บทที่ 238 ข้าคือหนึ่งในลูกหลานของราชวงศ์
วิญญาณยุทธ์เสวียนอู่ของหยางเสี่ยวเทียนตอนนี้ แข็งแกร่งกว่าตอนที่เขาเข้าสู่สำนักเสินเจี้ยน ครั้งแรกถึงสิบเท่า
ระหว่างเดินเข้าหาศิษย์จากสำนักหลักทั้งสามแห่ง เบื้องหลังหยางเสี่ยวเทียนไม่เพียงปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์เสวียนอู่เท่านั้น แต่ปรากฏวิญญาณยุทธ์มังกรดำซึ่งเป็นตัวก่อกำเนิดไอเย็นและเกิดชั้นน้ำแข็งหนาสีดำทะมึนทุกท่วงท่าที่เขาย่างก้าว
อากาศเย็นเฉียบจนน่าประหลาดใจเหมือนหนอนไหมน้ำแข็งที่มิอาจมองเห็น เข้าชอนไชฝังอยู่ตามกระดูกพวกเขากระทั่งตัวสั่นอย่างช่วยไม่ได้
ครั้นวิญญาณยุทธ์เสวียนอู่ของหยางเสี่ยวเทียนสว่างไสว การไหลเวียนจากกระแสลมอันมืดมิดก็รุนแรงขึ้น กระทั่งพฤกษานานาชนิดในป่าทึบล้วนถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งดำ ส่งผลให้ทุกคนต่างรู้สึกว่าเนื้อตัวกำลังถูกแช่แข็ง
“ลง ลงมือ!” เฉินไห่หลินร้องตะโกน “โจมตีด้วยกำลังทั้งหมดของเรา ผู้ใดก็ตามที่กล้าถอย ถือเป็นคนทรยศต่อสำนัก!” กล่าวจบ เขาก็แทงกระบี่ในมือพุ่งเข้าหาหยางเสี่ยวเทียนก่อนใคร
แสงสว่างจากปราณกระบี่ในมือเขา ส่องประกายราวเส้นด้ายหลายร้อยดวงท่ามกลางความมืดมิด แพรวพราวทะลุผ่านอากาศอันดำทะมึนจนหนักหน่วงจากหยางเสี่ยวเทียนระหว่างพุ่งทะลวงเข้ามา
มันคือกระบี่แสงอัสนี กระบี่อันเลื่องชื่อว่าทรงพลังแลยิ่งใหญ่สุดประจำสำนักเหล่ยถิง
ทักษะจากเพลงกระบี่แสงอัสนีนับว่าทรงพลัง แข็งแกร่งเหนือพลังเวทย์อันยิ่งใหญ่หลายแขนง แต่น่าเสียดายที่เฉินไห่หลินฝึกฝนมันบรรลุเพียงขั้นสำเร็จเล็กน้อยเท่านั้น
ซึ่งกว่าที่แสงจากปราณกระบี่อัสนีจะถึงหยางเสี่ยวเทียน มันก็ถูกแช่แข็งโดยอากาศอันหนาวเหน็บจากวิญญาณยุทธเสวียนอู่ กระทั่งสลายหายไปในที่สุด
ศิษย์ทั้งสามสำนักหลักต่างเริ่มเคลื่อนไหว หลังเฉินไห่หลินลงมือเปิดทาง พวกเขาพร้อมออกเผชิญหน้ากันอย่างสุดกำลังเช่นกัน
ทั้งลำแสงประกายวาวจากปราณดาบและปราณกระบี่อันสว่างไสวเจิดจ้าอย่างเยือกเย็น
ด้วยพลังเวทย์ที่หลากหลายของศิษย์จากสามสำนักหลัก อากาศเย็นเยียบของวิญญาณยุทธ์เสวียนอู่ถูกพัดพาปลิวออกไป
หยางเสี่ยวเทียนเผยยิ้ม ก้าวเคลื่อนตัวมุ่งไปกระพริบหายราวลูกไฟวิญญาณ เขาก้าวหน้าแทนที่จะถอยกลับ พร้อมปรี่เข้าหาบรรดาศิษย์จากสำนักหลักทั้งสามแห่งโดยไร้ซึ่งความหวาดหวั่นประดับบนใบหน้า
เขาไม่ใช้กระบี่ แต่เข้าประชิดตัวโดยใช้เพียงกำปั้น ซัดใส่กายเนื้อศิษย์แต่ละคนอย่างสมบูรณ์แม่นยำไปคนละหมัด
เพลานี้ ไม่ว่าศิษย์สำนักไหน ก็ต่างได้ลิ้มรสพลังหมัดที่เหล่ยจื่อ เติ้งอี้ชุนและเฉิงเซิ่งเข้าปะทะ ว่าแรงที่ทั้งสามถูกโจมจนร่างลอยกระเด็นนั้นเป็นเช่นไร
เมื่อมองจากระยะไกล ศิษย์ผู้พุ่งเข้าหาเขาแต่ละคน ล้วนถูกแรงหมัดซัดกระแทกร่างจนลอยกระเด็นกระดอนขึ้นเหนือนภากาศ ประหนึ่งถูกกระทิงป่าแล่นขวิด
เพียงช่วงเวลาสั้นๆ จากศิษย์นับร้อยกลับเหลือแค่ไม่กี่สิบคนของสามสำนักหลัก นอกนั้น ล้วนนอนกลิ้งในอาการตัวขดงอตามพื้นด้วยความเจ็บปวด ขณะมือกุมท้องพร้อมส่งเสียงร้องโอดโอย
เหล่ยจื่อ เติ้งอี้ชุนและเฉิงเซิ่งต่างเบิกตาค้างด้วยหวาดกลัว ทั้งสามล้วนได้ประจักษ์เห็นว่าทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหวของหยางเสี่ยวเทียนจะปรากฏร่างศิษย์แต่ละคน ไม่ตัวพุ่งกลับไปเบื้องหลัง ก็ตัวลอยขึ้นสูงเหนือนภาอากาศ
ภายใต้การจ้องมองอย่างสะพรั่นพรึงของคนทั้งสาม พริบตาเดียว ศิษย์ทั้งหมดจากสำนักหลักสามแห่ง ก็ถูกหยางเสี่ยวเทียนทุบตีจนนอนกลาดเกลื่อนกลิ้งไปตามพื้น
ผู้คนกว่าร้อยซึ่งนอนคลุกตัวไปมาตามพื้นหญ้า ต่างร้องคร่ำครวญประสานเสียงกันอย่างเจ็บปวด
หยางเสี่ยวเทียนเหลือบมองกลุ่มคนเจ็บเหล่านี้ ก่อนหันกลับมายังเหล่ยจื่อ เติ้งอี้ชุนและเฉิงเซิ่ง ที่เพิ่งจะยันตัวให้ยืนขึ้นอย่างยากลำบากขณะแข้งขาก็พานอ่อนแรงจนสั่นเทาด้วยหวาดกลัว
“พวกเจ้าทั้งสาม ควรร่วมกันลงมือ”
สิ้นวาจา เติ้งอี้ชุน บุตรสายฟ้าและเฉิงเซิ่ง ก็แทบลื่นไถลจวนเกือบล้มหัวคะมำไปอีกครั้ง
“พะ พวกเรา” ริมฝีปากเฉิงเซิ่งสั่นไหว ใบหน้าเขาก็พานซีดเซียวไม่มีเลือดฝาดก่อนก็ส่ายศีรษะปฏิเสธ “วันนั้นเรา ไม่ต้องการธารสายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์แล้ว”
เมื่อนึกถึงหมัดจากหยางเสี่ยวเทียนที่เพิ่งได้รับยังท้องของตน กระเพาะเขาก็อดสั่นสะท้านจนรู้สึกกระตุกเจ็บแปล๊บขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
หากหยางเสี่ยวเทียนต่อยท้องเขาอีกครั้ง มันคงไม่ใช่เพียงอาการชักกระตุก แต่เป็นการตายโดยสิ้นเชิง
เติ้งอี้ชุนและเหล่ยจื่อ ทั้งคู่ก็ส่ายศีรษะโดยอ้างเหตุผลเช่นเดียวกับเฉิงเซิ่ง
“อ้าว พวกเจ้าไม่ต้องการธารสายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์แล้วงั้นหรือ” หยางเสี่ยวเทียนเผยยิ้มด้วยท่าทีไร้เดียงสา
เติ้งอี้ชุน เหล่ยจื่อและเฉิงเซิ่ง พร้อมใจพยักหน้าอย่างจริงจัง
จากนั้นหยางเสี่ยวเทียนจึงหยิบยาพิษออกมาสามเม็ด บอกทั้งสามอย่างไปตรงมาว่าเป็นพิษควบคุมพร้อมสั่งเชิงขอให้พวกเขากลืนมันลงไป
ทั้งสามมองดูพิษควบคุมตรงหน้าด้วยสีหน้าน่าโกรธเกลียด
โดยเฉพาะเฉิงเซิ่ง ที่แสดงท่าทีโกรธแค้นยิ่งกว่าคนทั้งสอง เขาเป็นถึงลูกหลานผู้หนึ่งของราชวงศ์ แต่หยางเสี่ยวเทียนกลับกล้าบังคับให้เขากินพิษควบคุมอย่างมิเกรงกลัวต่ออำนาจเบื้องหลังเขาเลยแม้แต่น้อย
ระหว่างใคร่เปิดปากตำหนิด่า กลับต้องเผชิญกับดวงตาอันเยือกเย็นขณะหยางเสี่ยวเทียนจ้องมอง ทำสีหน้าแดงก่ำด้วยบันดาลโทสะซึ่งกำลังคุกรุ่นในใจ พานมลายหายไปในที่สุด
หลังตัดสินใจเพียงไม่นาน ทั้งสามก็กลืนพิษเหล่านั้นลงไปอย่างสงบปากสงบคำ
พิษควบคุมที่หยางเสี่ยวเทียนสั่งให้กลืน รวมถึงศิษย์จากสำนักหลักทั้งสามแห่งทุกคน แม้นไม่มีผู้ใดเต็มใจยอมรับมันเข้าร่างกายก็ตามที
เมื่อทำทั้งหมดนี้สิ้นแล้ว หยางเสี่ยวเทียนก็หยิบโอสถชาตชีวาอมตะระดับนิรันดร์ออกมา มอบให้ทุกคนกลืนเพื่อรักษาบาดแผลตนเอง
เหล่ยจื่อพร้อมคนอื่นๆ ตื่นตะลึง เมื่อทุกคนต่างได้ประจักษ์เห็นโอสถชาตชีวาอมตะระดับนิรันดร์อยู่ตรงหน้าพวกเขา