ตอนที่แล้วตอนที่ 62 ชายเจ้าชู้หญิงรัก ฟ้าอุ้มสม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 64 กระดิ่งเหอฮวน

ตอนที่ 63 เขตต้องห้ามของนิกายเทียนสุ่ย


        ตอนที่ 63 เขตต้องห้ามของนิกายเทียนสุ่ย

  

หลังเขา นิกายเทียนสุ่ย

  

สถานที่แห่งนี้มีอันตรายมาก ซึ่งเป็นภาพที่ตัดกับทิวทัศน์สวยงามของด้านหน้าภูเขาชัดเจน

  

นี่เป็นเขตต้องห้ามของนิกายเทียนสุ่ย ยกเว้นเจ้านิกายแล้วแม้แต่เฟิ่งหลวนก็ไม่มีอำนาจเข้าไป

“ซูอัน!” เมื่อฉินอวิ๋นฟื้นขึ้นมา เขายังคงสบถเรียกชื่อเดิม

  

ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงมากกว่าเดิม

  

เมื่อได้ระบายโทสะออกมาแบบสุดโต่งแล้วเหมือนว่าเขาจะหมดสติไป

  

“ตอนนี้ข้าอยู่ที่ใด” เขารวบรวมเรี่ยวแรงและมองไปรอบกาย

  

เมื่อเห็นป้ายห้ามเข้านั้นแล้ว ฉินอวิ๋นจึงตระหนักได้ถึงสถานการณ์ปัจจุบัน

  

คาดไม่ถึงว่าเขาจะวิ่งมาถึงหลังเขาโดยไม่รู้ตัว

  

ต้องทราบก่อนว่าโดยปกติแค่คนของนิกายเทียนสุ่ยเดินมาใกล้บริเวณหลังเขาจะถูกตำหนิรุนแรงทันที ดังนั้นจึงไม่มีใครในนิกายเทียนสุ่ยกล้าฝ่าฝืนกฎของมู่หนิงเจินแล้วตั้งใจวิ่งมาที่หลังเขา

  

แต่เขาเดินมาที่นี่โดยไม่ได้ตั้งใจจริงๆ

  

“ลองเข้าไปดูหน่อยคงไม่เป็นไร”

  

ทางเข้าเป็นม่านพลังเวทลวงตา แต่ ‘คัมภีร์มหาสุบิน’ ที่เขาฝึกนั้นมีผลในการทำลายภาพลวงตา ดังนั้นมันจึงขวางเขาไม่ได้

  

“ขอดูหน่อยเถอะ” ฉินอวิ๋นรู้สึกตื่นเต้นจนไม่สนใจกฎของนิกายอีกต่อไป

  

เขาก้าวเข้าไปในม่านพลังเวทลวงตาทันที

  

ในพริบตาต่อมา ร่างของซูอันก็ปรากฏขึ้นในตำแหน่งเดิมของฉินอวิ๋น

  

“เข้าไปดูแล้วไม่ต้องออกมา”

เขาสะบัดมือแล้วเกิดภาพลวงตาของตำหนักเซียนครอบลงมายังม่านพลังเวทลวงตาเดิม

  

ทำให้ม่านพลังเวทลวงตาแต่เดิมเปลี่ยนไปทันที โดยมีภาพจำนวนนับไม่ถ้วนทับซ้อนกัน ทำให้รูปแบบภาพลวงตาธรรมดากลายเป็นการวางกับดักขั้นสูงสุดทันที

  

ภายใต้การควบคุมของซูอัน ค่ายกลนี้จะไม่ปล่อยให้ผู้ใดมีโอกาสรอดเหมือนเทพไท่ซวี แม้ว่าพลังไม่แกร่งเท่าเทพไท่ซวี แต่สำหรับผู้ฝึกตนระดับไม่สูงมากยังใช้ได้ดี แม้ว่าฉินอวิ๋นจะโชคดีเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่มีทางผ่านค่ายกลภาพลวงตาของตำหนักไท่ซวีที่ควบคุมโดยซูอันไปได้

  

“คิดแล้วว่าที่หลังเขาต้องมีเรื่องน่าสนใจ”  เขามองป้ายห้ามเข้าและแสดงท่าทีเย้ยหยันออกมา

  

ซูอันสั่งให้บุปผามรณะคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของฉินอวิ๋น เมื่อรู้ว่าฉินอวิ๋นมาที่หลังเขา ซูอันจึงวางแผนทันที

  

พูดได้คำเดียวว่าพวกตัวเอกโชคดีจริงๆ แม้ในสถานการณ์แบบนี้ยังมีโอกาสนับครั้งไม่ถ้วน

  

แต่ตัวเอกชายคนนี้ถูกกำหนดให้เป็นหนูล่าสมบัติของเขา

  

เขาเรียกบุปผามรณะออกมาแล้วเอนกายบนหลังของนางด้วยท่าทางสบายๆ

  

“พาข้าเข้าไป” เนื่องจากหลังเขาเป็นเขตต้องห้ามของนิกายเทียนสุ่ย จึงอาจมีอันตรายได้เสมอ

  

เขาไม่ใช่ลูกรักเหมือนพวกตัวเอก แล้วเหตุใดต้องพาตัวเองไปเสี่ยง

  

“เจ้าค่ะ!” การแสดงออกของบุปผามรณะไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนภายใต้หน้ากาก แต่คำตอบของนางชัดเจนและบินเข้าในหลังเขาโดยมีซูอันอยู่บนหลัง

  

นอกจากทิวทัศน์ไม่ค่อยดีนัก มันยังดูน่าขนลุกด้วย ทว่าไม่อันตรายเท่าที่ซูอันจินตนาการไว้

ระหว่างทาง ไม่เห็นแม้แต่สิ่งมีชีวิตที่สามารถกรีดร้องได้เลย

  

เหมือนอาณาจักรที่ตายแล้ว

  

เห็นได้ชัดว่าสภาพแวดล้อมเช่นนี้มีคนจงใจใช้พลังเวทมหาศาลสร้างขึ้น

  

ทั้งสองเดินทางต่อไปเรื่อยๆ

  

ทันใดนั้นพลังวิญญาณสีชมพูลอยมา มันผ่านม่านพลังที่บุปผามรณะสร้างไว้โดยตรง

  

แม้ว่าบุปผามรณะสามารถขจัดพลังวิญญาณแปลกๆ นี้ได้ทันที แต่ซูอันยังได้รับผลกระทบเล็กน้อย

  

พลังวิญญาณนี้!

  

การแสดงออกของซูอันดูผิดธรรมชาติ และทันทีที่พลังของคัมภีร์ปฐมกาลเริ่มไหลเวียนในร่างกายของเขา อิทธิพลของพลังวิญญาณสีชมพูนี้จึงหายไป

  

“เดินต่อไปตามทิศทางของพลังวิญญาณนี้ ข้าอยากทราบแหล่งกำเนิดของมัน”

  

สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแปลงและยังอยู่บนหลังของบุปผามรณะ

  

บุปผามรณะยังเงียบและปฏิบัติตามคำสั่งของซูอันด้วยความซื่อสัตย์

  

เมื่อเดินตามพลังวิญญาณนั้น ทั้งสองจึงมาถึงถ้ำลึกลับแห่งหนึ่ง

  

พลังวิญญาณสีชมพูในบริเวณนี้แข็งแกร่งขึ้น หากเป็นจื่อฝู่ทั่วไปคงเสียสติในระยะเวลาอันสั้น แต่ด้วยพลังของคัมภีร์ปฐมกาลจึงสามารถกำจัดอิทธิพลของพลังนี้ได้   

  

“เข้าไปดู”

  

ปากถ้ำมีม่านพลังเวทกั้นไว้ แต่ดูเหมือนว่าจะได้รับความเสียหายมาระยะหนึ่งแล้ว คงถูกโจมตีด้วยพลังที่หาคำอธิบายไม่ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้พลังวิญญาณสีชมพูนั้นหลุดลอดจากความเสียหายนี้ออกมา

  

เมื่อผ่านเขตหวงห้ามไปแล้วจะพบกับโถงถ้ำซึ่งมีโพรงแบ่งเป็นห้องเพียงสองหรือสามห้องเท่านั้น ด้านในสุดมีประตูสีดำทำจากวัสดุไม่ทราบชนิด

สามารถรู้สึกได้เลยว่าแหล่งกำเนิดของพลังวิญญาณสีชมพูอยู่หลังประตู

  

“นี่คือที่ฝึกตนของมู่หนิงเจินกระมัง”

  

ซูอันเหลือบมองไปรอบถ้ำ เมื่อสำรวจด้วยความรวดเร็วแล้วดวงตาของเขามาหยุดอยู่ที่ประตู

หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น พวกฉู่อินและอาจารย์สามารถมาซ่อนที่นี่ได้

  

ซูอันขยิบตาและบุปผามรณะเดินไปข้างหน้าพร้อมความระวัง จากนั้นเปิดประตูเพื่อสำรวจเส้นทาง

  

แต่ไม่คาดคิดว่าประตูสีดำถูกเปิดออกด้วยการผลักเพียงเล็กน้อยและไม่มีสิ่งที่เรียกว่ากับดักอยู่เลย

ซูอันมองเข้าไปข้างในและเห็นสตรีที่แต่งตัวไม่เรียบร้อยคนหนึ่งทันที

  

สตรีนางนั้นมีรูปลักษณ์เย็นชาและริมฝีปากบาง เพียงมองแวบแรกก็ทำให้ซูอันนึกถึงบัวหิมะบนภูเขาสูง

  

แม้ว่าซูอันมีมาตรฐานความงามสูงมาก แต่เขาไม่พบข้อบกพร่องในร่างกายของสตรีนางนี้แม้แต่จุดเดียว

  

คิ้วสว่างราวสายน้ำฤดูใบไม้ร่วง ผิวหยกต้องสายลมอุ่น

  

เมื่อรวมกับทัศนียภาพฤดูใบไม้ผลิที่โผล่ออกมา ทำให้แม้แต่ซูอันก็ไม่สามารถซ่อนหัวใจที่เร่าร้อนได้และต้องการก้าวไปข้างหน้า

  

“ใจเย็นก่อน!” ทันใดนั้นเขาหยุดเดินและบังคับตัวเองให้สงบสติอารมณ์ พลังของคัมภีร์ปฐมกาลในร่างกายของเขาไหลเวียนไปทั่วและจิตใจกลับมาชัดเจนอีกครั้ง “แม้แต่ข้ายังได้รับผลกระทบจริงๆ”

  

ดวงตาของซูอันผละจากเรือนกายไปที่มือของนาง พบว่าในมือมีวัตถุที่ดูเลือนรางอยู่

  

เมื่อมองคร่าวๆ พบว่ามันดูเหมือนกระดิ่ง

  

เขาแน่ใจว่านี่คือแหล่งที่มาของพลังวิญญาณที่ส่งผลกระทบต่อเขาในตอนนี้

  

ดูเหมือนจะเป็นสมบัติวิญญาณชนิดหนึ่งด้วย! ซูอันตาเป็นประกาย

  

“นางคงอยากขัดเกลาสมบัติวิญญาณนี้ แต่ประสบความสำเร็จเพียงครึ่งเดียว”

  

จากสถานการณ์ตรงหน้าทำให้เขาได้ข้อสรุปเช่นนี้

  

เหตุผลที่สมบัติวิญญาณมีค่ามากที่สุดในบรรดาอาวุธเวททั้งหมด เพราะโดยทั่วไปแล้วการขัดเกลาสมบัติวิญญาณจะต้องใช้พลังจิตวิญญาณชั้นยอดที่สอดประสานฟ้าดิน เพื่อที่จะแบกรับพลังของมันและนำติดตัวไปได้

  

หลังจากขัดเกลาเสร็จสิ้นแล้วยังไม่พอใจ ก็สามารถขัดเกลาใหม่ได้ด้วยพลังเวทระดับสูงขึ้น แต่มันยุ่งยากมากและต้องแยกโครงสร้างวิญญาณของสมบัติวิญญาณออกมาด้วย

  

ด้วยการแยกโครงสร้างนี้ ผู้ฝึกตนจะสามารถเข้าใจเสน่ห์ทางจิตวิญญาณที่ลึกที่สุดของสมบัติวิญญาณ และมีผู้ฝึกตนระดับหยางบริสุทธิ์ใช้วิธีนี้เพื่อทะลวงสู่ระดับที่สูงขึ้นด้วย

  

เพียงแต่วิธีนี้ค่อนข้างอันตราย หากล้มเหลวแล้วสมบัติวิญญาณจะถูกทำลายหรือแม้แต่ชีวิตก็อาจตกอยู่ในอันตราย

  

ตอนนี้ดูเหมือนว่ามู่หนิงเจินตกอยู่ในสถานการณ์นั้น

  

สีผิวของนางแดงผิดปกติ ดวงตาปิดแน่น ใบหน้าดูเจ็บปวดและไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ ต่อการมาถึงของคนแปลกหน้าทั้งสอง

  

ซูอันมองด้วยความสนใจใคร่รู้

  

เขาถือไข่มุกหยางแท้ไว้ในมือข้างหนึ่งแล้วเดินไปข้างหน้าช้าๆ จากนั้นยื่นนิ้วออกไปจิ้มแก้มของสตรีนางนั้นเบาๆ

นิ่มลื่น...นี่เป็นความรู้สึกแรกของซูอัน

  

ผิวเหมือนวุ้นใสที่เรียบเนียนและอ่อนนุ่ม

  

มู่หนิงเจินยังคงไม่ตอบสนอง

  

ราวกับตุ๊กตาที่สร้างขึ้นมาด้วยความประณีตทว่าไม่มีชีวิตจะลุกขึ้นมาต่อต้าน

  

ซูอันจึงใจกล้าขึ้นมาอีก คราวนี้เขาทั้งลูบหัว บีบจมูก ดีดติ่งหูของนาง...

  

การกระทำอุกอาจมากขึ้นเรื่อยๆ

  

ในที่สุดมือของเขาแตะริมฝีปากสีแดงนั้น

  

รูปปากของมู่หนิงเจินสวยที่สุดเท่าที่ซูอันเคยเห็นมาในชีวิตนี้

  

บางและประณีตเหมือนผ้าไหมสีแดงและมีความแวววาวเหมือนโลหิตสด

  

ฟันขาวราวกับหยก ตัดกับริมฝีปากสีแดงชัดเจน ยิ่งทำให้ฟันสีขาวดูงามละเมียดละไม

หืม!

  

เห็นฟันได้อย่างไร?

  

ซูอันเงยหน้าขึ้นมองทันทีจึงเห็นดวงตาที่ปิดสนิทของมู่หนิงเจินได้เปิดขึ้นแล้ว สายตาของนางเย็นชาราวกับมีด