ตอนที่ 33 การวางคนของตงฉ่าง
ร่างสวมหน้ากากก็คือเสี่ยวเต๋อจือนั่นเอง เขาได้รับแรงบันดาลใจโดยเฟิงอวี่ ในเมื่อเขาอยากฝังหนอนในบ้านเสนาบดี ทำไมไม่ส่งคนเข้าไปตรงๆ?ดังนั้นเสี่ยวเต๋อจือจึงคิดแผน เริ่มด้วยคนมีชื่อของเมืองหลวง!
เหมือนเหลียวกง ที่มีชื่อและมีภูมิหลังสะอาด ถ้าพวกเขาเต็มใจไปปกป้องครอบครัวเสนาบดีเหล่านั้น พวกเขาย่อมยินดี ขุนนางส่วนใหญ่ไม่เก่งวิชายุทธ์ ต่อให้มีวิชา ก็ยังต้องการคนเฝ้าบ้าน
แม้เมืองหลวงจะปลอดภัยโดยมีหกกรมดูแล โจรฝีมือดีก็ยังสร้างปัญหาให้ครอบครัวขุนนางมาก
ตระกูลใหญ่ฝึกฝนคนของตนตั้งแต่เด็ก ตระกูลผู้บ่มเพาะจะค่อยๆมีวิชายุทธ์เฉพาะของตน แต่ขุนนางเหล่านี้ต้องการจ้างคนคุ้มกันฝีมือดี คนอย่างเหลียวกงที่มีชื่อเสียงดีและมีวิชาเป็นเป้าของขุนนางหลายตระกูล
แต่ วีรบุรุษหนุ่มเหล่านี้มักมีความทะเยอทะยานและโหยหาชีวิตแสนสบายกับการแก้แค้น หลังประสบกับความโหดร้ายของยุทธภพ บางคนตระหนักถึงความป่าเถื่อนของความเป็นจริง จากนั้นก็ไปขอเป็นคนคุ้มกัน แต่ ยอดฝีมือเหล่านี้ไม่ใช่ผู้คุ้มกันธรรมดา พวกเขาคือนักรบมือดีที่ตระกูลขุนนางจ้าง สถานะสูงกว่าข้ารับใช้ธรรมดา
ราชสำนักก็ใจอ่อนต่อจอมยุทธ์เหล่านี้ ต่อให้พวกเขาก่ออาชญากรรม ขอแค่เต็มใจรับใช้ราชสำนัก ก็จะได้รับการอภัยโทษ
เสี่ยวเต๋อจือมองเหลียวกงพรุ่งนี้ เจ้าจะไปจวนของผู้ช่วยเสนาบดีกรมยุติธรรม”
เหลียวกงอุทาน“แต่ข้าไม่ได้ละเมิดกฏหมาย!ทำไมข้าต้องไปกรมยุติธรรมด้วย?”
เสี่ยวเต๋อจือกระตุ้นผนึกอีก ทำให้เหลียวกงกลิ้งกับพื้นด้วยความคัน ตอนเสี่ยวเต๋อจือหยุด สุดท้ายเหลียวกงก็สงบ“ข้าไม่ได้จะให้เจ้าไปรับโทษ พ่อของนักรบคุ้มกันของผู้ช่วยเสนาบดีกรมยุติธรรมเพิ่งเสียและเขาก็ขอลางานเดือนหนึ่ง ตระกูลพวกเขาขาดตำแหน่งผู้คุ้มกัน ด้วยพลังขั้นหกของเจ้า พวกเขาควรรับเจ้า”
เหลียวกงตัวสั่น ขอให้เขาไปเป็นผู้คุ้มกันในบ้านของขุนนางขั้นสูง?นี่มันองงค์กรน่ากลัวอะไร?เหลียวกงเสียใจ สงสัยว่าตัวเองมายุ่งกับเรื่องนี้ได้ไง
จับตาดูเสนาบดี..ถ้าเสนาบดีเหล่านี้รู้ จักรพรรดิต้องต่อว่าเขา ดังนั้นเสี่ยวเต๋อจือจึงไม่เปิดเผยตัวตนเขาภายในวัง เขากลับพูด“คิดให้ดี ถ้าเจ้าปฏิเสธ เจ้าจะคันจนตาย อย่าคิดว่าจะมีใครมาช่วยเจ้า ข้าปิดพื้นที่นี้ไว้หมดแล้ว”
เหลียวกงสิ้นหวัง มันเหมือนเจอกับความตายสองทาง หนึ่งตายทันที อีกหนึ่งไม่แน่นอน
หลังข่มขู่ เสี่ยวเต๋อจือก็พูดเสริม“มันไม่ใช่ว่าข้ากำลังขอให้เจ้าไปทำเรื่องใหญ่อะไร แค่จับตาดูการกระทำกับคำพูดของเสนาบดีหลี่ ดูว่าเขาคบค้ากับใคร”
เหลียวกงหลั่งเหงื่อเย็น จับตาดูพวกขุนนาง นี่มันองค์กรอะไร?ต่อให้เป็นสำนักมาร พวกเขาจะทำเช่นนี้จริงหรือ?นี่เท่ากับการเป็นศัตรูกับราชสำนักเลยนะ?
เหลียวกงคิดไม่ออก เขาเต็มไปด้วยความกลัว องค์กรนี้ต้องหยั่งรากลึก และยิ่งเขารู้ เขาจะยิ่งตายเร็ว สุดท้าย เหลียวกงก็พูด“หยุด ข้าตกลง ข้าตกลง!”
เสี่ยวเต๋อจือพยักหน้าพอใจ“ไม่ต้องห่วง มันไม่ใช่ว่าเจ้าจะทำงานโดยเปล่า เสนาบดีหลี่ใจกว้างกับคนของเขา เงินเดือนเจ้าจะไม่น้อย นอกจากเงินเดือน เราจะให้เงินทุนประจำเดือนกับเจ้าด้วย ข้อมูลใดที่รวบรวมได้ เขียนลงกระดาษและทิ้งมันไว้บนหินในสวนหลังของจวนหลี่ คนของเราจะจัดการที่เหลือเอง”
เหลียวกงโล่งใจ ตราบเท่าที่เขาส่งจดหมาย เขาจะรอด
ตรงจุดนี้ เสี่ยวเต๋อจือคิดถึงเกาหลิงเฟิง ฝ่าบาทมักเมตตาเสมอ ในฐานะผู้นำตงฉ่าง เขาต้องทำตามฝ่าบาท“ในเมื่อเจ้าเข้าร่วมองค์กรเราแล้ว เราก็จะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าแย่ๆ”
เขานำถุงเงินออกมา
“นี่คือเงินเดือนครึ่งปีของเจ้า ร่วมกับค่าข้อมูลและเงินพิเศษสองเหรียญเงิน”
ดวงตาของเหลียวกงเป็นประกาย พระที่วัดเส้าหลินจนมาก แม้วัดเส้าหลินจะตั้งในเทศมณฑลเติ้งเฟิง และมีที่ดินเยอะ มันก็ยังไม่อาจเลี้ยงพระได้หมด เจ้าอาวาสของเสาหลินทุกคนต้องหาทางทำเงิน นั่นทำให้มีศิษย์สายนอกเยอะ
ในความเป็นจริง ศิษย์เหล่านี้คือคนมีเงินที่จ่ายเพื่อเข้าร่วม ขอแค่ชื่อเสียงดี เส้าหลินจะรับเป็นศิษย์ โดยการให้เงิน พวกเขาจะได้เรียนรู้วิชาที่สำนักชั้นนอกของวัดเส้าหลิน ศิษย์บางคนจะกลายเป็นมีชื่อในยุทธภพ ดึงดูดญาตกับมิตรให้มาศึกษาที่เส้าหลิน โดยการรับศิษย์สายนอก เส้าหลินถึงค้ำจุนตัวเองได้
แต่ ถึงกระนั้น ศิษย์หนุ่มเช่นเหลียวกงก็ยังมีกินไม่พอ พอเห็นความรุ่งเรืองที่เมืองหลวง เหลียวกงก็ไม่เต็มใจกลับไปยากจนที่เส้าหลิน แต่เขามีเงินน้อย และภาคภูมิใจเกินกว่าจะกลายเป็นผู้คุ้มกัน เขาเลยได้แต่เกาะกินที่วัด แต่ตอนนี้ หลังโดนชายสวมหน้ากากจับ เขาโดนบังคับให้แทรกซึมบ้านขุนนาง
ไม่เพียงจะได้รับเงินเดือนในฐานะผู้คุ้มกันของเสนาบดีหลี่ แต่ยังมีเงินเดือนพิเศษ เหลียวกงพลันรู้สึกว่ามันไม่เลวเลย