ตอนที่ 61 ถูกตามใจจนเสียคน
ตอนที่ 61 ถูกตามใจจนเสียคน
“เสี่ยวอวิ๋นอยู่ที่ใด?”
เมื่อมองไปที่ลานบ้านเงียบสงบ เฟิ่งหลวนจึงขมวดคิ้วสงสัย
หลังจากที่นางรู้สึกดีขึ้นแล้ว นางจึงอยากอธิบายเหตุการณ์เมื่อวานให้เสี่ยวอวิ๋นฟัง แต่ไม่นึกว่าเสี่ยวอวิ๋นจะไม่อยู่ที่บ้าน
เพราะตามนิสัยของเสี่ยวอวิ๋น หากเวลานี้ไม่นอนอยู่ห้องแล้วยังจะทำอะไรได้อีก?
เฟิ่งหลวนจึงไปสอบถามศิษย์น้องสามและสี่ แม้แต่ฉู่อินยังไม่ลืมที่จะถาม แต่กลับไม่พบร่องรอยของฉินอวิ๋นจึงทำให้นางรู้สึกกังวลขึ้นมา
แม้ว่านางได้ทิ้งความคิดศักดิ์สิทธิ์ไว้กับเขาแล้ว แต่ถ้าเสี่ยวอวิ๋นเลอะเลือนจนทำเกินกว่าเหตุแล้วซูอันใช้โอกาสนี้โจมตีอีกครั้ง เกรงว่านางอาจไม่สามารถช่วยเขาได้ทัน
ในจังหวะนี้มีศิษย์ของนิกายเทียนสุ่ยสองคนกำลังเดินมาในระยะไม่ไกลนัก
“นี่ เจ้าคงยังไม่รู้สินะ ศิษย์อาเล็กลงจากภูเขาเพื่อไปเล่นสนุกแหละ”
“เล่นสนุกหรือ สนุกแบบใด?”
“ก็สนุกแบบนั้นไงเล่า”
“ฮะ สนุกแบบนั้น?!”
“ก็ใช่น่ะสิ สนุกแบบนั้น”
“แล้วเจ้าได้ยินมาจากใคร?”
“ไม่มีใครเล่าให้ข้าฟังหรอก แต่เมื่อเช้านี้ข้าเป็นเวรเฝ้าประตูใหญ่ ข้าเห็นฉินอวิ๋นลงจากภูเขาเองกับตาและเขายังพึมพำประมาณว่าศิษย์พี่หญิงหลายคนมองได้แต่สัมผัสไม่ได้ ตอนนี้เขาเริ่มหงุดหงิดอีกแล้ว จึงอยากไปที่ตรอกซันเสี่ยเพื่อเล่นสนุกและระบายความหงุดหงิด”
“อ่า ศิษย์อาเล็กฉินเป็นคนแบบนี้เอง!”
“ข้าบอกเรื่องนี้กับเจ้าคนเดียว เจ้าอย่าไปบอกใครอีกล่ะ!” ศิษย์เฝ้าประตูใหญ่เตือนและเน้นย้ำ
“จริงหรือ? บอกสิ่งที่เจ้าได้ยินมาโดยละเอียดอีกที” น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นข้างหลัง เป็นเฟิ่งหลวนที่ยืนอยู่
ศิษย์พี่หญิงของฉินอวิ๋นอีกสองคนที่กำลังมาหาเฟิ่งหลวนก็ได้ยินเช่นกันและเดินมาหาสานุศิษย์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ผู้อาวุโสทั้งสามรายล้อมศิษย์ทั้งสอง สีหน้าทุกคนดำคล้ำเหมือนก้นหม้อ
“อ่า! ผู้อาวุโสเฟิ่ง” ศิษย์เฝ้าประตูหลักแสดงสีหน้าขมขื่นและบอกเล่าทุกสิ่งที่ตนได้ยินโดยไม่ปิดบัง
เพียงไม่นานเฟิ่งหลวนได้เข้าใจสถานการณ์และกำชับศิษย์ทั้งสองคนว่าอย่าพูดออกไปอีก
จากนั้นกระแสแสงสามสายบินขึ้นไปเหนือท้องฟ้าของนิกายเทียนสุ่ย
เมื่ออาวุโสทั้งสามออกไปแล้ว สานุศิษย์จึงเห็นว่าทั้งสามมุ่งหน้าไปยังทิศทางนั้น พวกนางได้แสดงรอยยิ้มที่ชั่วร้ายออกมา จากนั้นประกายแสงลึกลับสว่างวาบในดวงตาของพวกนาง
ทันใดนั้นทั้งสองคนชะงัก เมื่อหันมองหน้ากันแล้วเกิดความสับสนมึนงงอยู่นาน
“พวกเรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
แต่มีความทรงจำที่ถูกกำหนดไว้แล้วปรากฏขึ้นในใจ มันคือภาพตอนที่นางเห็นฉินอวิ๋นเดินออกจากประตูหลักและผู้อาวุโสหลายคนมาได้ยินวีรกรรมของฉินอวิ๋น พวกนางยังจำได้ชัดเจน
เพียงแต่แสงลึกลับในส่วนลึกของดวงตานั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น
……
ในห้องส่วนตัวของหอปี้อวี้ ฉินอวิ๋นกำลังเพลิดเพลินกับสวรรค์บนดิน
กำยานหอมลอยแตะจมูกของเขา ทำให้จิตใจเหม่อลอยและไม่อยากคิดอะไรอีก
เมื่อเทียบกับความกังวลต่างๆ ในนิกายเทียนสุ่ย ตอนนี้เขาแค่อยากนอนพักผ่อนในชนบทที่สงบแห่งนี้ และรู้สึกเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้เป็นบ้านของตนมากกว่า
แม่นางทุกคนมีจิตใจอ่อนหวาน พวกนางพูดจาไพเราะช่างเอาใจ ทำให้เขาชอบที่นี่มาก
ส่วนซูอันคนนั้น แย่มาก แย่ไปหมด
“นายท่าน ให้ข้าน้อยรับใช้ท่านนะ” บัดนี้เสียงของเสี่ยวกังดังขึ้น
ฉินอวิ๋นไม่ได้ตระหนักในสิ่งใดเช่นกัน
เพราะในบรรยากาศเช่นนี้ ร่างกายของเขาผ่อนคลายผิดปกติ จิตใจก็ว่างเปล่าและความรู้สึกระแวดระวังภัยลดลงสุดขีด
ไม่ตระหนักถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น
ทันใดนั้น...
โครม!
ทั้งประตูและผนังพังราบ ฝุ่นควันกระจายลอยคลุ้ง ปรากฏสตรีสามคนมองเข้ามาในห้อง พวกนางกวาดตามองภาพทั้งหมดในห้อง
“?”
“!”
“เสี่ยวอวิ๋น!!!” เฟิ่งหลวนมองฉินอวิ๋นด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ
นัยน์ตาคู่หนึ่งที่งดงามราวกับฤดูใบไม้ร่วงกำลังเต็มไปด้วยความตกตะลึง
ศิษน์น้องเล็กของนางกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร...!
“ศิษน์น้องเล็ก เจ้า...”
หากจะเรียนรู้การเที่ยวหอนางโลมนั้นไม่ว่า แต่กลับเรียกหญิงนางโลมหลายคนในครั้งเดียว มิหนำซ้ำยังไม่เลือกหน้า?!
พฤติกรรมที่ไร้ยางอายเช่นนี้ทำให้เฟิ่งหลวนรู้สึกไม่สบายใจมาก
“ศิษย์พี่!” ฉินอวิ๋นอ้าปากตาค้าง พวกศิษย์พี่หาสถานที่นี้เจอได้อย่างไร?
แล้วรู้เรื่องของเขาได้อย่างไรด้วย
“ศิษย์พี่ พวกท่านฟังข้าอธิบายก่อน!” เขาไม่สนใจเรื่องใดอีกและลุกขึ้นทันทีเพื่ออธิบายให้บรรดาศิษย์พี่เข้าใจ
แต่เขาอาจลืมไปว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในสภาพใด จึงกลายเป็นว่าเขากำลังเดินไปหาพวกเฟิ่งหลวนด้วยสายตาและ ‘สภาพ’ ที่มากตัณหา
ในสายตาของพวกเฟิ่งหลวนคือใบหน้าของฉินอวิ๋นดูไม่สำนึกผิด แต่ยังเผยให้เห็นความยินดีด้วย
“แหวะ!”
“น่ารังเกียจ!”
ศิษย์พี่สามและสี่เห็นภาพนี้แล้วทนไม่ไหว พวกนางรีบหันหลังเดินออกจากหอปี้อวี้
เฟิ่งหลวนระงับอาการคลื่นไส้และเงื้อมือตบหน้าฉินอวิ๋นไปหนึ่งฉาด จากนั้นใช้พลังเวทเรียกผ้าห่มบนเตียงมาห่อกายฉินอวิ๋นเอาไว้
“ศิษย์พี่ ข้า...” ฉินอวิ๋นมองเฟิ่งหลวนด้วยสายตาสับสน
“หุบปาก แล้วกลับไปพร้อมข้า!”
พลังเวทที่ระเบิดออกมาเข้าห่อหุ้มฉินอวิ๋นไว้ลวกๆ จากนั้นเฟิ่งหลวนพาเขาบินไปยังนิกายเทียนสุ่ยด้วยความเร็วแสง
ครั้งนี้ความเร็วสูงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงลานบ้านของฉินอวิ๋น
เฟิ่งหลวนสะบัดมือแล้วโยนฉินอวิ๋นเข้าไปในลานบ้านด้วยความรังเกียจ จากนั้นนางกลายเป็นกระแสแสงแล้วจากไปโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย
ฉินอวิ๋นมีสายตาตัดพ้อต่อว่า “ข้า ข้า ข้าเจ็บนะ...”
เขานั่งอยู่บนพื้นพลางยกมือทุบหน้าอกและดีดเท้า อยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา
เขาทำบ้าอะไรลงไป!
เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น?
“ซูอัน!”
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะซูอัน เขาเดินไปที่เขตย่อยเพราะโกรธซูอันและตอนนั้นเองที่เขาถูกไอ้คนอัปลักษณ์ล่อลวง
ทั้งหมดเป็นความผิดของซูอัน!
“ซูอัน เจ้าสมควรตาย!”
ซูอัน “...”
[คะแนนตัวร้าย+…]
……
เฟิ่งหลวนกลับไปที่ห้องและพยายามสงบสติอารมณ์
“เสี่ยวอวิ๋น...กลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร” นางรู้สึกเศร้าและสับสน
เมื่อก่อนเสี่ยวอวิ๋นเป็นเด็กดีมากจริงๆ แค่เกียจคร้านไปหน่อยเท่านั้น
แต่ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น
การที่เขาไปใช้บริการทางเพศแบบนั้นเพิ่งจะถูกพวกนางค้นพบ แต่ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำไปกี่ครั้งแล้ว
หลังจากที่เขาถูกพวกนางจับได้ ยังกล้ามองพวกนางด้วยสายตามากตัณหาอีก
เขายังเห็นศิษย์พี่เช่นพวกนางอยู่ในสายตาหรือเปล่า?
เมื่อนึกถึง ‘สีหน้าแบบนั้น’ ของฉินอวิ๋น การที่เขากล้าหลอกนาง เขาใส่ร้ายซูอันและมีพฤติกรรมเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ
ไม่มีร่องรอยของความบริสุทธิ์ที่ครั้งหนึ่งเคยดำรงอยู่ และเป็นการยากที่จะบอกว่าเนื้อแท้ของเขาเป็นเช่นไรกันแน่ อาจเป็นไปได้ว่าพฤติกรรมเหลวไหลของเขามีการเปลี่ยนแปลงตั้งนานแล้ว อาจมีสัญญาณของมันนานแล้วแต่นางแค่ไม่สังเกตเห็น
ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ แม้แต่พฤติกรรมของฉินอวิ๋นตอนมีเรื่องที่ตลาดครั้งนั้นก็เพิ่งรู้สึกว่าแปลกไป
ความสงสัยก็เหมือนเมล็ดพันธุ์พืช เมื่อหว่านแล้วมันจะเติบโตต่อไปเรื่อยๆ
“บางทีข้าไม่ควรตามใจเขามากเกินไปอีก” เฟิ่งหลวนนึกถึงการดูแลเป็นพิเศษที่นางมอบให้กับฉินอวิ๋น และทันใดนั้นก็ตระหนักได้...
อาจเป็นเพราะพวกนางปฏิบัติต่อฉินอวิ๋นดีเกินไปจนเขาถูกชักนำให้หลงทางได้ง่าย
……
ไม่กี่วันหลังจากนั้น ฉินอวิ๋นเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านเพราะเขาไม่กล้าที่จะออกมา
ไม่มีศิษย์พี่หญิงคนใดมาเยี่ยมเขาเลย
จนถึงวันนี้ เมื่อพระอาทิตย์กำลังตกดิน ทันใดนั้นฉินอวิ๋นลุกขึ้นจากเตียงที่เขานอนอยู่หลายวัน
“ข้าจะมัวนอนอยู่แบบนี้ไม่ได้ หากเป็นเช่นนี้แล้วซูอันได้สมหวังแน่!” เขากำหมัดแน่นพลางเอ่ย