บทที่ 41 สำนักซวนหยวน
อ๊ะ!
ด้วยความรู้สึกตัวเบาอย่างกะทันหัน ทำให้หลัวเฉิงกอดแขนขวาของอวิ๋นเหมิงลี่แน่นโดยสัญชาตญาณความหวาดกลัว
กระแสลมแรงที่พัดเข้ามากระทบร่างและใบหน้าของหลัวเฉิง ทำให้เขารู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก
เขาค่อยๆ เบิกตาขึ้นทีละนิด ก่อนจะเห็นว่าภูเขาและป่าเบื้องล่างนั้นประหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวถอยหลังอย่างรวดเร็ว
“นี่คือความรู้สึกของการบินบนอากาศงั้นหรือ!”
แม้เขาจะรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยก่อนหน้า แต่ตอนนี้หลัวเฉิงกลับมีอารมณ์ตื่นเต้นอย่างมาก
การเหินบนอากาศและการท่องยุทธภพเป็นความใฝ่ฝันของนักยุทธ์ทุกคน แม้แต่เขาเองก็ยังไม่มีข้อยกเว้นเกี่ยวกับเรื่องนั้น
“ว่ากันว่า ผู้ใดก็ตามที่สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเขตแดนลึกลับ คนผู้นั้นจะสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ในระยะเวลาสั้นๆ และวันหนึ่งข้าก็จะสามารถโบยบินได้อย่างอิสระ!”
หลัวเฉิงพึมพำกับตนเอง ก่อนทอดสายตามองไปยังอวิ๋นเหมิงลี่ที่อยู่ด้านข้างขณะนี้
อวิ๋นเหมิงลี่สวมอาภรณ์สีขาว แม้นอยู่ใต้ผืนแพรก็ยังรับรู้ได้อย่างชัดเจน ว่าเรือนร่างนั้นงดงามและเรียบเนียนเพียงใด เอวของนางคอดกิ่วและนุ่มนวลมิต่างจากเรียวมือแม้แต่น้อย ผิวพรรณนางผุดผ่องนวลใย ใสดุจหยกและขาวดั่งหิมะในเหมันต์ฤดู
เรือนร่างของนางมีกลิ่นหอมจางๆ อันทรงเสน่ห์ของหญิงสาว ราวกับกลิ่นของมวลบุปผาที่สะพรั่งบาน แม้ว่านางจะสวมผ้าคลุมหน้า แต่ก็ยังมีภาพเงาจางๆ เล็ดลอดออกมาพอให้เห็น ว่าใบหน้าของนางนั้นงดงามมากเพียงใด
“อายุของนางคงไม่ได้มากกว่าข้านัก แต่นางกลับเป็นผู้ที่แข็งแกร่งในขั้นเขตแดนลึกลับแล้ว ไม่ก็แข็งแกร่งกว่านั้นด้วยซ้ำ…”
หลังได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ หลัวเฉิงก็รู้สึกสะเทือนใจใช่น้อย เมืองฉีซานนั้นแคบเกินไปหากเทียบกับโลกภายนอก ต่อให้เขาจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองฉีซาน ก็มิอาจทัดเทียมกับอัจฉริยะภายนอกได้แม้แต่น้อย!
ด้วยเหตุนี้ หลัวเฉิงจึงมีความคิดที่จะออกจากเมืองฉีซาน เพื่อไปแสวงหาความแข็งแกร่งภายนอก
หากอาศัยอยู่ที่เมืองฉีซานไปตลอด เขาคงจะกลายเป็นเพียงกบที่มองท้องฟ้าจากก้นบ่อ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถเอาชนะจีหยวนเฮ่าได้
ในขณะที่เขากำลังคิดเรื่องนี้ หลัวเฉิงก็พลันสังเกตเห็นว่า หุบเขาบริเวณด้านล่างนี้ช่างคุ้นตายิ่งนัก
“เจ้าช่วยหยุดตรงป่าข้างหน้าได้หรือไม่?”
ทันทีที่หลัวเฉิงจำได้ว่าบริเวณป่าแถบนี้ คือจุดที่เขาโยนชิ้นส่วนสัตว์อสูรไว้ จึงได้กล่าวกับอวิ๋นเหมิงลี่เพื่อให้นางร่อนลงตรงนั้น
อวิ๋นเหมิงลี่พยักหน้าอย่างไม่ลังเล แล้วบินลงไปราวกับนกที่โฉบจากบนฟ้า
“โชคดีนะที่มันยังอยู่!”
หลัวเฉิงเห็นหีบชิ้นส่วนสัตว์อสูรที่ซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ แล้วรีบวิ่งเข้าไปทันที
แต่ขณะที่หลัวเฉิงกำลังวิ่งไปตรงพุ่มไม้ที่มีหีบของเขาอยู่
จู่ๆ เงาขนาดใหญ่ก็กระโดดพุ่งออกมาจากพุ่มไม้ข้างๆ อย่างกะทันหัน
มันคือหมาป่ายักษ์ที่มีเขี้ยวยาวแหลมคมสองเล่ม!
หมาป่ายักษ์ตัวนั้นมีความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ ทิศทางของมันขณะนี้กำลังพุ่งตรงไปที่หลัวเฉิง
โดยรับรู้ว่าพื้นที่ส่วนนี้ยังเป็นตอนกลางของหุบเขาเมฆาทมิฬ หลัวเฉิงจึงคอยระวังตัวอยู่เสมอ เมื่อรับรู้ถึงการมาถึงของหมาป่าขนาดยักษ์ เขาก็พลันไหวตัวทันที
“สะท้านขุนเขา!”
ด้วยสัญชาตญาณการโต้ตอบอย่างกะทันหัน หลัวเฉิงพลิกตัวกลับมาแล้วชกหมัดออกไปอย่างรุนแรง
เพลงหมัดสยบภูผาของเขาขณะนี้ได้ฝึกฝนจนบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว กระบวนท่าของเขาจึงรุนแรงและพริ้วไหวราวกับเมฆที่เลื่อนลอยบนท้องนภา
ทันทีที่เสียงปะทะดังขึ้น หลัวเฉิงก็ถูกผลักออกไปเกือบสามสิบฉื่อ ส่วนทางด้านของหมาป่ายักษ์ก็ถูกบังคับให้ล่าถอยไปเกือบสามจั้ง
ขณะที่หมาป่ายักษ์หันตัวกลับมา แล้วกำลังจะโจมเข้าใส่หลัวเฉิงอีกครั้ง
ฉัวะ!
ทันใดนั้น ประกายแสงสีครามก็ตัดผ่านร่างของหมาป่ายักษ์ตัวนั้นจนขาดออกเป็นสองท่อน ทำให้เลือดสาดกระเซ็นปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณทันที
อวิ๋นเหมิงลี่รีบปรี่เข้ามาแล้วมองหลัวเฉิง ขณะนี้ดวงตาอันสดใสของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“เจ้าอยู่ในขั้นหลอมกายาจริงงั้นหรือ?”
ไม่ผิดที่อวิ๋นเหมิงลี่จะรู้สึกประหลาดใจเช่นนั้น เนื่องจากหมาป่ายักษ์เมื่อครู่นี้เป็นหมาป่าเขี้ยวดาบระดับต่ำสองดาว ซึ่งมีพลังเทียบเท่ากับขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ช่วงต้น
หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นหลอมกายาธรรมดาทั่วไป ไม่มีทางที่จะสามารถรับการโจมตีของมันได้!
แต่ทว่า หลัวเฉิงผู้นี้กลับสามารถสกัดการโจมตีของมันได้ โดยไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด!
หลัวเฉิงพยักหน้าตอบรับ
อวิ๋นเหมิงลี่ก้าวเข้าไปหาหลัวเฉิง แล้วกระซิบด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา “การที่เจ้าสามารถชกหมาป่าเขี้ยวดาบจนกระเด็นออกไปได้ และยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในขั้นหลอมกายา... หรือว่าเจ้าจะอยู่ในขั้นหลอมกายาขั้นสุดยอด?”
“มิผิด”
หลัวเฉิงพยักหน้าพลางกล่าวตอบรับ
ทันทีที่นางได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของอวิ๋นเหมิงลี่ก็กะพริบปริบ แม้นว่านางจะเคยเห็นอัจฉริยะมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นสุดยอดของขั้นหลอมกายาได้สำเร็จ
ซึ่งผู้ที่สามารถอยู่ในขั้นหลอมกายาขั้นสุดยอดนั้น ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มีฐานันดรที่สูงศักดิ์ และได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่ยังเยาว์ พร้อมกับใช้พลังของโอสถวิญญาณจำนวนมาก แต่ดูไปแล้วหลัวเฉิงผู้นี้กลับดูธรรมดายิ่ง
“การที่เจ้าเข้ามายังหุบเขาเมฆาทมิฬโดยลำพัง แสดงว่าเจ้าต้องมาจากเมืองใกล้เคียงนี้แน่ หากดูจากอายุของเจ้าแล้วคงยังไม่ได้เข้าร่วมสำนักใด เช่นนั้นเจ้าสนใจจะเข้าร่วมสำนักซวนหยวนของข้าหรือไม่” อวิ๋นเหมิงลี่รีบเอ่ยถามทันที
สำนักซวนหยวนงั้นหรือ!