บทที่ 1064 (185) Play boy~! (ตอนฟรี)
บทที่ 1064 (185) Play boy~!
เมื่อจี้เฟิงพาแมงมุมขาวกลับมาถึงบ้าน ก็พบว่าเซียวหยูซวนและถงเล่ยยังไม่กลับมา
“ไปจู๋ ถ้าฉันจะจัดห้องพักชั้นล่างให้เธอ เธอจะโอเคหรือเปล่า?” จี้เฟิงถาม “ชั้นล่างมีอยู่หลายห้อง โดยปกติแล้วจะมีคนมาพักที่นี่แค่ไม่กี่คน ดังนั้นมันจะไม่รบกวนเธอแน่นอน เธอคิดว่าไง? โอเคมั้ย?”
“ได้” แมงมุมขาวพยักหน้าเล็กน้อย โดยพื้นฐานแล้ว เธอไม่เรื่องมากเกี่ยวกับที่พักของเธอ และไม่ได้มีเงื่อนไขปัจจัยภายนอกอื่นๆเพิ่มเติม
จี้เฟิงพยักหน้าแล้วพาแมงมุมขาวไปที่ห้องพัก เขาบอกให้เธอจัดการข้าวของสัมภาระของเธอให้เรียบร้อย จากนั้นเขาก็ชงชาให้แมงมุมขาว นั่งลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่น จุดบุหรี่และเริ่มสูบบุหรี่
อันที่จริง จี้เฟิงกำลังคิดอยู่
ตอนนี้เขาดึงตัวแมงมุมขาวมาจากเซียงหยงซานได้แล้วก็จริง แต่จะจัดการกับเธออย่างไรก็เป็นปัญหาใหญ่เช่นกัน
แม้ว่าการมาที่นี่ของแมงมุมขาวจะมาในนามเพื่อเรียนรู้วิธีจัดการกับมนุษย์ดัดแปลง แต่ความสัมพันธ์ ไฟล์และสิ่งอื่นๆของเธอยังคงอยู่ในค่ายทหาร ทำให้ดูเหมือนว่าการมาของเธอจะเป็นเพียงการมาชั่วคราว แต่จริงๆแล้วทุกคนรู้ดีว่านี่เป็นเพียงพิธีการเท่านั้น
ในความเป็นจริง มันเท่ากับว่าแมงมุมขาวได้ติดตามจี้เฟิงแล้ว
เว้นแต่เซียงหยงซานจะขาดแคลนกำลังคนหรือมีเหตุฉุกเฉินเขาถึงจะใช้แมงมุมขาวได้ มิฉะนั้นโดยทั่วไปแล้ว แม้ไฟล์ของแมงมุมขาวและคนอื่นๆจะยังอยู่ในค่ายทหาร เซียงหยงซานก็ไม่สามารถเรียกตัวแมงมุมขาวไปได้ง่ายๆ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตั้งแต่วินาทีที่แมงมุมขาวติดตามจี้เฟิงเข้าไปในรถ เธอก็กลายเป็นของจี้เฟิงแล้ว
แม้ว่าเซียงหยงซานต้องการใช้เธอ เขาก็ยังต้องได้รับความยินยอมจากจี้เฟิง !
ดังนั้น ด้วยวิธีนี้ การจัดการเรื่องของแมงมุมขาวอาจดูเหมือนสบายๆ แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น
เนื่องจากจี้เฟิงยังมีความกังวลอยู่ในใจ ร่างกายของแมงมุมขาวไม่มั่นคง และจนถึงตอนนี้ก็ไม่สามารถยืนยันได้อย่างแท้จริงว่าแมงมุมขาวติดตามเขาด้วยความจริงใจหรือไม่
ดังนั้นแผนเดิมของเขาที่จะให้แมงมุมขาวปกป้องซูหยวน จึงยังไม่สามารถจัดเตรียมได้ในขณะนี้
ในกรณีนี้ มีเพียงวิธีเดียวคือปล่อยให้แมงมุมขาวอยู่กับจี้เฟิงและทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดของเขาชั่วคราวเท่านั้น นี่เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด ไม่เพียงแต่จะทำให้แน่ใจได้ว่าแมงมุมขาวจะไม่นำภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น แต่ยังอำนวยความสะดวกให้จี้เฟิงในเรื่องของการแนะนำการฝึกยิมนาสติกให้แมงมุมขาวอีกด้วย
ติดแค่...
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะเกาหัวและแอบยิ้มอย่างขมขื่น ‘ฉันยังเป็นนักเรียนอยู่ แต่กลับมีบอดี้การ์ดสาวสวยอยู่ข้างกาย นี่ถ้าต้องพาเธอไปมหาวิทยาลัยด้วยมันจะไม่เด่นสะดุดตาเกินไปหน่อยเหรอ.. ไม่ต้องพูดถึงว่าฉันจะปรับตัวกับสถานการณ์แบบนี้ได้หรือเปล่า ฉันเกรงว่าพ่อกับอารองคงจะไม่เห็นด้วยแน่ๆ มันเย่อหยิ่งเกินไป!’
“นายน้อยจี้...” แมงมุมขาวที่เพิ่งจัดสัมภาระเสร็จเดินมาที่ด้านข้างจี้เฟิงและถามว่า “คุณมีคำแนะนำอะไรไหม”
จี้เฟิงชี้ไปที่โซฟาข้างๆเขาและพูดด้วยรอยยิ้ม “นั่งลงสิ”
แมงมุมขาวพยักหน้าและนั่งลงบนโซฟาทางด้านขวาของจี้เฟิง
จี้เฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ไป๋จู เธอเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว ตั้งแต่วันนี้ เธอคือคนของฉัน พรุ่งนี้ฉันจะพาเธอไปที่สำนักงานใหญ่ของเถิงเฟยกรุ๊ป กรองข้อมูลต่างๆในฐานะพนักงานคนหนึ่ง โดยจะถูกแต่งตั้งให้เป็นรองผู้จัดการแผนกรักษาความปลอดภัยของเถิงเฟยกรุ๊ป ทั้งเงินเดือนและสวัสดิการจะถูกดำเนินตามมาตรฐานของรองผู้จัดการ เธอคิดเห็นอย่างไร?”
“ทุกอย่างจะเป็นไปตามการเตรียมการของนายน้อยจี้ค่ะ” แมงมุมขาวพยักหน้าและพูด
จี้เฟิงส่งเสียงอืมในลำคอและไม่ได้พูดอะไรอีก แน่นอนว่าเขาสามารถบอกได้ว่า แม้ว่าแมงมุมขาวจะปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพ เธอพยักหน้าเห็นด้วยไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ตาม แต่ในความเป็นจริง ในคำพูดของแมงมุมขาวแฝงไปด้วยความห่างเหิน ซึ่งนี่ทำให้จี้เฟิงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
ดังนั้นจี้เฟิงจึงคิดว่า เขาไม่ควรพูดอะไรมากไปกว่านี้ในตอนนี้ เขาทำได้แค่รอจนกว่าเขาและแมงมุมขาวจะคุ้นเคยกันมากขึ้น บางทีพวกเขาอาจจะมีบางเรื่องที่พูดคุยกันถูกคอหรือชื่นชอบบางอย่างเหมือนกัน
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจี้เฟิงก็พูดขึ้นว่า “ไป๋จู ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว ถ้าคุณเหนื่อยก็ไปพักผ่อนเถอะ ถ้ามีอะไรฉันจะเรียกเธอในภายหลัง”
ผิดคาด ครั้งนี้แมงมุมขาวส่ายหัวและปฏิเสธ “ไม่ได้ค่ะนายน้อยจี้ ฉันเป็นผู้คุ้มกันของคุณ หน้าที่ของฉันคือการปกป้องคุณ นี่ไม่ใช่เวลาที่ฉันจะทิ้งคุณไว้แล้วไปพักผ่อน!”
จี้เฟิงยิ้มอย่างบิดเบี้ยวและพูดว่า “ตอนนี้เราอยู่ที่นี่ ดังนั้นเธอไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดขนาดนั้น”
แมงมุมขาวไม่สะทกสะท้าน เธอพูดอย่างเรียบเฉย “นี่คือหน้าที่ของฉัน!”
จี้เฟิงผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน “เอาที่เธอสบายใจก็แล้วกัน แต่เชื่อฉันเถอะ ทำเหมือนที่นี่เป็นบ้านของเธอเอง สบายๆ ไม่ต้องซีเรียส”
“ฉันจะทำตามนั้น” แมงมุมขาวพยักหน้า
จี้เฟิงยิ้ม และเอนตัวครึ่งหนึ่งลงบนโซฟาพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาและจิ้มบนหน้าจอเพื่อตรวจสอบอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยที่ติดตั้งที่บ้าน
แต่ในใจอดไม่ได้ที่จะเคร่งเครียดเล็กน้อย
การแสดงออกของแมงมุมขาวนั้นดีมาก เรียกได้ว่าไม่มีที่ติเลย แต่ยิ่งเป็นแบบนี้มากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งพิสูจน์ว่าแมงมุมขาวเข้าใจตัวตนของเธอในฐานะบอดี้การ์ดที่ต้องทำเพียงเพราะมันเป็นงานและหน้าที่ แทนที่จะปฏิบัติต่อเขาในฐานะสมาชิกครอบครัว
นี่แสดงว่าเธอยังไม่มีความคิดหรือมีความตั้งใจที่จะรวมเข้ากับครอบครัวนี้เลย!
‘แบบนี้ไม่ดีแน่!’ จี้เฟิงคิดในใจ ‘ถ้าเธอไม่คิดที่จะเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ เธอจะไม่มีวันเป็นบอดี้การ์ดที่สมบูรณ์แบบอย่างที่ฉันต้องการ เธอจะเห็นมันเป็นเพียงแค่หน้าที่และไม่สามารถทำมันออกมาจากใจ... ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนไป๋จูจะยากกว่าการเปลี่ยนหานเซิ่นสินะนี่!’
เวลาประมาณหกโมงครึ่ง ถงเล่ยและหานเซิ่นกลับมาถึงบ้าน
เมื่อพวกเธอเห็นหญิงสาวหน้าตาสวยมากนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น ถงเล่ยและหานเซิ่นก็ตกตะลึงในเวลาเดียวกัน
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า “ให้ฉันแนะนำให้พวกเธอรู้จัก นี่คือไป๋จู บอดี้การ์ดคนใหม่ของครอบครัวเรา... สาวสวยคนนี้คือถงเล่ย แฟนของฉันเอง ส่วนคนนี้หานเซิ่นเป็นบอดี้การ์ดของเล่ยเล่ย”
แมงมุมขาวทักทายหญิงสาวทั้งสองด้วยความสุภาพอย่างมาก ในขณะที่ถงเล่ยและหานเซิ่นรู้สึกประหลาดใจมาก
ต้องบอกว่าแมงมุมขาวเป็นผู้หญิงที่สวยมากจริงๆ แม้แต่หานเซิ่นที่หน้าตาน่ารักก็ยังด้อยกว่าเธอเล็กน้อย มีเพียงถงเล่ยเท่านั้นที่เทียบได้กับแมงมุมขาวในแง่ของรูปลักษณ์
‘เป็นบอดี้การ์ดหญิงที่สวยมาก...’ หานเซิ่นแอบเหลือบมองจี้เฟิงและพูดกับตัวเอง ‘นี่คือหนุ่มเพลย์บอยตัวพ่อชัดๆ.. นายน้อยจี้นี่เก่งทุกอย่างจริงๆ ฝีมือการต่อสู้ก็ไม่ธรรมดา ใจดีและมีความยุติธรรม แต่ใครจะเชื่อว่าเขาจะเจ้าชู้ได้ขนาดนี้.. ช่างร้ายกาจยิ่งนัก! มีแฟนสวยระดับนางฟ้าสองคนอยู่ที่บ้านยังไม่พอ ตอนนี้หาบอดี้การ์ดสาวสวยระดับนี้มาอีก...’
และสิ่งที่ทำให้ถงเล่ยรู้สึกประหลาดใจก็คือรูปร่างหน้าตาของแมงมุมขาวเช่นกัน แต่ไม่ใช่เพราะแมงมุมขาวสวยเกินไป แต่เพราะเธอจำได้ว่าบอดี้การ์ดหญิงที่หน้าตาดีมากคนนี้คืออดีตอาจารย์ของสหพันธ์มหาวิทยาลัย!
ยิ่งไปกว่านั้น ถงเล่ยยังจำได้ว่า บอดี้การ์ดสาวสวยคนใหม่คนนี้ดูเหมือนจะเป็นศัตรูกับเซียวหยูซวน!
แล้วทำไมจู่ๆจี้เฟิงถึงได้ขอให้เธอมาเป็นบอดี้การ์ด?
แม้ว่าถงเล่ยจะตกใจ แต่เธอก็ยังคงทักทายแมงมุมขาวด้วยความสุภาพ ไม่ว่าจะเพราะอะไร จี้เฟิงก็เป็นคนพาเธอมา และเธอจะเป็นบอดี้การ์ดคนหนึ่งของครอบครัว ดังนั้นพวกเธอจะได้พบเจอกันบ่อยๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าถงเล่ยจะมีนิสัยเย็นชาแต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่เข้าใจโลก
“พวกคุณนั่งลงเถอะ ฉันจะไปที่ห้องหนังสือสักหน่อย...” ถงเล่ยพูดเบาๆแล้วเดินขึ้นไปชั้นบนโดยมีหานเซิ่นเดินตามไปอย่างรวดเร็ว
“นายน้อยนี่ร้ายกาจจริงๆ...” จี้เฟิงได้ยินหานเซิ่นพูดอะไรบางอย่างด้วยเสียงที่แผ่วเบาขณะที่เดินขึ้นบันไดตามถงเล่ยไป มันทำให้เขาแทบจะสำลักและอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่นอยู่ในใจ
เป็นการยากที่จะทำให้ไม่เกิดความเข้าใจผิดหากได้หญิงสาวที่รูปร่างหน้าตาดีอย่างแมงมุมขาวมาเป็นบอดี้การ์ด... มันเป็นเพราะเธอสวยมากจริงๆ
ในขณะที่แมงมุมขาวนั้นดูเฉยเมยราวกับว่าเธอไม่ได้ยินอะไรเลย
หางตาของจี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะกระตุกสองสามครั้ง เพราะขนาดหานเซิ่นยังพูดแบบนี้ แล้วถ้าเซียวหยูซวนกลับมา... ด้วยนิสัยขี้เล่นของเธอ ใครจะรู้ว่าเธอจะพูดหยอกล้อเขาอย่างไร
ซึ่งในความเป็นจริงเขาไม่ได้มีความคิดฉันชู้สาวกับแมงมุมขาวเลย...
อย่างไรก็ตาม หานเซิ่นผู้นี้ดูเหมือนจะมีความกล้ามากขึ้นแล้ว คาดไม่ถึงว่าเธอจะกล้าพูดจาแดกดันเจ้านายผู้ซึ่งเป็นใหญ่ที่สุดในบ้านได้?
‘มีเวลาเมื่อไหร่คงต้องสั่งสอนเธอสักหน่อยแล้ว!’ จี้เฟิงกัดฟันและคิดในใจ
.........
ในสหพันธ์มหาวิทยาลัย จางเล่ยกำลังเดินเล่นอยู่ข้างสนามกีฬากับเฉินจิ้งยี่ มันเป็นช่วงเวลาหลังอาหารเย็น จึงมีนักศึกษาจำนวนมากพากันทำกิจกรรมในบริเวณนี้ บ้างก็ออกกำลังกาย หรือไม่ก็เล่นกันอย่างสนุกสนาน บรรยากาศดูคึกคักมีชีวิตชีวามาก
จางเล่ยดูผ่อนคลายและมีความสุข แต่เฉินจิ้งยี่กลับดูเหม่อลอย
เมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งเล่นบาสเกตบอลในสนามกีฬา จางเล่ยก็อดพูดด้วยรอยยิ้มไม่ได้ “เมื่อพูดถึงกีฬาบาสเกตบอล มันเป็นสิ่งที่ฉันรู้สึกเสียใจที่สุด!”
“อา!” เฉินจิ้งยี่ตอบโดยอัตโนมัติ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “นายพูดว่าไงนะ?”
“เรื่องบาสเกตบอลน่ะ! อย่างที่เธอรู้ พ่อของฉันเป็นคนของระบบและมีนักเรียนหลายคนรู้จักตัวตนของฉันในตอนที่ฉันเรียนอยู่ ม.ปลาย บวกกับที่ตัวฉันเองก็ไม่ได้เป็นนักเรียนที่ดีอะไรนัก จึงมีเพียงไม่กี่คนที่จะยอมเล่นบาสกับฉัน” จางเล่ยเล่าโดยไม่ได้ตระหนักถึงความผิดปกติของเฉินจิ้งยี่ เขายิ้มและเล่าต่อไปว่า “เพราะแบบนี้ ฉันเลยขี้เกียจเล่นกับพวกเขา กีฬาอะไรก็ตามที่ต้องเล่นกันเป็นทีม ไม่มีอะไรที่ฉันเชี่ยวชาญเลย!”
“อย่างนี้นี่เอง!”
เฉินจิ้งยี่พยักหน้าและพูดว่า “ที่จริง บาสเกตบอลก็เป็นเพียงกีฬาชนิดหนึ่ง มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับร่างกาย แต่ไม่ได้มีประสิทธิภาพเท่ากับศิลปะการต่อสู้ และอีกอย่างฉันก็ไม่ค่อยชอบดูมันเท่าไหร่...”
จางเล่ยยิ้ม “นอกจากศิลปะการต่อสู้แล้ว ยังมีกีฬาประเภทอื่นที่เธอชอบอีกไหม?”
“ฉันชอบกีฬาที่ใช้พลังหรือไม่ก็เป็นกีฬาที่ต้องใช้ทักษะ แต่ฉันไม่ชอบกีฬาที่มีทั้งสองอย่าง” เฉินจิ้งยี่กล่าว
จางเล่ยยิ้มและพูดว่า “ศิลปะการต่อสู้ก็มีทั้งความแข็งแกร่งและทักษะไม่ใช่เหรอ?”
“ถูกต้อง!” เฉินจิ้งยี่พยักหน้าเล็กน้อย
จางเล่ยอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว จากนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างรวดเร็วและถามอย่างลังเล “จิ้งยี่ เธอมีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า?”
“อา...” เฉินจิ้งยี่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่มี”
“แต่ตอนนี้เธอดูแปลกๆนิดหน่อย” จางเล่ยพูด “จำได้หรือเปล่าว่าเมื่อกี้ฉันถามเธอว่าอะไร... ฉันถามว่านอกจากศิลปะการต่อสู้แล้ว เธอยังชอบกีฬาอะไรอีกบ้าง... แต่พอฉันปฏิเสธคำตอบของเธอ เธอกลับเออออห่อหมก ดูเธอเหมือนจะไม่ได้ฟังมันด้วยซ้ำ โดยปกติแล้ว เรื่องแบบนี้เธอไม่มีทางพลาดนี่นา!”
“ฉันสบายดีจริงๆ... ฉันแค่มัวดูผู้คนออกกำลังกาย ฉันก็เลยไม่ค่อยมีสมาธิน่ะ” เฉินจิ้งยี่กล่าว
จางเล่ยขมวดคิ้ว “จริงเหรอ?”
“ทำไมฉันต้องโกหกนายด้วยล่ะ?” เฉินจิ้งยี่พูด เธอลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ถามออกไปว่า “ว่าแต่เร็วๆนี้จี้เฟิงได้ติดต่อมาหานายบ้างหรือเปล่า?”
“เจ้าบ้าเหรอ?” จางเล่ยส่ายหัว “ไม่นะ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?”
“ฉันแค่ถามดูเฉยๆน่ะ... ถ้าจี้เฟิงไม่ได้ติดต่อมาหานายเลย แสดงว่าเขาต้องเรียนหนักมากแน่ๆ จางเล่ย นายก็ต้องตั้งใจเรียนเหมือนกันนะ ไม่ว่าจะเรื่องเรียนหรือเรื่องศิลปะการต่อสู้ นายต้องตั้งใจให้มากๆ!” เฉินจิ้งยี่พูดและยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา “โอ้! นี่จะค่ำแล้วเหรอเนี่ย ฉันยังมีเรียนตอนค่ำอยู่อีก ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ!”
“อืม... ไว้เจอกัน!” จางเล่ยพยักหน้า
......จบบทที่ 1064 ~