแล้วว่าที่หลังเขาต้องมีเรื่องน่าสนใจ” เขามองป้ายห้ามเข้าและแสดงท่าทีเย้ยหยันออกมา
ซูอันสั่งให้บุปผามรณะคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของฉินอวิ๋น เมื่อรู้ว่าฉินอวิ๋นมาที่หลังเขา ซูอันจึงวางแผนทันที
พูดได้คำเดียวว่าพวกตัวเอกโชคดีจริงๆ แม้ในสถานการณ์แบบนี้ยังมีโอกาสนับครั้งไม่ถ้วน
แต่ตัวเอกชายคนนี้ถูกกำหนดให้เป็นหนูล่าสมบัติของเขา
เขาเรียกบุปผามรณะออกมาแล้วเอนกายบนหลังของนางด้วยท่าทางสบายๆ
“พาข้าเข้าไป” เนื่องจากหลังเขาเป็นเขตต้องห้ามของนิกายเทียนสุ่ย จึงอาจมีอันตรายได้เสมอ
เขาไม่ใช่ลูกรักเหมือนพวกตัวเอก แล้วเหตุใดต้องพาตัวเองไปเสี่ยง
“เจ้าค่ะ!” การแสดงออกของบุปผามรณะไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนภายใต้หน้ากาก แต่คำตอบของนางชัดเจนและบินเข้าในหลังเขาโดยมีซูอันอยู่บนหลัง
นอกจากทิวทัศน์ไม่ค่อยดีนัก มันยังดูน่าขนลุกด้วย ทว่าไม่อันตรายเท่าที่ซูอันจินตนาการไว้
ระหว่างทาง ไม่เห็นแม้แต่สิ่งมีชีวิตที่สามารถกรีดร้องได้เลย
เหมือนอาณาจักรที่ตายแล้ว
เห็นได้ชัดว่าสภาพแวดล้อมเช่นนี้มีคนจงใจใช้พลังเวทมหาศาลสร้างขึ้น
ทั้งสองเดินทางต่อไปเรื่อยๆ
ทันใดนั้นพลังวิญญาณสีชมพูลอยมา มันผ่านม่านพลังที่บุปผามรณะสร้างไว้โดยตรง
แม้ว่าบุปผามรณะสามารถขจัดพลังวิญญาณแปลกๆ นี้ได้ทันที แต่ซูอันยังได้รับผลกระทบเล็กน้อย
พลังวิญญาณนี้!
การแสดงออกของซูอันดูผิดธรรมชาติ และทันทีที่พลังของคัมภีร์ปฐมกาลเริ่มไหลเวียนในร่างกายของเขา อิทธิพลของพลังวิญญาณสีชมพูนี้จึงหายไป
“เดินต่อไปตามทิศทางของพลังวิญญาณนี้ ข้าอยากทราบแหล่งกำเนิดของมัน”
สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแปลงและยังอยู่บนหลังของบุปผามรณะ
บุปผามรณะยังเงียบและปฏิบัติตามคำสั่งของซูอันด้วยความซื่อสัตย์
เมื่อเดินตามพลังวิญญาณนั้น ทั้งสองจึงมาถึงถ้ำลึกลับแห่งหนึ่ง
พลังวิญญาณสีชมพูในบริเวณนี้แข็งแกร่งขึ้น หากเป็นจื่อฝู่ทั่วไปคงเสียสติในระยะเวลาอันสั้น แต่ด้วยพลังของคัมภีร์ปฐมกาลจึงสามารถกำจัดอิทธิพลของพลังนี้ได้
“เข้าไปดู”
ปากถ้ำมีม่านพลังเวทกั้นไว้ แต่ดูเหมือนว่าจะได้รับความเสียหายมาระยะหนึ่งแล้ว คงถูกโจมตีด้วยพลังที่หาคำอธิบายไม่ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้พลังวิญญาณสีชมพูนั้นหลุดลอดจากความเสียหายนี้ออกมา
เมื่อผ่านเขตหวงห้ามไปแล้วจะพบกับโถงถ้ำซึ่งมีโพรงแบ่งเป็นห้องเพียงสองหรือสามห้องเท่านั้น ด้านในสุดมีประตูสีดำทำจากวัสดุไม่ทราบชนิด
สามารถรู้สึกได้เลยว่าแหล่งกำเนิดของพลังวิญญาณสีชมพูอยู่หลังประตู
“นี่คือที่ฝึกตนของมู่หนิงเจินกระมัง”
ซูอันเหลือบมองไปรอบถ้ำ เมื่อสำรวจด้วยความรวดเร็วแล้วดวงตาของเขามาหยุดอยู่ที่ประตู
หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น พวกฉู่อินและอาจารย์สามารถมาซ่อนที่นี่ได้
ซูอันขยิบตาและบุปผามรณะเดินไปข้างหน้าพร้อมความระวัง จากนั้นเปิดประตูเพื่อสำรวจเส้นทาง
แต่ไม่คาดคิดว่าประตูสีดำถูกเปิดออกด้วยการผลักเพียงเล็กน้อยและไม่มีสิ่งที่เรียกว่ากับดักอยู่เลย
ซูอันมองเข้าไปข้างในและเห็นสตรีที่แต่งตัวไม่เรียบร้อยคนหนึ่งทันที
สตรีนางนั้นมีรูปลักษณ์เย็นชาและริมฝีปากบาง เพียงมองแวบแรกก็ทำให้ซูอันนึกถึงบัวหิมะบนภูเขาสูง
แม้ว่าซูอันมีมาตรฐานความงามสูงมาก แต่เขาไม่พบข้อบกพร่องในร่างกายของสตรีนางนี้แม้แต่จุดเดียว
คิ้วสว่างราวสายน้ำฤดูใบไม้ร่วง ผิวหยกต้องสายลมอุ่น
เมื่อรวมกับทัศนียภาพฤดูใบไม้ผลิที่โผล่ออกมา ทำให้แม้แต่ซูอันก็ไม่สามารถซ่อนหัวใจที่เร่าร้อนได้และต้องการก้าวไปข้างหน้า
“ใจเย็นก่อน!” ทันใดนั้นเขาหยุดเดินและบังคับตัวเองให้สงบสติอารมณ์ พลังของคัมภีร์ปฐมกาลในร่างกายของเขาไหลเวียนไปทั่วและจิตใจกลับมาชัดเจนอีกครั้ง “แม้แต่ข้ายังได้รับผลกระทบจริงๆ”
ดวงตาของซูอันผละจากเรือนกายไปที่มือของนาง พบว่าในมือมีวัตถุที่ดูเลือนรางอยู่
เมื่อมองคร่าวๆ พบว่ามันดูเหมือนกระดิ่ง
เขาแน่ใจว่านี่คือแหล่งที่มาของพลังวิญญาณที่ส่งผลกระทบต่อเขาในตอนนี้
ดูเหมือนจะเป็นสมบัติวิญญาณชนิดหนึ่งด้วย! ซูอันตาเป็นประกาย
“นางคงอยากขัดเกลาสมบัติวิญญาณนี้ แต่ประสบความสำเร็จเพียงครึ่งเดียว”
จากสถานการณ์ตรงหน้าทำให้เขาได้ข้อสรุปเช่นนี้
เหตุผลที่สมบัติวิญญาณมีค่ามากที่สุดในบรรดาอาวุธเวททั้งหมด เพราะโดยทั่วไปแล้วการขัดเกลาสมบัติวิญญาณจะต้องใช้พลังจิตวิญญาณชั้นยอดที่สอดประสานฟ้าดิน เพื่อที่จะแบกรับพลังของมันและนำติดตัวไปได้
หลังจากขัดเกลาเสร็จสิ้นแล้วยังไม่พอใจ ก็สามารถขัดเกลาใหม่ได้ด้วยพลังเวทระดับสูงขึ้น แต่มันยุ่งยากมากและต้องแยกโครงสร้างวิญญาณของสมบัติวิญญาณออกมาด้วย
ด้วยการแยกโครงสร้างนี้ ผู้ฝึกตนจะสามารถเข้าใจเสน่ห์ทางจิตวิญญาณที่ลึกที่สุดของสมบัติวิญญาณ และมีผู้ฝึกตนระดับหยางบริสุทธิ์ใช้วิธีนี้เพื่อทะลวงสู่ระดับที่สูงขึ้นด้วย
เพียงแต่วิธีนี้ค่อนข้างอันตราย หากล้มเหลวแล้วสมบัติวิญญาณจะถูกทำลายหรือแม้แต่ชีวิตก็อาจตกอยู่ในอันตราย
ตอนนี้ดูเหมือนว่ามู่หนิงเจินตกอยู่ในสถานการณ์นั้น
สีผิวของนางแดงผิดปกติ ดวงตาปิดแน่น ใบหน้าดูเจ็บปวดและไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ ต่อการมาถึงของคนแปลกหน้าทั้งสอง
ซูอันมองด้วยความสนใจใคร่รู้
เขาถือไข่มุกหยางแท้ไว้ในมือข้างหนึ่งแล้วเดินไปข้างหน้าช้าๆ จากนั้นยื่นนิ้วออกไปจิ้มแก้มของสตรีนางนั้นเบาๆ
นิ่มลื่น...นี่เป็นความรู้สึกแรกของซูอัน
ผิวเหมือนวุ้นใสที่เรียบเนียนและอ่อนนุ่ม
มู่หนิงเจินยังคงไม่ตอบสนอง
ราวกับตุ๊กตาที่สร้างขึ้นมาด้วยความประณีตทว่าไม่มีชีวิตจะลุกขึ้นมาต่อต้าน
ซูอันจึงใจกล้าขึ้นมาอีก คราวนี้เขาทั้งลูบหัว บีบจมูก ดีดติ่งหูของนาง...
การกระทำอุกอาจมากขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุดมือของเขาแตะริมฝีปากสีแดงนั้น
รูปปากของมู่หนิงเจินสวยที่สุดเท่าที่ซูอันเคยเห็นมาในชีวิตนี้
บางและประณีตเหมือนผ้าไหมสีแดงและมีความแวววาวเหมือนโลหิตสด
ฟันขาวราวกับหยก ตัดกับริมฝีปากสีแดงชัดเจน ยิ่งทำให้ฟันสีขาวดูงามละเมียดละไม
หืม!
เห็นฟันได้อย่างไร?
ซูอันเงยหน้าขึ้นมองทันทีจึงเห็นดวงตาที่ปิดสนิทของมู่หนิงเจินได้เปิดขึ้นแล้ว สายตาของนางเย็นชาราวกับมีด