บทที่ 29 ศพแรก
“พวกเราเจอกันอีกแล้ว แต่ทำไมตอนนี้เจ้าไม่นำถ้วยชามาให้ข้าดื่มอีกครั้งล่ะ? ข้าชอบชาที่เจ้าเอามาให้ก่อนหน้านี้มาก มันทำให้ข้านอนหลับสบายมากยิ่งขึ้น” หลงเฉินพูดกับคนรับใช้ด้วยรอยยิ้มขณะบีบคอของอีกฝ่ายแน่นขึ้น
“อั๊ก...อั๊ก...ได้...โปรด...” คนรับใช้คนนั้นพยายามร้องขอความเมตตาด้วยน้ำตา แต่หลงเฉินก็ยังคงบีบคอแน่น
“หลงชู! ไส้หัวของเจ้าออกมาได้แล้ว!!!” หลงเฉินตะโกนเสียงดังพร้อมกับกวาดสายตามองหาหลงชู และในมือของเขายังคงบีบคอคนรับใช้ไว้แน่น
“ครั้งก่อนเจ้าพูดกับข้าว่าเจ้าฝึกฝนทักษะสำเร็จเลยอยากเฉลิมฉลองกับข้า! น้องชายคนเล็กของเจ้ามาที่นี่เพื่อเป็นสักขีพยานแล้ว ทำไมเจ้ายังไม่โผล่หัวออกมาให้ข้าเห็นอีก?” หลงเฉินพูดเยาะเย้ยหลงชูเสียงดัง
หลงเฉินมองหาทุกที่ แต่ก็ยังไม่พบหลงชู และทำให้เขาเริ่มสงสัยว่า ‘หลงชูหนีไปแล้วเพราะรู้ว่าข้ากลับมา? แต่มันไม่สามารถออกไปจากตระกูลหลงทั้งแบบนั้นได้’
“พูดออกมา! หลงชูอยู่ที่ไหน!!” ในที่สุดหลงเฉินก็เปลี่ยนความสนใจของเขาไปที่คนรับใช้ที่เขาบีบคออยู่แทน เขาปล่อยมือขณะถาม ทำให้คนรับใช้ตกลงกับพื้น และไอกระแอมเสียงดัง
“เจ้าจะพูดหรือไม่?” หลงเฉินถามด้วยสีหน้าที่โกรธเกรี้ยว ขณะที่เขาโกรธความเร็วในการเปลี่ยนแปลงของโลหิตของเขาก็เพิ่มขึ้น แม้ว่าจะเพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่หลงเฉินก็ไม่รู้เรื่องดังกล่าว
“ข้า...ข้าจะบอกท่าน ได้โปรดอย่าฆ่าข้าเลย นายน้อยเทียน ข้าเพียงแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น” คนรับใช้กล่าวคร่ำครวญ ขณะที่น้ำตายังคงไหลออกมาจากดวงตาของเขา
หลงเฉินคว้าคอของเขาขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาเพียงแค่โยนอีกฝ่ายไปที่กำแพง ทำให้คนรับใช้กระแทกกำแพงอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งทำให้หลงเฉินรู้ว่าคนรับใช้คนนี้ทะลวงผ่านระดับหลอมกายาขั้น 7 แล้ว
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่ข้าถาม ข้าถามว่าหลงชูอยู่ที่ไหน!!” หลงเฉินถามอีกครั้งขณะเดินเข้าไปหาคนรับใช้คนนั้น
“ป่าทมิฬทางตอนเหนือ!!! นายท่านชูเดินทางไปที่ป่าทมิฬทางตอนเหนือที่อยู่ทางทิศเหนือของเมืองหลวงเมื่อเช้านี้กับสหายของเขาเพื่อออกไปล่าสัตว์อสูร!! นั่นคือเรื่องทั้งหมดที่ข้ารู้...ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย นายน้อยเทียน” คนรับใช้ของหลงชูเล่าทุกอย่างให้เขาฟังและยังคงร้องขอความเมตตา
หยดน้ำตายังคงไหลออกมาจากดวงตาของเขา แต่ภายในใจของเขากลับไม่เป็นเช่นนั้น
‘ไอ้สารเลว เจ้าทำได้แค่ข่มเหงข้าด้วยความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าข้าเท่านั้นแหละ แต่เจ้าไม่มีค่าอะไรเลยเมื่ออยู่ต่อหน้านายท่านชูของข้า ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะต้องถูกนายท่าชูฆ่าตายอย่างแน่นอนเมื่อเข้าไปในป่าทมิฬทางตอนเหนือ ข้าแค่ต้องอดทนรอเท่านั้น’
“เจ้ารู้ไหมว่าข้ารู้สึกสงสารคนอย่างเจ้ามากแค่ไหน เจ้าก็แค่ทำตามคำสั่งเจ้านายของเจ้าเท่านั้น ข้าไม่อยากจะฆ่าเจ้าแล้ว” หลงเฉินพูดขณะที่เขาหันหลังกลับ
“แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าสุนัขที่แว้งกัดเจ้าของมาแล้ว ยังจะต้องเก็บเอาไว้และเลี้ยงให้เชื่องอีกหรือไม่?” หลงเฉินหยุดนิ่งและหันหลังกลับไปถามคนรับใช้ ซึ่งคนรับใช้คนนั้นทำได้แค่พยักหน้าขึ้นลงเท่านั้น
“ยังไงก็ตาม ข้าว่าข้าไม่เสี่ยง พวกเจ้าที่เคยฆ่าข้าไปแล้วครั้งหนึ่ง โดยการวางยาข้าและจับข้าโยนลงไปในหน้าผาจะกลับมาทำร้ายข้าอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้” หลงเฉินกล่าว ในขณะที่เขานำดาบระดับทั่วไปขั้นสูงสุดออกมา ‘ทลายภูผา’ จากแหวนมิติและกวัดแกว่งดาบฟันไปที่คอของคนรับใช้และหัวของมันก็หลุดออกจากบ่า
จนกระทั่งตอนที่ร่างกายของเขานอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นและเสียชีวิต เขาก็ยังไม่เชื่อว่าหลงเฉินจะกล้าฆ่าเขาจริงๆ
หลงเฉินรู้ว่าเขาเพิ่งฆ่าคนไป แต่เขากลับรู้สึกแปลกอะไร เขาไม่ได้รู้สึกแย่หรือรู้สึกผิดหลังจากพรากชีวิตผู้อื่น เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก
หลังจากที่ฆ่าคนรับใช้ของหลงชูไปแล้ว หลงเฉินก็เก็บดาบเข้าไปในแหวนมิติและเดินออกจากตำหนักของหลงชู
หลงเฉินตัดสินใจว่าเขาจะไปที่ป่าทมิฬทางตอนเหนือและตามหาหลงชู แต่ก่อนหน้านั้น เขาตัดสินใจที่จะไปหอสมบัติก่อนเพื่อเลือกอาวุธระดับจิตวิญญาณ เนื่องจากตอนนี้เขาทะลวงผ่านระดับก่อจิตวิญญาณขั้น 5 แล้ว และเขารู้ว่าหลงชูน่าจะมีอาวุธระดับจิตวิญญาณติดตัวไปด้วย ขณะไปล่าสัตว์อสูร
หลงเฉินเดินไปที่หอสมบัติและไปถึงในไม่ช้า จากนั้นเขาก็เข้าไปในหอสมบัติและมองเห็นการตกแต่งภายในที่ดูหรูหราเหมือนแต่ก่อน แม้ว่าหลงเฉินจะรู้อยู่แล้วว่าข้างในเป็นยังไง แต่เขาก็ยังประหลาดใจอยู่ดี
ขณะที่หลงเฉินเดินเข้าไปข้างในได้ไม่กี่ก้าว เขาก็สังเกตเห็นผู้อาวุโสหยางนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างประตูทางเข้า ซึ่งผู้อาวุโสหยางคือผู้อาวุโสที่ดูแลหอสมบัติ
หลงเฉินมีความคิดเห็นที่ดีต่อผู้อาวุโสหยาง และจำได้ว่าก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสหยางได้ช่วยชีวิตเขาไว้และจัดการความเข้าใจผิดระหว่างเขากับหลงเสวี่ยนอิง ซึ่งตอนนั้นเขาไม่สามารถพูดขอบคุณผู้อาวุโสหยางได้ มิฉะนั้นอีกฝ่ายจะรู้ว่าเขาหายเป็นปกติแล้ว
หลงเฉินเริ่มเดินเข้าไปหาผู้อาวุโสหยาง
“เทียนน้อย ข้าได้ยินมาว่าเจ้าหายดีแล้ว มันเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นรึ? ข้าอยากจะรีบไปแสดงความยินดีกับเจ้า แต่คิดว่าข้าควรปล่อยให้เจ้าพักผ่อนดีกว่าเพราะเจ้าเพิ่งหายเป็นปกติ แล้วเจ้ามีธุระอันใดถึงมาที่นี่?” ผู้อาวุโสหยางถามหลงเฉินขณะมองไปที่เขา
“ลุงหยาง มันเป็นเรื่องจริงที่ตอนนี้ข้าหายเป็นปกติแล้ว ยังไงก็ตาม ข้ามาที่นี่เพื่อรับการทดสอบเพื่อไปชั้นที่สองของหอสมับัติและเลือกอาวุธระดับจิตวิญญาณด้วยตัวเอง” หลงเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
ผู้อาวุโสหยางพยายามดูระดับบ่มเพาะพลังของหลงเฉิน แต่เขาก็ไม่ได้ตกใจเมื่อไม่สามารถมองเห็นระดับบ่มเพาะพลังของอีกฝ่ายได้ เนื่องจากความผิดปกตินี้ผู้อาวุโสหยางได้ยินมาจากผู้อาวุโสท่านอื่นแล้ว
“เทียนน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าถ้าเจ้าต้องการขึ้นไปชั้น 2 ของหอสมบัติ เจ้าจะต้องทะลวงผ่านระดับก่อจิตวิญญาณขั้น 5 เป็นอย่างน้อย ถึงจะเป็นเจ้าข้าก็ไม่สามารถมอบสิทธิพิเศษใดๆได้” ผู้อาวุโสหยางกล่าวกับหลงเฉินอย่างสงบ
ผู้อาวุโสหยางไม่แม้แต่จะคิดว่าหลงเฉินจะทะลวงผ่านระดับก่อจิตวิญญาณขั้น 5 เพราะก่อนที่เขาจะหายตัวไป 2 วัน เขาอยู่แค่ระดับหลอมกายาขั้น 10 เท่านั้น
“เรื่องนั้นลุงหยางไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง ข้าไม่ต้องการสิทธิพิเศษใดๆ ท่านเองก็รู้ว่ามันมีม่านพลังกั้นอยู่ที่ทางเข้าชั้นที่ 2 เฉพาะผู้ที่มีคุณสมบัติเท่านั้นถึงจะผ่านไปได้ และข้าแค่อยากจะทดสอบดู ท่านไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนกฎใดๆเพื่อข้า” หลงเฉินกล่าวกับผู้อาวุโสหยาง ขณะมองไปที่ทางเข้าชั้น 2 ซึ่งมีม่านพลังสีเขียวกั้นอยู่
“ถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้น ข้าก็จะไม่พูดอะไรอีกแล้ว หากผ่านม่านพลังนั้นไปได้ ข้าจะพาเจ้าไปยังสถานที่ทดสอบ” ผู้อาวุโสหยางกล่าวกับหลงเฉินพร้อมกับลุกขึ้นยืน