ตอนที่แล้วบทที่ 38 วิธีการรักษาที่ยั่งยืน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 40 การแลกเปลี่ยน

บทที่ 39 ลังเล


ลิซ่าคาดการณ์ไว้แล้วว่าเขาจะมีสีหน้าแบบนี้ นางจึงพูดพร้อมกับรอยยิ้มว่า "รอยกัดกร่อนต้องกินยาเป็นประจำ ไม่อย่างนั้นทั้งตัวจะเน่าเปื่อยและคันจนทนไม่ได้ ข้าคาดว่าเจ้าเคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน และไปรักษากับบาทหลวงของโบสถ์ หลังจากที่บาทหลวงรักษาแล้ว เขาบอกเจ้าว่านี่เป็นอาการข้างเคียง จำเป็นต้องกินยาเป็นประจำ ใช่หรือไม่?"

ลูกตาของยินบี๋แทบจะหลุดออกมา คำบรรยายของลิซ่าราวกับว่าเห็นมากับตา นี่มันหมายความว่าอย่างไร?

"ไม่ต้องตกใจหรอก 'อาการข้างเคียง' แบบนี้ ข้าก็เคยเป็นมาก่อน รู้ไหมว่าหลังจากนั้นข้าขจัดมันออกไปได้อย่างไร?" พูดไปด้วย ลิซ่าก็ใช้เวทย์การชำระล้างป้ายลงบนแขนของยินบี๋ที่เปิดออกเมื่อแสงศักดิ์สิทธิ์ส่องลงไป บริเวณที่เน่าเปื่อยและมีน้ำหนองก็สมานและกลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างเห็นได้ชัด

ไม่สิ ดูขาวและนุ่มกว่าเดิมอีกนิด แสงศักดิ์สิทธิ์นี่มีฟังก์ชั่นบำรุงผิวด้วยเหรอ?

อาจเป็นเพราะเห็นความงุนงงในสีหน้าของยินบี๋ ลิซ่าจึงอธิบายอย่างเก้อเขินว่า "ชินแล้วล่ะ ชินแล้ว ปรับปรุงให้ดูดีขึ้นนิดหน่อย ไม่คิดตังค์หรอกนะ"

"แล้วเจ้าขจัดมันออกไปได้อย่างไร?" มองดูแขนที่กลับคืนสู่สภาพเดิม ยินบี๋รู้ว่าการคาดเดาของตนคงจะเป็นเรื่องจริง

ก่อนหน้านี้ถึงแม้จะกินยาแล้ว ผิวก็ยังรู้สึกตึงนิดหน่อยเสมอ แต่ตอนนี้หลังจากโดนแสงส่องแล้ว แม้แต่ความตึงเล็กน้อยนั้นก็หายไป นี่เป็นครั้งแรกในหลายปีที่ยินบี๋รู้สึกว่าผิวนี้เป็นของตนเอง

"ข้าเกิดใหม่เป็นวิญญาณโหด" ลิซ่าเอ่ยขึ้น

เมื่อครั้งที่สถานีกลางของโลกหยุดชะงักลงโดยกะทันหัน ไม่สามารถติดต่อกับผู้บังคับบัญชาได้ ลิซ่าก็เสียแหล่งจ่ายยาไป เมื่อเผชิญกับสองทางเลือกระหว่างการตายอย่างทรมานในขณะที่ร่างกายผุพังหรือการละทิ้งความเชื่อแล้วเกิดใหม่เป็นวิญญาณโหด ลิซ่าเลือกทางหลัง

"วิญญาณโหด!?" ยินบี๋ตกใจ มองลิซ่าอย่างไม่อยากเชื่อ หญิงสาวสวยมีชีวิตชีวาแบบนี้ไม่น่าจะเป็นวิญญาณโหดได้

เมื่อเห็นว่าเขาไม่เชื่อ ลิซ่าจึงจำใจพ่นกลุ่มไฟวิญญาณออกมาเพื่อแสดงให้เขาดู

-  "วิญญาณโหด" เพื่อสื่อถึงภาพลักษณ์ของอสูรร้ายที่คืนชีพมาจากความตาย

"เจ้าสามารถแสดงปาฏิหาริย์ รักษาทั่วทั้งตัวข้าให้หายได้ไหม?" ยินบี๋ถาม

"แน่นอนว่าได้ แต่ว่า เจ้าเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าแห่งอังเกอร์หรือไม่? หากเจ้าไม่เชื่อในพระองค์ เจ้าจะได้รับพระเดชานุภาพคุ้มครองจากพระองค์ได้อย่างไร?" แสงที่วาววับในดวงตาของลิซ่าทำให้ยินบี๋นึกถึงป้าวัวจระเข้บนถนนในเมืองหลวงของโลกมนุษย์ ที่แจกข้าวสารเพื่อล่อให้ผู้คนไปสวดมนต์

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ได้ง่ายอย่างนั้น ครั้งนี้ที่ยินบี๋มานั้นมีภารกิจลับ หากรักษารอยกัดกร่อนให้หาย และกลับไปเชื่อในสิ่งอื่น ตัวเขาเองจะกลับไปได้อย่างปลอดภัยหรือไม่?

เมื่อเห็นความลังเลบนใบหน้าของเขา ลิซ่าก็หัวเราะทันที "สองสาวใช้ที่ติดตามเจ้ามา เป็นแม่ชีแห่งแสงสว่างใช่ไหม?"

ยินบี๋พยักหน้า รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ประหลาดใจมากนัก ในเมื่อลิซ่าเองก็มีสิทธิ์ที่จะใช้รอยกัดกร่อนเพื่อควบคุมเช่นกัน การรู้จักแม่ชีจึงเป็นเรื่องปกติ

"ใครส่งเจ้ามา? เพื่ออาฆาตบริสุทธิ์? ปล้น? มีแม่ชีสองคน พอดีสำหรับการระบุตำแหน่งได้อย่างรวดเร็ว ส่งหนึ่งคนไปก็สามารถเรียกกำลังทหารมาได้ทันที ดูเหมือนคนที่ส่งเจ้ามาจะเตรียมการปล้นไว้พร้อมแล้ว"

ยินบี๋พยักหน้า และเสริมว่า "เผยแผ่ก่อน หากทำให้พวกเจ้าศรัทธาในแสงสว่าง ยินยอมมอบให้ด้วยใจก็ดีที่สุด ถ้าไม่ได้ก็จะปล้น แต่พอข้าเห็นตราสลักบนท่านคุณหลานแล้ว ก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ตราสลักบนตัวท่านหลานคือตราผ้าพันศพ ดูเหมือนท่านหลานจะเป็นวิญญาณโหดเช่นกัน แต่ใช้วิธีเดียวกับเจ้าเพื่อทำให้ตัวเองดูเป็นมนุษย์"

ลิซ่าแสดงสีหน้าที่เคร่งครัดทันทีว่า "นั่นคือเดชานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้าแห่งอังเกอร์"

ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วเอ่ยว่า "ข้ารู้แล้วว่าเจ้าเคยมีตำแหน่งอะไรมาก่อน เห็นท่าทางบาทหลวงหลอกลวงของเจ้า...เอ่อ ท่าทางเคร่งศรัทธาอย่างนี้ คงเป็นหน้าที่ของแม่ชีที่จะเผยแผ่คำสอนของพระเจ้า ประกาศพระวรสารของพระองค์ ชักนำลูกแกะหลงทางให้เข้าใจ และส่องแสงศักดิ์สิทธิ์ไปยังหุบเหวใช่ไหม?"

"บาทหลวงหลอกลวง? นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่เข้าใจ พอเจ้าเข้าใจอานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า เจ้าก็จะไม่คิดว่าข้ากำลังหลอกเจ้าอีกต่อไป" ลิซ่าไม่โกรธ แต่ก็ยังกล่าวปนยิ้มๆ

เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจ

ใช้ข้ออ้างว่าจะไปสำรวจแหล่งผลิตน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับไปแสดงละครกับลิซ่า "สำนักงานใหญ่ของพวกเรานั้นอยู่ในมุมที่ลับตามากๆ พาคนไปเยอะไม่ได้ รวมทั้งตัวเจ้าด้วย จะไปก็ต้องใส่ผ้าปิดตา"

ยินบี๋แกล้งเถียงไปสักพัก ท้ายที่สุดก็ทำท่าไม่สมัครใจยอมให้สาวใช้ทั้งสองอยู่

หลอกสาวใช้ผ่านแล้ว ยังคิดไม่ออกว่าจะหลอกผู้นำระดับสูงของเมืองน้ำแข็ง อย่างแอนนากับหลานได้อย่างไร แต่กลับเห็นว่าสองสาวรออยู่บนทางแต่เนิ่นๆแล้ว

"พวกเจ้า...พวกเจ้าร่วมมือกันแสดงละครมาตลอดเลยเหรอ?" ยินบี๋เพิ่งหายงงในตอนนั้น เขายังพูดเลยว่าเมืองน้ำแข็งถูกแทรกซึมจนเป็นรูพรุนไปหมดแล้ว รู้สึกเหมือนรูที่ใหญ่ที่สุดคือหลานกับแอนนานั่นแหละ

หลานยักไหล่ "พอลิซ่ามา ก็จำสาวใช้ของเจ้าได้ทันที พวกเราเลยต้องร่วมด้วยช่วยกันแสดงละครหน่อยน่ะสิ"

"โอ้ย มีลิซ่าอยู่ ไม่ว่ากลใดๆของคริสตจักรแสงสว่างพวกเจ้าคงรู้หมดแล้วล่ะ ภารกิจนี้กำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าต้องล้มเหลว แต่นี่แหละคุณค่าของข้า ถ้าไม่มีความเสี่ยงจะล้มเหลว ลีโอนาร์ดก็คงมาเองตั้งนานแล้ว ฮ่าๆ" เสียงหัวเราะของยินบี๋ฟังดูขมขื่นไปสักหน่อย

ใครๆ ก็ยากที่จะยอมรับได้ แต่เดิมยินบี๋ยังรู้สึกขอบคุณคริสตจักรแสงสว่างที่จัดหายาให้ตนบ้าง ใครจะรู้ว่าโรคนั้นก็มาจากพวกเขาเหมือนกัน

"เพราะงั้นข้าเลยกลายเป็นผู้ละทิ้งศรัทธา ไปกันเถอะ อ้อใช่ พวกเราควรจะไปถึงจุดหมายภายในวันเดียว ไม่อย่างนั้นค้างคืนกลางป่าจะลำบากมากเลยนะ" ลิซ่าถูหลังมือของเธอ ท่าทางรังเกียจนิดหน่อย อาจเป็นเรื่องผิวพรรณของเธอที่ทำให้ลำบากก็ได้

แม้ว่าระหว่างทางลิซ่าจะอธิบายแนวคิดของวิญญาณและผู้พิทักษ์ให้ยินบี๋ฟัง แต่พอไปเห็นอังเกอร์ในพื้นที่เพาะปลูก ที่เท้าเปื้อนโคลนแล้วถือเคียวเกี่ยวผัก ยินบี๋ก็ยังรับไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะตอนที่อังเกอร์นั้นเป็นโครงกระดูกนอกรีตด้วย

ถึงแม้ว่าเพราะรอยกัดกร่อน ยินบี๋จะเกลียดชังคริสตจักรแสงสว่างแล้วก็ตาม แต่หลายปีที่ผ่านมาที่เชื่อในแสงสว่าง การโกหกตัวเองมายาวนาน ก็ทำให้เขามีสัญชาตญาณในการปฏิเสธพวกนอกรีต

เขารู้ว่าความรู้สึกนี้มันไม่ถูก กำลังจะปรับจูนตัวเองสักหน่อย ก็ได้ยินเสียงปีกกระพือมาจากด้านหลัง หันหลังกลับไปมอง ก็พบเทวทูตตนหนึ่งถือถังปุ๋ยของชาวนาบินผ่านไปพร้อมกับเสียงฟู่ๆ

ยินบี๋อ้าปากค้าง ขยี้ตาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ชี้ไปที่โครงกระดูกเทวทูต หันไปมองลิซ่า "นี่...นี่...นี่..."

ถ้าลิซ่าแม่ชีแห่งแสงสว่างยังจัดอยู่ในขอบเขตของ 'คน' ส่วนเทวทูตนี้ก็คือ 'ศักดิ์สิทธิ์' คนนั้น อาจจะมีโอกาสเสื่อมศรัทธาได้ แต่เทวทูตนั้นศักดิ์สิทธิ์ จะเป็นไปได้อย่างไร...จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะไปตักปุ๋ยให้ชาวนา?

รอยกัดกร่อนทำให้ยินบี๋เกลียดชังเพียงแค่คริสตจักรแสงสว่าง แต่เรื่องที่นางฟ้าตักปุ๋ยนั้นกลับทำลายความศรัทธาของเขาโดยตรง ทำให้เขาสงสัยว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่

ลิซ่ายังคงยิ้มและยักไหล่ ไม่ได้อธิบายอะไรมากมาย จะต้องพูดอะไรให้ชัดเจนไปหมดก็คงไม่ได้ การทำให้มีความลึกลับพอเหมาะพอควรนั่นแหละ คือกุญแจสำคัญในการรักษาความเกรงกลัว มีความกลัว ถึงจะเกิดความเคารพ

พอดีกลับ อังเกอร์ที่กำลังเกี่ยวผักอย่างเชื่องช้าก็ขยับตัวขึ้นมาทันใด คุกเข่ากระโดดขึ้นกลางอากาศตีลังกาหนึ่งครั้ง ใช้ธาตุลมผลักตัวเองราวกับลูกปืนใหญ่ พุ่งไปยังมุมหนึ่ง ราวกับเทพเจ้าแห่งสงครามที่ถล่มลงไปตรงหน้าป้าวัวจระเข้

ป้าวัวจระและลูกๆ ของมันกำลังแอบกัดใบบีทรูทหวานๆอยู่ภายใต้การปกปิดของต้นพืชผัก ใบบีทรูทที่มีความหวานกว่าพืชธรรมดาหลายเท่านั้นหวานจนตาป้าวัวจระทั้งครอบครัวหยีตาเข้าหากัน

จนกระทั่งอังเกอร์พุ่งลงมาข้างหน้า ป้าวัวจระเข้าจึงตระหนกตกใจ คอหดเข้า หันมาอย่างเชื่องช้าราวกับเป็นสนิม เผชิญหน้ากับดวงตาสีฟ้าอมเขียวของแองเจิลที่กำลังลุกโชน

กล้าดียังไงถึงได้มาขโมยผัก!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด