บทที่ 240 ข้าคิดว่าเจ้าทุจริตมากกว่า
หยางเสี่ยวเทียนลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นว่าเหล่ยจื่อและคนอื่นๆ หายจากอาการบาดเจ็บดีแล้ว เขาจึงให้เหล่ยจื่อพร้อมทุกคนทำตัวตามสบาย จากนั้นขอพวกเขาช่วยเก็บสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ กลืนหายไปในท้องพวกเขา
ท่ามกลางความกังวลของเหล่ยจื่อและคนอื่นๆ หยางเสี่ยวเทียนก็ท่องกระบี่มุ่งเข้าไปในป่าอันมืดมิด
เหล่ยจื่อพร้อมทุกคน ต่างจับจ้องมองยังร่างหยางเสี่ยวเทียนขณะลอยหายไปภายใต้ความมืดจนลับตา ก่อนพวกเขาจะรู้สึกผ่อนคลายลงในที่สุด
“พวกเราควรพยายามอย่างดีที่สุด เพื่อตามล่าสัตว์อสูรกันเถอะ” เหล่ยจื่อกล่าวด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
เขารู้สึกเศร้าเสียใจเล็กน้อย ที่ไม่ว่าจะพยายามล่าสัตว์อสูรมากแค่ไหน ตัวเขาก็ถูกกำหนดให้ล้มเหลวในการเป็นอันดับหนึ่งของการแข่งขันระดับสำนักครานี้
แต่ครั้นนึกถึงหยางเสี่ยวเทียนขึ้นมา เหล่ยจื่อก็พานรู้สึกชาทั่วทั้งหนังศีรษะ
จิตใจเหล่ยจื่อว่าสับสนระคนซับซ้อนจนยากจะจัดการให้สงบได้แล้ว เติ้งอี้ชุนกับเฉิงเซิ่งพร้อมทั้งคนอื่นๆ กลับยิ่งรู้สึกหนักกว่าเขาไปอีก
ระหว่างทุกคนเดินทางออกจากสถานที่อันเต็มไปด้วยความทรงจำอย่างน่าประหลาดใจ พวกเขาก็ล้วนมีอารมณ์ซึ่งแตกต่างกัน
หลังทุกคนแยกย้ายออกจากพงไพรที่ถูกทำลายจวนเกือบราบคาบ ภายในป่าทึบก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
วันเวลาแห่งการล่าสัตว์อสูรผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เป็นเวลากว่าเก้าวันแล้วที่หยางเสี่ยวเทียนและศิษย์คนอื่นๆ อยู่ในดินแดนสัตว์อสูร จนใกล้สิ้นสุดวันของการแข่งขันรอบแรก
นอกดินแดนสัตว์อสูร
ณ จัตุรัสพระราชวัง ทั้งเหล่าวิญญาจารย์ประจำสำนัก ตระกูลและนิกายต่างๆ ล้วนตั้งตารอคอยคนของพวกตนกลับมาอย่างปลอดภัย
“ข้าใคร่อยากรู้จริงๆ ว่าเจ้าตำหนักจะเป็นอย่างไรบ้าง” ด้วยความกังวลในใจ หลินหยงคอยชะเง้อหน้าเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของค่ายกลเคลื่อนย้ายอย่างใกล้ชิด
ยิ่งเขาคิดถึงมันมากเท่าไร เขาก็ยิ่งเสียใจมากขึ้นเท่านั้น ที่ปล่อยหยางเสี่ยวเทียนเข้าไปโดยไม่มีผู้ใดคอยคุ้มครองแทนเขาได้
จนวันนี้ ความคิดร้ายๆ ทุกอย่างมันพานทำเขายิ่งกลัดกลุ้มจวนเป็นทุกข์หนัก ที่ไม่น่ายอมให้หยางเสี่ยวเทียนเสี่ยงชีวิตเข้าสู่ดินแดนแห่งสัตว์อสูร ซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายอยู่ทุกหย่อมหญ้าเช่นนั้น
แม้แต่พื้นที่ชายขอบสุดของดินแดนสัตว์อสูร สัตว์อสูรที่อ่อนแอสุดยังแข็งแกร่งเทียบเท่าวิญญาจารย์ขั้นเซียนสวรรค์ และก็มีสัตว์อสูรมากมายในขั้นราชันยุทธ์ที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่า
จะเกิดอะไรขึ้น หากหยางเสี่ยวเทียนต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรที่เทียบได้กับวิญญาจารย์ขั้นเซียนสวรรค์ระดับหกหรือเจ็ด
แล้วหากโชคร้ายกว่านั้น หยางเสี่ยวเทียนดันบังเอิญเจอสัตว์อสูรขั้นราชันยุทธ์เล่า เขาจะทำอย่างไร
หลินหยงยิ่งนึกถึงเรื่องนี้ เขาก็ยิ่งวิตกกังวลจนเริ่มนั่งนิ่งอยู่กับที่ไม่ได้ เขาเดินวนเวียนขณะมืออีกข้างไพล่หลัง ส่วนอีกข้างพลางลูบเคราด้วยความกลัดกลุ้มไม่สบายใจ
เช่นเดียวกับหยางเฉา หวงอิ๋งและคนอื่นๆ ซึ่งต่างทอดถอนหายใจประสานกันอย่างพะว้าพะวัง
“วางใจเถิดน่า เจ้าตำหนักหยางมีโชคชะตาเป็นของตนเอง เขาต้องกลับมาอย่างปลอดภัย” เฉินหยวนกล่าว พร้อมมองดูหลินหยง หยางเฉา และคนอื่นๆ ซึ่งมีสีหน้าเป็นกังวล ขณะตัวเขาเองนั่งเขย่าขาด้วยพยายามยับยั้งความรุ่มร้อนในใจเช่นกัน
ซึ่งครั้นเขากล่าวแบบนั้น ความกังวลและหวั่นวิตกก็โหมโรมเข้าเกาะกลุมจิตใจเขาไม่แพ้กัน
ขณะหลินหยง เฉินหยวน หยางเฉาและคนอื่นๆ รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ที่สุด แสงของค่ายกลก็พลันสว่างขึ้น ประตูเคลื่อนย้ายเปิดกว้างพร้อมต้อนรับคนอีกฟากฝั่งกลับมาอีกครั้ง
บรรดาศิษย์จากสำนักต่างๆ พร้อมถูกเคลื่อนย้ายออกมาทีละคน
ทุกคนพร้อมไล่ดูศิษย์สำนักต่างๆ ถูกเคลื่อนย้ายออกมาทีละคน แต่ครั้นไม่ปรากฏเห็นเงาหยางเสี่ยวเทียนออกมา หัวใจหลินหยงและเฉินหยวนพลันหล่นวูบไปอยู่ตาตุ่มทันที
เป็นไปได้ไหมที่เจ้าตำหนักจะ…
ขณะที่ศิษย์จากสำนักต่างๆ ทุกคนหลั่งไหลออกมาจากประตูเคลื่อนย้าย ทันใดนั้น ก็ปรากฏร่างเล็กของคนผู้คุ้นเคย วาบออกมาจากประตูนั่นเช่นกัน
เมื่อมองเห็นคนร่างเล็กนี้ หลินหยง เฉินหยวน หยางเฉาและคนอื่นๆ ต่างได้เบิกตาประหลาดใจยิ้มแย้ม พร้อมปรี่วิ่งไปข้างหน้าทักทายเขาอย่างดีอกดีใจ
“เทียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” หวงอิ๋งร้องถามก่อนใคร
หยางเสี่ยวเทียนหันหาต้นเสียงแล้วส่ายศีรษะ ครั้นประสบเห็นใบหน้าเจ้าของน้ำเสียงอ่อนโยนนั่นก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านแม่ ข้าสบายดี”
ครั้นทุกคนได้ยินสิ่งนี้ จิตใจที่พานเป็นกังวลจวนแทบคลั่งก็พลันมลายหายสิ้นไปในที่สุด
“ข้ายินดียิ่งนัก ที่ท่านกลับมาได้อย่างปลอดภัย” เฉินหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อการแข่งขันระดับสำนักครั้งต่อไปเริ่มขึ้น เจ้าตำหนักหยางต้องสามารถชนะสิบอันดับแรกในอาณาจักรเสินไห่เราได้แน่นอน”
ยังให้รอภาคเรียนต่อไปอีกหรือ? หยางเสี่ยวเทียนส่ายศีรษะ เผยยิ้มด้วยเห็นว่าเฉินหยวน หลินหยง และบิดามารดาตน คงไม่คาดหวังว่าเขาจะสามารถชนะสิบอันดับแรกแห่งอาณาจักรเสินไห่ ในการแข่งขันระดับสำนักครั้งนี้
จึงไม่คิดว่าเขาจะผ่านรอบนี้ได้ด้วย
“ข้าผ่านรอบนี้แล้ว” หยางเสี่ยวเทียนกล่าว
ทุกคนสะดุ้งตกใจ
“เทียนเอ๋อร์ เจ้าหมายความว่าอย่างไร” หยางเฉาและหวงอิ๋งแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่พวกเขาเพิ่งได้ยิน
หยางเสี่ยวเทียนหยิบแผ่นหยกประจำตัวเขาออกมา และปรากฏว่าเป็นสีแดงสนิททั้งแผ่น
ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้าสู่ดินแดนสัตว์อสูรเป็นเวลาสิบวันและล่าสัตว์อสูรครบร้อยตัว แผ่นหยกประจำตัวก็จะเปลี่ยนเป็นสีแดงทั้งหมด ซึ่งหากทำตามข้อกำหนดที่วางไว้เป็นหลักเป็นเกณฑ์จนสำเร็จ ก็หมายถึงผ่านรอบแรก
ทุกคนตื่นตะลึง ครั้นมองดูแผ่นหยกประจำตัวในมือหยางเสี่ยวเทียนกลายเป็นสีแดงเข้ม
“ข้าไม่คิดจริงๆ ว่าเจ้าตำหนักหยางจะสังหารสัตว์อสูรขั้นเซียนสวรรค์ได้มากกว่าร้อยตัว” หลินหยงกล่าวอย่างมีความสุข
“สังหารสัตว์อสูรขั้นเซียนสวรรค์ได้นับร้อยตัวเลยรึ” เวลานี้เอง เฉินจื่อหานผู้เพิ่งออกจากประตูเคลื่อนย้ายแล้วทันได้ยินสิ่งนี้เข้าก็อุทานก่อนจะกล่าวเย้ย
“ข้าคิดว่าเจ้าทุจริตมากกว่า”
“ศิษย์ขั้นเซียนสวรรค์ระดับแปดหลายคนจากหอสมาคมนักปรุงโอสถเรา ยังไม่สามารถตามล่าสัตว์อสูรขั้นเซียนสวรรค์ได้ถึงร้อยตัวเลย”