ตอนที่แล้วเจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่  24
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่  26

เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่  25


เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่  25

อาจจะเรียกได้ว่า เป็นความพอใจส่วนตัวของผม

เดิมทีแล้วพวกนักอ่านต่างก็ดรอปนิยายทันทีที่เห็นแนวโน้มของเรื่องอยู่ๆก็เกิดขึ้นมาอย่างแปลกๆ

แต่ผมควรจะทำอะไรต่อล่ะ?

ก็ในเมื่อตอนนั้นผมคิดว่าแนวเรื่องไปทางนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว

จริงที่ว่า มันคงดีกว่าหากผมแค่ทิ้งมันไป ปล่อยให้มันไม่จบเหมือนอย่างทุกที แต่อยู่ๆผมก็ดันเกิด เกิดผลักดันอยากเขียนให้มันจบขึ้นมา

เมื่อคุณทำอะไรโง่ๆลงไป สักวันหนึ่งคนต้องรับผิดชอบมัน

เพราะแนวทางของเรื่องที่พัฒนาการไปแบบบ้าๆแบบนั้น ทำให้ ผมต้องกลับมาเช็ดล้างก้นตัวเอง

ไม่ว่าผมจะชอบมันหรือไม่ก็ตามที สถานการณ์ที่อยู่ๆจะมีเกทโผล่ขึ้นมาในโลกนี้แล้วทำอย่างทุกอย่างเข้าสู่โลกาวินาศ

จากสไลซ์ออฟไล้ฟ์ในช่วงครึ่งแรก อยู่ๆก็ดันมามีเรื่องเกทประหลาดๆโผล่ขึ้นมาเฉย

(TTL : เกท (Gate)หมายถึง เซตติ้งที่อยู่ๆในโลกที่แสนสงบสุขก็มีประตูจากต่างมิติ มีมอนสเตอร์ ปีศาจ สัตว์ประหลาด มนุษย์ต่างดาวโผล่มาทำลายล้างโลก หรือเกิดให้เกิดความหายนะ โลกาวินาศ)

ตอนนี้ผมมีทางเลือกสามทาง

อย่างแรก ผมควรจะรอจนกว่าจุดจบจะมาถึงในสถานที่ที่ปลอดภัย แล้วก็ไม่ต้องสนใจเรื่องที่ผมรู้การมาของเกทนั่น

อย่างที่สอง ผมสามารถฝึกฝนตัวเองจนกว่าจะอยู่ในสถานะที่พร้อมสู้ ก่อนที่เกทจะเปิดขึ้นมาแล้วผมก็กระโจนเข้าไปฟัดกับสถานการณ์แบบนั้น

และอย่างสุดท้าย ผมจะสามารถลบสถานการณ์ที่เกิดเกทด้วยการ ใช้ฟังชั่น ‘รีไร้ท์’

หากเป็นตัวเลือกข้อที่สอง ผมไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมกับวิหารก็ได้ แต่ตัวเลือกข้อที่สาม ผมนั้นต้องเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเรื่องหลักเพื่อรับแต้มแอ้คชีฟเม้นท์พ้อยท์

ผมได้มีประสบการณ์เฉียดเป็นเฉียดตายหลายต่อหลายครั้งในช่วงอารัมภบทก่อนเนื้อเรื่องหลัก

ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำในการต่อสู้หรือการที่ต้องมาเห็นใครตายต่อหน้า , ดังนั้นผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเตรียมการณ์ไว้สำหรับเกท

แต่หากผมเลือกที่จะซ่อนตัวที่ไหนสักแห่ง แล้วเฝ้าดูไฟค่อยๆแผดเผาโลกใบนี้ไปโดยที่ผมไม่เข้ามาสนใจใยดี  ถึงจะดูขี้ขลาดไป แต่ชีวิตของผมเนี่ยแหละมีค่ามากที่สุด

แล้วทั้ง ซาร์เคการ์ โลย่าและเอเลริสเองก็คงจะพาผมออกไปให้ไกลจากเรื่องนี้ ข้ออ้างต่างๆของผมมันลดลงไปทีละข้อทีละข้อ จนผมไม่มีทางเลือกอื่นอีกนอกจากต้องยอมแพ้

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ความจริงมันก็คือ ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ผมสร้างขึ้นมา ผมก็ต้องรับผิดชอบกับมันด้วยตัวเอง

ต่อให้ผมไม่สามารถจะรับผิดชอบมันได้เต็มร้อย แต่อย่างน้อยผมก็ควรจะทำอะไรสักอย่างกับสถานการณ์นั้นบ้าง ผมควรจะทำอะไรสักอย่างกับมันจริงๆ

ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า การที่ปิดเกทที่ได้เปิดขึ้นมาแล้วนั้นเป็นไปได้ไหม แต่ต่อให้เป็นไปไม่ได้เลย ไม่ได้ผลเลยก็ตาม ผมก็ยังคงต้องแข็งแกร่งขึ้นด้วยแต้มแอคชีฟเม้นท์พ้อยและทำการ กำจัดมอนสเตอร์ที่ออกมาจากเกท

นั่นเป็นความชอบธรรมส่วนตัวของผม ที่มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้

“ฟู่ววว ….”

ผมมาถึงหน้าแรกของเนื้อเรื่องหลักแล้ว

วิหาร

ผมอาจจะได้กลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีป หรือไม่ก็อาจเจอวิธีการกำจัดเกท หรือผมอาจจะจบลงตรงที่มีพรสวรรค์ไร้ประโยชน์ ก็เป็นได้

ผมไม่ได้ถนัดนักในสิ่งที่ชอบ ผมก็เลยต้องพยายามอย่างหนักในสิ่งที่ผมไม่ชอบอย่างนั้นสินะ ?

เหงื่อเย็นๆไหลผ่านใบหน้าผม

วิหารนั้นแบ่งออกเป็นสามส่วน :

ภาคประถม , ภาคมัธยม ,และภาคอุดมศึกษา

ประถมศึกษา 6 ปี มัธยมต้น 3 ปี และมัธยมปลาย 6 ปี แถมยังมีระดับปริญญา บัณฑิตวิทยาลัยให้เรียนต่ออีกด้วย

มีสิ่ง อำนวยความสะดวกมากมาย อยู่ทั่วตรงนั้นตรงนี้เต็มไปหมด

มีทั้งสเตเดี้ยม รวมถึงอุปกรณ์อำนวยความสะดวกพิเศษ รวมถึงฮอลคอนเสิร์ตด้วย

ในตัววิทยาเขตเองก็กว้างเกินกว่าจะเดินไป  , วิหารเองก็เลยมีรถรางที่จะวิ่งแต่ภายในตัววิหารเท่านั้น

และก็แน่นอน ว่ามันฟรี

นี่เป็นการเข้ามาในวิหารครั้งแรกของผม ผมได้แสดงบัตรประจำตัวนักเรียนที่ออกให้ก่อนล่วงหน้า ก่อนจะได้เข้าเรียนจริง

วิทยาเขตการศึกษาอันกว้างขวางของวิหารนั้นเผยท้องฟ้าสีครามโดดเด่นอยู่ตรงหน้าผม

นี่ไม่ใช่ความฝัน หากแต่เหมือนกับสิ่งที่ผมจินตนาการเอาไว้มันกลายเป็นของจริง

“เห”

นี่มันทั้งอลังการกว่า ใหญ่กว่า เป็นระเบียบกว่า ที่ผมจินตนาการไว้เสียอีก ทำเอาผมอ้าปากค้างไปเลย

ไม่มีทางที่ผมจะสามารถอธิบายภาพที่เห็นตรงด้วยการเขียนจำกัดความได้

นักเรียนจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนหลากหลายเครื่องแบบกำลังเดินไปเดินมา

ผมเหม่อลอยมองที่ทางเข้า โดยไม่รู้ว่าผมควรเรียกเจ้าความรู้สึกที่ว่านี้ว่าอย่างไรดี จะบอกว่า ตกใจหรือประทับใจดีนะ

ผมเขียนเซตติ้งไว้ให้วิหาร มีเครื่องแบบมากมาย แต่การที่มาเห็นสิ่งนั้นเองตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ

ทั้งรูปปั้นและโคมไฟริมถนนวางเรียงเคียงกันเหมือนเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ทั้งยังมีอาคารเรียนหลายรูปแบบจนดูเหมือนเป็นงานศิลปะในรูปแบบอาคารมากกว่าเป็นโรงเรียนที่มีการตกแต่งภายนอก

รถรางเองก็วิ่งเงียบเชียบไปบนรางที่สร้างไว้ในวิทยาเขตขนาดใหญ่

มันเป็นส่วนผสมผสานกันระหว่างยุคคลาสสิกกับยุคใหม่  มันเป็นอะไรที่ผิดปกติเสียจนผมรับรู้ได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้มีเวลาขนาดนั้น

ไว้ผมจะมาชื่นชมมันภายหลังละกัน

สถานที่ที่ผมมุ่งหน้าไปก็คือ หอพักของรอยั่ลคลาสใกล้กับห้องเรียนของฝ่ายอุดมศึกษา

ที่มีนักเรียนเกินกว่า  100,000 คน ดังนั้นในส่วนที่เป็นหอพักก็เลยใหญ่มากๆ

รอยั่ลคลาสนั้นเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันอุดมศึกษาที่มีนักเรียน ห้องละ 20 คน  , มีทั้งหมด 6 ชั้นปี รวมแล้วก็เป็น 120 คน

ก็ถือว่าเป็นจำนวนที่น้อยพอดูเลยล่ะ ก็แสดงให้เห็นว่าจำนวนผู้มีพรสวรรค์นั้นมีน้อยจริงๆ

รวมสรุปเฉลี่ยแล้วก็มีนักเรียนห้องย่อยห้องละ 10 คน

นักเรียนทั้งหมด 20 คนนั้นแบ่งไปอยู่คลาส A กับ B  ในเมื่อผมเข้ามาเพิ่มทีหลังก็อาจจะกลายเป็น21 คนก็ได้มั้ง

ผมนั่งรถรางไปตามที่เขียนไว้ในคู่มือ ทันทีที่ลงจากรถรางก็เห็นหอพักเรียงเป็นแนวเป็นแถว

ทำเอาผมไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมหอพัก7หอพักที่เรียงติดกันถึงให้อยู่กันได้แค่ 120 คน  มันใหญ่ ใหญ่แบบไม่น่าเชื่อ  ถึงผมจะเป็นคนเขียนเองกับมือว่า ‘พวกเขาได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ !ก็ตาม

พอมาเห็นด้วยตาตัวเองแล้วก็เกิดคำถามว่า ผมมาอยู่ที่นี่น่ะมันโอเคแล้วใช่ไหม  กับสถานที่ที่ควรจะให้ขุนนางระดับสูงมาอยู่กันในที่แบบนี้น่ะ ?

ผมทั้งดีใจและออกขมขื่นขึ้นมานิดๆเพราะสิ่งที่ผมเขียนในนิยาย

ผมเดินผ่านระหว่างตัวอาคาร  เงาที่พาดผ่านผมไปเรื่อยๆ ผมเริ่มรู้สึกยิ่งประหม่า พอรับรู้ถึงมัน ผมรู้สึกเหมือนตัวเองมาอยู่ในสถานที่ที่ตัวเองไม่ควรมาอยู่เลย

ผมว่ามันออกจะเป็นภาระด้วยซ้ำหากผมยังแบกความรู้สึกแบบนี้ต่อไปในทุกวัน

เรื่องทางระบายน้ำใต้ดินของบรอนซ์เกทน่ะ ลืมไปได้เลย แต่ร้านขายคัมภีร์เวทย์ของเอเลริสก็ยังให้ความรู้สึกสะดวกใจมากกว่าที่นี่

พอพ้นทางเข้าของหอพักไปสุดทางก็เจอกับเสาหิน

ผมมองขึ้นไปบนเพดานทรงโดม เงยขึ้นไปก็เห็นบันไดหินอ่อนที่นำไปสู่ชั้นบน

ล็อบบี้นั้นเป็นพื้นที่ส่วนกลางที่เชื่อมต่อกับทั้งชั้น 1 และชั้น2 ผ่านตัวบันไดสามารถขึ้นไปได้ทั้งซ้ายและขวา ที่ผมรู้ก็เพราะผมเป็นคนเซ็ตไว้ให้เป็นแบบนั้นเอง...

ชั้น 1 สำหรับปี 1 ชั้น 2 สำหรับปี 2 แบบนี้เรื่อยไป

ดังนั้นแล้วพอยิ่งเลื่อนชั้นสูงขึ้น นักเรียนก็ยิ่งรู้สึกรำคาญมากขึ้นและก็แน่นอน ผมเองก็เขียนให้มีอะไรที่คล้ายๆกับลิฟท์อยู่ด้วย มันทำงานด้วยเวทย์มนตร์หรืออะไรสักอย่าง เจ้าสิ่งนั้นที่อยู่ตรงกลางโดมนั่นดูเหมือนจะเป็นลิฟท์

จากโครงสร้างตัวอาคารแล้ว ห้องสำหรับคลาสA อยู่ทางซ้าย ส่วนห้องคลาส B อยู่ทางขวา

นักเรียนทุกคนที่อยู่คลาส A ทุกระดับชั้นจะอยู่ฟากซ้าย และทุกคนที่อยู่คลาส B ก็อยู่ฟากขวา

ผมพอจะรู้คร่าวๆแหละว่า ต่อจากนี้จะมีอะไรเกิดขึ้น

“นายคือ เด็กปีหนึ่งใช่ไหม ?”

“อ่า ,ใช่ ”

นักเรียนรุ่นพี่ที่สวมเครื่องแบบเหมือนกับผม เข้ามาหาพร้อมกับแฟ้มเอกสาร

เธอสวมเครื่องแบบผู้หญิง ….

“ฉัน เซเรส ฟอน โอเว่น(Ceres Van Owen), ชั้นปีที่5 และเป็นประธานสภานักเรียนโรยั่ลคลาสด้วย สวัสดี?”

“อ่า,เอ้อ สวัสดี”

อ้อใช่มันแบบนี้นี่แหละ ถ้าหากเป็นระดับอุดมศึกษาก็จะมีพวกประธานกับรองประธานอยู่ด้วย, เหมือนที่แต่ละโรงเรียนก็จะมีประธานกับรองประธานนักเรียน ประจำโรงเรียนตัวเอง

เหมือนกันกับที่ว่า รอนั่ลคลาสเองก็มีประธานนักเรียนกับรองประธานนักเรียนเป็นของตัวเอง

จำนวนนักเรียนที่สภานักเรียนจะต้องบริหารจัดการนั้นมีเยอะ  จึงทำให้พวกเขามีอำนาจเยอะไปด้วย

ก็อย่างเช่น มีนักเรียนเกือบ  50 000 คนที่อยู่ในแผนกอุดมศึกษา

แล้วเมื่อเทียบกับจำนวนนักเรียนรอยั่ลคลาสที่มีน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนนักเรียนทั้งหมด ทำให้สภานักเรียนรอยั่ลคลาสนั้นมีอำนาจเยอะมาก

ซึ่งก็นั่นแหละสมเป็นรอยั่ลคลาส สองเสาหลักแห่งวิหาร ที่ไม่เหมือนกับโรงเรียนธรรมดาทั่วไป

ทำให้จำนวนก็ยิ่งน้อยลงไปอีก ,ทำให้สภานักเรียนโรยั่ลคลาสไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากช่วยงานอื่นบ้าง เช่นนำทางให้กับนักเรียนใหม่

ต่อให้คนจากภายนอกมองมาดีแค่ไหน , ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า รอยั่ลคลาสนั้นขาดคน

ผมส่งบัตรนักเรียนให้กับรุ่นพี่ที่แนะนำตัวเองว่าเป็นประธานนักเรียน แล้วเธอก็หาชื่อผมในแฟ้ม

“ไรน์ฮาร์ดไม่มีนามสกุล  ….คลาส 1-A

จากนี้ไปเธอไปอยู่ห้อง 11 นะ  ”

“อ่า ,ได้”

เธอยื่นมือออกมาให้จับ และผมก็จับไว้

นักเรียนชั้นปี 5 ตอนนี้ก็อายุประมาณ 21 ปีแล้ว

ประธานนักเรียนตรงหน้าผมอยู่ได้เป็นปีสุดท้ายแล้วหลังจากนี้ก็จะยุ่งมาก ,ดังนั้นต่อจากนี้ เราอาจไม่มีโอกาสได้ติดต่อกันอีก ถึงอย่างนั้นก็เถอะ การสร้างความประทับใจไว้ก็ไม่ผิดอะไร

ไม่ว่าระดับความสามารถจริงจะเป็นอย่างไร การเป็นประธานนักเรียนรอยั่ลคลาสถึงว่าเป็นบุคคลที่ทรงอำนาจในหอพักแห่งนี้

ถึงเธอจะมีอำนาจระดับนั้น เธอก็คุยยิ้มกับผมอยู่ดี

“หลังจากที่ทุกคนมาครบแล้ว พวกเขาจะเรียกให้พวกเธอมารวมตัวกันที่ล็อบบี้กลางนะดังนั้นขอบอกไว้ก่อน

หลังจากวางข้าวของเสร็จแล้ว พักสักหน่อยก็ได้ แต่อย่าหลับหลับเพลินเกินไปล่ะ เข้าใจไหม ?”

“เข้าใจ”

ผมลากกระเป๋าด้านหลังไปยังทางเดินทางฝั่งซ้าย

แสงแดดที่ส่องผ่านหน้าต่างทำให้เกิดเงาเป็นตาข่ายบนพื้น ผมไม่คิดฝันมาก่อนเลยว่า ในชีวิตนี้จะเห็นภาพแบบนี้มาก่อน

พอผมอ่านหน้าล็อบบี้หลักไปก็เห็น ล็อบบี้เฉพาะของคลาส 1-A ปรากฏตรงหน้า

ถึงมันจะดูเล็กกว่าล็อบบี้หลักแต่ก็มีห้องหรูที่เต็มไปด้วยโซฟา ทั้งโต๊ะเก้าอี้และโต๊ะอ่านหนังสือที่สามารถเหยียดตัวลงผ่อนคลายได้สบายๆ

มันเป็นสถานที่เด็กจากคลาส B มาอยู่ด้วยกัน กินขนม พูดคุยเล่น ทั้งแม้จะมีล็อบบี้ส่วนตัวอยู่ตรงข้ามเช่นกัน

เริ่มจากห้องโถงนี้ก็มีทางเดินไปยังหอพัก ห้องแล็บเวทย์มนตร์ ห้องอ่านหนังสือ โรงยิมในร่มและยังมีห้องอื่นๆอีกมากมายรวมถึงร้านอาหารด้วย

สถานที่แห่งนี้เป็นเหมือนตัวกลาง เป็นเหมือนศูนย์รวมหลักแทนล็อบบี้

มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีรูปดอกกุหลาบอยู่ซึ่งเป็นลักษณะร่วมกันของสิ่งของต่างๆ

ตอนนี้ผมได้มาอยู่ในสถานที่ที่สะดวกสบายที่สุดในโลกใบนี้ แต่สุดท้ายเหมือนผมยังรู้สึกเหมือนพลาดอะไรบางอย่างไปเลยยังรู้สึกแปลกๆใจอก

มันเป็นความรู้สึกลึกลับซับซ้อนยากจะอธิบาย

ผมเดินไปตามทางเดินเข้าสู่โซนหอพักแล้วมุ่งหน้าไปที่ห้อง 11 พอแตะบัตรนักเรียนประตูก็เปิดออกทันที

ไม่ใช่อะไรใหม่สำหรับผมแล้วล่ะ ทุกอย่างเนี่ยทำงานได้ด้วยเวทย์มนตร์

ห้องนี้ออกจะใหญ่เกินไปสำหรับคนคนเดียว มีเตียงที่จัดตึงเป็นระเบียบเรียบร้อย มีหน้าต่างและตู้เสื้อบผ้าบานใหญ่ มีแม้กระทั่งฝักบัว อ่างอาบน้ำด้วย

ห้องนี้ไม่ได้แค่หรูหราแต่ภายนอกอย่างเดียว การออกแบบภายในยังทันสมัยและให้ความรู้สึกสะอาดทั้งยังสะดวกมากๆ

ถึง ณ ตอนนี้จะเป็นเพียงห้องธรรมดาๆ แต่หากนักเรียนขออะไรไป ก็จะมีข้าวของต่างๆเพิ่มขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ฝึกร่างกายหรือแม้แต่ของที่ใช้เพื่องานวิจัยเวทย์

ตราบใดที่ยังอยู่ในอำนาจของวิหารไม่ว่าจะอะไรก็เพิ่มเข้ามาในห้องนี้ได้ทั้งนั้น

มันจึงเป็นสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดในการที่ทำให้คนๆหนึ่งได้โฟกัสไปที่การพัฒนาพรสวรรค์ของตัวเองโดยไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นอีกต่อไป

เมื่อผมเปิดประตูตู้เสื้อผ้าออกมาผมก็เจอชุดเครื่องแบบมากมายหลากหลายแขวนไว้อยู่ มันเป็นบริการที่พวกนักเรียนธรรมดาๆของวิหารได้แต่เฝ้าฝันถึง

ผมหยิบข้าวของในกระเป๋าตัวเองออกมาแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้าทีละอย่าง ผมเอาของมาไม่มากมายนักเพราะผมรู้ว่า ผมเอาจากวิหารก็ได้

สิ่งที่ติดตัวผมอยู่เสมอก็คือ แหวนของเดร็ดเฟียนและเปลวเพลิงแห่งวันอังคารเผื่อไว้ในยามฉุกเฉิน

หลังจากเอาของออกจากกระเป๋าเสร็จผมก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง

ผมไม่รู้ว่าตัวเองมาเร็วไปนานแค่ไหน แต่ผมเป็นคนเดียวที่เข้ามาอยู่ในหอพักรอยั่ลคลาส

พอนักเรียนทุกคนมากันครบ ผมก็จะได้เจอหน้าทั้งนักเรียนคลาสAและคลาส B ตอนที่สภานักเรียนเรียกให้มาพร้อมๆกัน

พวกนั้นบอกว่า เป็นแค่การต้อนรับธรรมดาๆ แค่การทักทายกันไม่ใช่ปาร์ตี้

แล้วผมก็จะได้เห็นทุกตัวละครที่ผมเขียนขึ้นมาเองกับมือ

ถึงอย่างนั้นก็เถอะมันยังมีสิ่งที่กวนใจผมอยู่ ห้องของผมห้องหมายเลข 11

วิหารน่ะชอบที่จะจัดอันดับผู้คน

ดังนั้นแล้วหมายเลขห้องน่ะไม่ใช่ตัวเลขที่ให้มาสุ่มๆ

ห้องหมายเลข 11 ในตอนที่รับสมัครผมเข้ามา หลังจากที่เห็น ‘พรสวรรค์’ ของผมแล้วว่า ต่ำที่สุดในบรรดาพรสวรรค์ทั้งหมดของ ปี1 คลาส A

ใช่แล้วล่ะ การที่ผมได้มาเป็นส่วนหนึ่งของคลาสAถือว่า ปาฏิหารย์แล้ว

ผมน่ะไม่มีพรสวรรค์เลยแม้แต่น้อยถึงความถนัดของผมจะมีไม่จำกัดก็ตามที

ผมได้เข้ามาอยู่ในรอยั่ลคลาส ที่มีทั้งคลาสAและB โดยเป็นลำดับต่ำที่สุดของคลาส A

นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย ?

ผมสามาถนึกภาพได้ถึงความขัดแย้งที่ผมจะโดน

‘โฮ่ , แกเองน่ะหรือ เจ้าคนที่มี 'ความถนัด ไม่จำกัด ' ที่เคยได้ยินมา ? ว่าแต่แกไม่อ่อนไปหน่อยเรอะ ?

เฮ้ย  ,เฮ้ย , ทำไมกากงี้วะ ?

นี่แกอยู่คลาส  Aจริงๆเหรอ ? นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นวะ ?’

ผมเดาว่า ตัวเองน่าจะได้ยินเรื่องแบบนั้นแหงๆ เฮ่อ

มันจะดีกว่าด้วยซ้ำถ้าผมได้ไปที่คลาส B

นี่ผมจะโดนเจ้าพวกนักเรียนแร๊งสูงกว่าเล่นเอาไหมเนี่ย ?

ผมไม่อยากเป็นทั้งที่หนึ่งหรือที่โหล่

เพราะเห็นได้ชัดเลยว่า สถานการณ์พวกนั้นมันเฮงซวยแค่ไหน แล้วก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เรื่องทุกอย่างจะไปได้ดีไหม  แต่อย่างน้อยๆก็คงไม่มีใครแร๊งต่ำไปกว่าผมอีกแล้วล่ะ

ก็เห็นๆกันอยู่ว่า คลาส A และคลาส B นั้น มีกันคลาสละ 10 คน แต่ผมดันผ่ามาเป็นหมายเลข 11 ก็แปลว่า เดิมทีเนี่ยผมเป็นคนนอกที่เข้ามาเกินโควต้าเดิม

คงไม่เป็นไรใช่ไหมหากจะมีไอ้โง่หัวร้อนบางคนโดนไล่ออกน่ะ ? หรือมันมีคนแบบนั้นแล้ว ก็เลยมีที่ว่างให้ผม ?

ไม่สิ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆก็แปลว่าคนๆนั้นก็ต้องถูกถอดออกจากรายชื่อแล้วเอาคนที่มีสำคัญกว่าเข้ามาแทนสิ

ขอบคุณพระเจ้าจริงๆที่มันเป็นอย่างนั้น

ผมเห็นผู้คนมากมายลงจากรถไฟมานาผ่านทางหน้าต่างห้องตัวเอง ดูเหมือนจะค่อยๆมากันทีละคนทีละคนแล้ว การคาดเดาของผมถูกเผงเลยล่ะ

เห็นได้ชัดว่า มีความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไปจากเนื้อเรื่องในส่วนแรก ผมชักสงสัยแล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น จึงหยิบสมุดจดออกมาเขียน

ความคิดที่มีลงไปตามลำดับ ถึงจะยากที่จะย้อนนึกถึงทุกอย่างลงไปและอาจมีความเป็นไปได้ที่จะมีตัวละครอื่นที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ ที่ผมไม่รู้จักพวกเขาเลย

แถมยังมีตัวละครที่โผล่มาเฉพาะในฉากหลังไม่ต่างจากอากาศ

ผมใส่รายละเอียดนักเรียนทั้ง 20 คน ไปก็จริง แต่ไม่ได้ให้มีบทเด่น เพราะหากให้เด่นกันหมดทั้ง 20 คนนี่เรื่องคงเละเทะน่าดู

แล้วก็แน่นอน งานของผมห่วยบรมเลยตั้งแต่ช่วงกลางเรื่องเป็นต้นไปที่อยู่ๆมีเกทโผล่มา

ถึงอย่างไรก็ดี คลาส A และ คลาสB ก็ยังมีอยู่ ผมเลยจัดการข้อมูลส่วนตัวของนักเรียนทั้งหมดที่แวบเข้ามาในหัว

หนึ่ง ,สอง ,สาม

อาจเพราะมีจำนวนมากเกินกว่าเจ็ดคนทำให้ผมจำได้ไม่ชัดเจนแล้ว

ความจำผมยังดีอยู่  ….

ผมเค้นสมองอย่างหนักเพื่อนึกชื่อ ของตัวละครที่ไม่ได้เอามาใช้ และเขียนมันออกมา นับว่ายังโชคดีถึงผมจำชื่อไม่ได้ละเอียดหมดทุกคนแต่ผมรู้ว่า เขาเป็นคนยังไงกัน

ช่วงบ่ายแก่หรือเกือบจะเย็นแล้ว

[นักเรียนทุกคนจากรอยั่ลคลาส ขอให้มารวมกันที่ล็อบบี้

นักเรียนทุกคนจากรอนั่ลคลาส ขอให้มารวมกันที่ล็อบบี้ ]

แล้วก็มีเสียงตามสายประกาศให้นักเรียนห้องรอยั่ลคลาสมารวมตัวกัน

ผมออกมาจากห้องทางซ้ายมือสุด จนสามารถเห็นแผ่นหลังของเพื่อนร่วมชั้นที่เดินออกมาหลังได้ยินเสียงประกาศ

จะเอลีทหรืออะไรก็ตาม ตอนนี้ผมต้องทำตัวเป็นนักเรียนใหม่ในโรงเรียนไปก่อน

ยิ่งผมรีบเท่าไหร่ฝีเท้าก็ยิ่งหนักถ่วงขามากเท่านั้น ผมรู้สึกเหนื่อยมาก

นักเรียนทั้งคลาส A และคลาส B ต่างมารวมตัวกันที่ล็อบบี้ชั้นแรก

เหล่าสภานักเรียนมายืนเรียงกันบนบันไดสูง

และก็มีผู้คนจากหลายๆชั้นเอนตัวมองลงมายังพวกเรา

นักเรียนชั้นปี 6 ที่อยู่ที่สูงที่สุดไม่ได้ออกมาดูด้วย

ว่าแต่ทำไมนักเรียนรุ่นพี่ถึงตัดสินใจออกมาดูนักเรียนใหม่กันตอนนี้นะ ?

“ออกมาเถอะ ทั้งนักเรียนคลาส Aและคลาส B ออกมาเรียงแถวหน้าห้อง เริ่มจากหมายเลข  1”

ทุกคนต่างมายืนเรียงแถวตามคำพูดของประธานนักเรียน  เจ้าพวกปี 1 ไม่มีระเบียบเอาเสียเลย เอาเถอะยังไงพวกนั้นมันก็ยังเด็กอยู่ ผมยืนท้ายแถวของคลาส A ตามปกติแล้วนักเรียนรุ่นพี่น่ะไม่ควรออกมาดูนักเรียนใหม่ด้วยซ้ำ มันเลยเป็นอะไรที่แปลก

ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็จับตามองดูพวกเราทุกคน ผมถึงได้พบสิ่งที่ผิดแปลกไปจากบทเริ่มต้น

“เอาล่ะ  ,เรามาเริ่มจากหมายเลข 1 กันดีไหม ?”

“ฉัน เบอร์ทัส เดอ การ์เดียส(Bertus de Gardias)!”

พอได้ยินชื่อปุ้บ มันก็ทำเอาผมขนลุกซู่

เบอร์ทัส เดอ การ์เดียส,ชื่อของชายที่ทำให้ผมเกือบตายไปหลายต่อหลายครั้งแล้ว มันเป็นน้ำเสียงที่สดใสมีชีวิตชีวาเกินไปสำหรับคนชั่วร้ายอย่างนี้

เขาไม่ได้วางท่าแสดงอำนาจใดๆ แถมยังดูเหมือนเป็นคนมีความมุมานะอีกด้วย มันแปลกเกินไป

เดิมทีแล้ว เบอร์ทัสน่ะจะซ่อนฐานะตัวเองอยู่ในวิหาร แต่มาตอนนี้เขากลับแนะนำตัวเองด้วยชื่อพร้อมนามสกุล

คราวนี้ทั้งรอยั่ลคลาสก็รู้แล้วว่า เขานั้นเป็นเจ้าชาย

เดิมทีแล้วนักเรียนคนอื่นๆถึงไม่สนใจอะไรนักเรียนใหม่นักแต่หลังจากได้ยินข่าวที่ว่า เจ้าชายเข้าโรงเรียนด้วย พวกเขาจึงกระตือรือร้นออกมาดู

พอแนะนำตัวดำเนินต่อไป ผมก็แนะนำตัวเองบ้างเหมือนกัน และก็แหงล่ะไม่มีใครสนใจผมหรอก

“มาตอนนี้ เราจะเริ่มให้การแนะนำตัวคลาสB ต่อดีไหม ?

, B-1,แนะนำตัวเองให้เพื่อนฟังหน่อย ?”

ณ ชั่วขณะนั้นเอง

ที่ทำให้ผมรู้ชัดเจนแล้วว่า ทิศทางของอีเว้นท์นั้นเปลี่ยนแปลงไปแล้วจากเดิม...

“ฉัน ชาร์ล็อต เดอ การ์เดียส(Charlotte de Gardias)”

บุคคลที่ไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่

ชาร์ล็อตเองก็อยู่ในรอยั่ลคลาส

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด