บทที่ 42 ข้าจะจำนามของเจ้าไว้!
เมื่อได้ยินนางเอ่ยเช่นนั้น หัวใจของหลัวเฉิงก็เต้นมิเป็นจังหวะ
สำนักซวนหยวน เป็นหนึ่งในสามสำนักหลักของราชวงศ์ต้าเยว่ มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและเป็นสถานที่ซึ่งนักยุทธ์นับไม่ถ้วนใฝ่ฝันที่จะเข้าไปฝึกฝน!
ลือกันว่าศิษย์ของสำนักซวนหยวนที่มีวิญญาณยุทธ์ระดับกลาง ถือว่าอยู่ในอันดับล่างสุดของสำนักเท่านั้น!
“ข้ายินดี!”
หลัวเฉิงไม่มีทางปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไปแน่ และนี่เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะทำให้เขาออกจากเมืองฉีซานได้
อวิ๋นเหมิงลี่พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นหยิบป้ายหยกออกมาแล้วมอบให้หลัวเฉิง “นี่คือป้ายหยกประจำตัวของข้า เมื่อเจ้ามาถึงสำนักซวนหยวน เจ้าสามารถเป็นสิทธิ์ของสำนักได้ทันทีที่แสดงป้ายหยกนี้”
หลัวเฉิงรับป้ายหยกจากมือนาง
ป้ายหยกที่อยู่ในมือเขาขณะนี้ กว้างเพียงสองชุ่น สีฟ้าอ่อนและใส มีตัวอักษรนูนอยู่ข้างใน
“ขอบคุณศิษย์พี่หญิง!”
หลัวเฉิงเก็บป้ายหยกเอาไว้และประสานมือกล่าวด้วยความเคารพ
ซึ่งประโยคที่เรียกนางว่า “ศิษย์พี่หญิง” ทำให้อวิ๋นเหมิงลี่แสดงรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้า จากนั้นนางกล่าวว่า “หากไม่มีอะไรแล้ว เราก็เดินทางต่อเถอะ!”
หลังกล่าวเช่นนั้นแล้ว อวิ๋นเหมิงลี่ก็กระชับมือของหลัวเฉิงแล้วพาบินขึ้นไปทันที
ทั้งสองคนเคลื่อนที่เร็วมาก ใช้เวลาเพียงไม่นานทั้งสองก็มาถึงยังขอบของหุบเขาเมฆาทมิฬ
“ศิษย์พี่หญิง มีคนกำลังมาทางนี้!”
ทันใดนั้น หลัวเฉิงก็มองเห็นร่างหนึ่งลอยอยู่เหนือขอบป่าเบื้องหน้า ซึ่งมันดูคล้ายกับนกอินทรีย์ที่สยายปีก กำลังร่อนอยู่เหนือมวลต้นไม้ และมันพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ซึ่งแท้จริงแล้ว นั่นเป็นปรมาจารย์ที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้อีกคน!
อวิ๋นเหมิงลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อนางเห็นบุคคลนั้นมา จากนั้นนางก็พาหลัวเฉิงร่อนลงในที่โล่ง
วืด!
ทันทีที่เรียวเท้าทั้งสองสัมผัสพื้น บุคคลนั้นก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่ลมหายใจเขาก็บรรลุถึง ผู้ที่มาเป็นชายหนุ่มที่มีดวงตาแคบเรียวและสวมอาภรณ์สีเขียว
เมื่อเขามาถึงก็รีบกล่าวด้วยใบหน้าอันปีติ “เหมิงลี่ข้าดีใจมากที่เจ้าไม่เป็นอะไร! เมื่อครู่ข้าแค่ไปหาคนมาช่วยเจ้า แล้วงูหลามเกล็ดดำทองไปไหนแล้ว”
ชายหนุ่มผู้นั้นแสดงสีหน้ามีความสุขมากเมื่อเห็นอวิ๋นเหมิงลี่ เขารีบไถ่ถามนางอย่างกระตือรือร้น แต่เมื่อสายตาพลันเหลือบไปเห็นอวิ๋นเหมิงลี่จับมือของหลัวเฉิงอยู่ขณะนี้ ความเศร้าโศกก็ฉายแววในดวงตาเขาทันที
อวิ๋นเหมิงลี่กล่าวอย่างสงบว่า “จินหมินเจ้ามาช้าไป งูหลามเกล็ดดำทองถูกข้าไล่ไปแล้ว”
หลังจากฟังการสนทนาระหว่างทั้งสอง หลัวเฉิงสรุปได้ว่าทั้งคู่น่าจะพบผลเกล็ดมังกรด้วยกันก่อนหน้า แต่เมื่อถูกงูหลามเกล็ดดำทองลอบโจมตี จินหมินก็ทิ้งอวิ๋นเหมิงลี่ไว้ แล้วหนีเอาตัวรอดไปเพียงลำพัง
ชายหนุ่มผู้นี้นามจินหมิน เขาเหยียบยิ้มกว้างและมองดูหลัวเฉิงด้วยดวงตาที่แคบเรียว แล้วกล่าวว่า “ชายหนุ่มผู้นี้เป็นใครงั้นหรือ?”
อวิ๋นเหมิงลี่กล่าวด้วยน้ำเย็นชา “เขาเป็นคนที่ล้างพิษงูหลามให้ข้าเอง”
“โอ้ กระนั้นหรือ?”
เมื่อได้ฟังน้ำเสียงเย็นชาของอวิ๋นเหมิงลี่ ดวงตาของจินหมินก็แสดงความหดหู่มากยิ่งขึ้น
ตัวเขานั้นชมชอบอวิ๋นเหมิงลี่มาโดยตลอด ซึ่งครั้งนี้นางกลับมาเพื่อเยี่ยมญาติเขาจึงได้ขอติดตามมาด้วย นี่อาจเป็นหนทางที่จะได้สนิทสนมกับนางมากยิ่งขึ้น แต่ไม่คาดคิดเลยว่า เขาจะถูกงูหลามเกล็ดดำทองโจมตีระหว่างทาง
แม้นว่าเขานั้นจะพึงใจในตัวอวิ๋นเหมิงลี่มากเพียงใด แต่เขาก็รู้ว่าสิ่งไหนสำคัญกว่ากัน ระหว่างชีวิตกับอิสตรี เขาจึงตัดสินใจเลือกชีวิตอย่างไม่คิดลังเลแม้แต่น้อย
แต่อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจเช่นนั้น คือเขาไม่คิดว่าอวิ๋นเหมิงลี่จะมีชีวิตรอดออกมาได้
จินหมินมองไปยังหลัวเฉิง จากนั้นหยิบป้ายบางอย่างออกมาแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณที่เจ้าช่วยเหมิงลี่เอาไว้ นี่เป็นเงินสองแสนตำลึงถือว่าแทนคำขอบคุณจากข้า ในหุบเขาเมฆาทมิฬนี้ล้วนเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย หากอยู่นานกว่านี้เจ้าอาจจะตายเอาได้ ข้าว่าเจ้าควรรีบออกไปเสียดีกว่า”
เมื่อได้ยินวาจาอันแฝงไปด้วยคำขู่ หลัวเฉิงก็ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “รางวัลย่อมไม่มีให้ผู้ไร้การกระทำ เกรงว่าข้าคงไม่อาจรับน้ำใจของท่านเอาไว้ได้”
“หืม?”
จินหมินไม่คาดคิดว่าหลัวเฉิงจะกล้าปฏิเสธเขา ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นไม่พอใจทันที
“จินหมิน เราล่าช้ามากแล้ว รีบไปกันเถอะ”
ทันใดนั้น อวิ๋นเหมิงลี่ก็หันมากล่าวกับหลัวเฉิงว่า “หลัวเฉิง ไว้เราค่อยพบกันใหม่ในภายหลัง”
สิ้นเสียง อวิ๋นเหมิงลี่ก็หันหลังและจากไปในทันที
นางรู้นิสัยใจคอของจินหมินเป็นอย่างดี หากอยู่ที่นี่ต่อเกรงจะนำอันตรายมาสู่หลัวเฉิงเท่านั้น
จินหมินจ้องเขม็งไปยังหลัวเฉิง ก่อนตะคอกน้ำเสียงเย็นชา “หลัวเฉิง ข้าจะจำนามของเจ้าไว้!”
หลังทิ้งคำกล่าวเอาไว้ จินหมินก็หันหลังแล้วบินตามอวิ๋นเหมิงลี่ไปทันใด
หลัวเฉิงถึงกับกล่าวสิ่งใดไม่ออก เห็นได้ชัดว่าจินหมินผู้นี้เป็นศิษย์ของสำนักซวนหยวน แม้นพวกเขาจะเคยพบกันเพียงครั้งแรก แต่ไฉนอีกฝ่ายจึงกลายเป็นศัตรูกับเขาเช่นนี้