บทที่ 39 รอยประทับร้อยกระบี่
เช้าวันรุ่งขึ้น
ชูเหลียงค่อยๆ ลุกขึ้น เขาแต่งตัวดี หวีผมอย่างพิถีพิถัน เขาแต่งตัวอย่างสุภาพกว่าที่เคย
วันนี้เขามีนัดตอนเที่ยงกับศิษย์พี่เจียง
ขณะที่เขาเดินไปตามทางไปยังถ้ำน้ำตกเมื่อวันก่อน คราวนี้ลูกไป๋เจ๋อมิได้ปรากฏตัว
เมื่อมาถึงปากถ้ำเขาก็ได้ยินเสียงศิษย์พี่เจียงโวยวายมาจากด้านใน
"ข้าเพิ่งซื้อที่นอนใหม่เมื่อวานนี้แต่เจ้ากัดมันพังแล้วหรือ คราวหน้าเจ้าจะไม่โดนทำโทษเพียงเท่านี้แน่!"
“ฮู้ว”ลูกไปเจ๋อคร่ำครวญเบาๆ พร้อมพยายามรักษาสมดุลไม่ให้ก้อนอิฐหล่นจากจมูกของมัน
ชูเหลียงใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์สอดส่องเข้าไปภายในถ้ำ เขาพบว่าความวุ่นวายเมื่อวันก่อนได้หายไปอย่างสิ้นเชิงและถ้ำได้กลับสู่สภาพเดิม
ในเวลานี้ เขาเห็นเจียงเสี่ยวไป๋นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง เธอกำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
ลูกไปเจ๋อยืนอยู่ข้างๆ เธอด้วยขาหลัง มันเงยหน้าขึ้นพร้อมมีอิฐที่วางอยู่ที่ปลายจมูกอย่างสมดุล
รอยกัดสดๆ ร้อนๆ ของไป๋เจ๋อทำให้ที่นอนที่เธอเพิ่งเปลี่ยนใหม่เสียหาย
ชูเหลียงกลั้นยิ้ม เขากระแอมคอแล้วกล่าวว่า “ศิษย์พี่เจียง ข้ามาถึงแล้ว”
"อ้อ เข้ามาสิ" เจียงเสี่ยวไป๋ตอบ
ชูเหลียงเข้าไปในถ้ำ พร้อมเห็นเธอยืนอยู่ เธอสวมเสื้อคลุมพู่ที่ประณีต ผมกระจัดกระจาย อาบด้วยแสงบางเบาจากสภาพแวดล้อมอันสงบ เธอเป็นเหมือนเทพธิดาที่อาศัยอยู่ในภูเขาเป็นเวลาหลายพันปี
พฤติกรรมของเธอเปลี่ยนไปจากตอนที่เธอทำโทษไป๋เจ๋อ ตอนนี้เธอทําให้เขารู้สึกเคารพอย่างมาก
เมื่อชูเหลียงมองไปที่ไป๋เจ๋อ มันก็ทิ้งอิฐและรีบวิ่งไปหาชูเหลียงทันที
"หืม" เจียงเสี่ยวไป๋ขมวดคิ้ว
"ฮุ้ว" ลูกไป๋เจ๋อหยุดกะทันหัน การแสดงออกของมันดูเหมือนจะสื่อถึงความอยุติธรรมและการทารุณกรรม มันเดินไปข้างกำแพงและยืนอยู่ตรงนั้นและแม้กระทั่งหยิบอิฐด้วยกีบเท้าเพื่อเอามาวางไว้ที่จมูกตามเดิม
ชูเหลียงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่น่าจะร้ายแรงเพียงนั้น อย่างไรเสียมันก็ยังเป็นแค่เด็กมิใช่หรือ”
เจี่ยงเสี่ยวไป๋ตอบโดยไม่มีวี่แววว่าจะยอมแพ้แม้แต่น้อย "ถ้าท่านไม่ตั้งใจเรียนกับข้า ท่านก็จะต้องปฏิบัติเช่นเดียวกัน"
ไป๋เจ๋อมองไปรอบๆ แล้วจึงเอียงตามองชูเหลียงแวบหนึ่ง เผยให้เห็นความคาดหวังเล็กน้อย
ชูเหลียงเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วและถามว่า “เหตุใดสัตว์ผู้พิทักษ์แห่งฉูซานถึงเชื่อฟังท่านได้เพียงนี้กัน”
"ข้าไม่รู้" เจี่ยงเสี่ยวไป๋ตอบ "ข้ารู้เพียงว่าเจ้าไป๋เจ๋อตัวนี้มักจะมาเล่นกับข้าตั้งแต่เด็กแล้ว มันเกือบจะโตมากับข้าเลย ว่าแต่ท่านเล่า รู้หรือไม่ว่าเหตุใดมันจึงสนิทสนมกับท่านถึงเพียงนั้น"
ชูเหลียงส่ายหัว
เขาไม่รู้อะไรเลย
ถ้าเพียงเพราะพรสวรรค์ในการฝึกฝนของเขา เขาก็ไม่ได้โดดเด่นเลย ถ้าเป็นเพราะไป๋เจ๋อรู้สึกว่าเขาเป็นคนดี คนจำนวนมากก็มีคุณสมบัติที่จะเป็นคนดี..
"ดูจากท่านและข้าแล้ว.. มันอาจจะชอบอยู่กับคนหน้าตาดีก็เป็นได้" นี่คือคําตอบสุดท้ายของชูเหลียง
"ถูกต้อง" เจี่ยงเสี่ยวไป๋เห็นด้วย
..ไม่มีใครห้ามใครกันเลยทีเดียว..
หลังจากการพูดคุยเล็กๆ น้อยๆ เจียงเสี่ยวไป๋ก็เข้าประเด็น "วันนี้ข้าตั้งใจจะสอน รอยประทับร้อยกระบี่ เจ้าคุ้นเคยกับมันดีใช่หรือไม่"
รอยประทับร้อยกระบี่หรือ
แน่นอนว่าชูเหลียงรู้ดี
กระบวนท่านี้เป็นหนึ่งในวิชาพื้นฐานที่สุดของนิกายฉูซาน แม้จะเป็นพื้นฐาน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีพลังมหาศาลอย่างมาก
ตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพัน หลักพันถึงหลักหมื่น หากพัฒนามันจนกลายเป็นรอยประทับหมื่นกระบี่ได้สำเร็จ มันจะเป็นกระบวนท่าที่แทบจะไร้ผู้ต่อกรเลยทีเดียว
"พี่เจียง ข้าซาบซึ้งในความทุ่มเทและความพยายามของท่านมาก" เขายืนขึ้นเพื่อแสดงความเคารพ
"สาระสําคัญของรอยประทับร้อยกระบี่อยู่ที่การผสมผสานระหว่างชี่และกระบี่ กุญแจสําคัญคือการเปลี่ยนชี่เป็นกระบี่และผสมผสานมัน"
เจี่ยงเสี่ยวไป๋อธิบายต่อไปว่าบทสวดและรอบประทับที่มือมีผลสอดคล้องกับรอยประทับร้อยกระบี่
ในขณะที่ผู้ฝึกฝนขั้นสูงสามารถใช้ทักษะศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ด้วยความคิดเดียว แต่ผู้เริ่มต้นจะต้องปฏิบัติตามกระบวนการทีละขั้นตอน
การรวมกันของบทสวดและรอยประทับที่มือจะให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สายตาของชูเหลียงจ้องมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ เจียงเสี่ยวไป๋อธิบายอย่างจริงจัง ผมของเธอแกว่งไปมาเบาๆ ดวงตาของเธอเป็นประกาย ผิวของเธอเปล่งประกายอ่อนโยน เมื่อเขาสังเกตเธอ เขาพบว่าตัวเองรู้สึกหลงทางเล็กน้อย
หลังจากเจียงเสี่ยวไป๋อธิบายเสร็จ เธอพบว่าชูเหลียงดูเหมือนจะมึนงงอยู่ เธอขมวดคิ้วและตะโกน "นี่"
"ข้ากําลังฟังอยู่" ชูเหลียงตอบอย่างรวดเร็ว
"ข้าพูดอะไรไปบ้าง ทวนซ้ำให้ข้าฟัง" เจียงเสี่ยวไป๋ถาม สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเป็นปรปักษ์
จากนั้นชูเหลียงก็เล่าคําอธิบายก่อนหน้านี้ของเธอทีละคํา รวมถึงรายละเอียดที่ละเอียดกว่า
เจียงเสี่ยวไป๋เมื่อฟังแล้วก็ดูประหลาดใจเล็กน้อย "ความทรงจำของท่านดีจริงๆ.. เหมาะแก่การเรียนรู้รอยประทับร้อยกระบี่เลยทีเดียว"
“ขอบคุณสำหรับคำชมเชย ศิษย์พี่เจียง” ชูเหลียงตอบอย่างใจเย็นเหมือนไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
"อย่างไรก็ตาม ขณะที่ยังต้องรักษาพลังของรอยประทับร้อยกระบี่ สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้คืออย่าแสวงหาปริมาณอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า เป็นการดีที่สุดที่จะควบคุมพลังกระบี่แต่ละเล่มได้อย่างแม่นยำชำนาญเสียก่อนที่จะเพิ่มจำนวน การจัดการกระบี่ทุกเล่มได้ตามใจชอบจะมีพลังมากกว่ากระบี่หนึ่งหมื่นเล่มที่เคลื่อนไหวอย่างวุ่นวาย" เธอกล่าวเสริม
"ข้าจะจําไว้" ชูเหลียงพยักหน้า
"ศิษย์แห่งฉูซานโดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณเจ็ดวันในการควบคุมกระบี่ร้อยเล่มได้คล่อง แต่เนื่องจากข้าเป็นคำแนะนำแบบหนึ่งต่อหนึ่งความคาดหวังของข้าจึงสูงขึ้น ข้าให้เวลาท่านสามวัน หากท่านสามารถฝึกฝนมันได้ในเวลานี้ ข้าจะสอนทักษะศักดิ์สิทธิ์อย่างอื่นให้ท่านอีก แต่หากท่านไม่สามารถเรียนรู้มันได้ภายในสามวันนี้ ก็จะไม่มีครั้งต่อไป" เจียงเสี่ยวไป๋กล่าว
"ฟังดูดี" ชูเหลียงตอบด้วยความกระตือรือร้นอย่างชัดเจน
ตอนแรกเขาคิดว่าจะได้รับการสอนเพียงครั้งเดียว แต่ตอนนี้โอกาสในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องทําให้เขาตื่นเต้นมาก เห็นได้ชัดว่าเขายินดีมากที่จะได้รับโอกาสเช่นนี้
จากนั้นเขาก็เริ่มทดลองภายใต้การแนะนําของเจียงเสี่ยวไป๋ เขากระตุ้นสร้อยข้อมือกระบี่บิน เขาวาดรอยประทับด้วยมือ และปล่อยพลังชี่ของเขา
"แยกแสงเงา ทำตามความปรารถนาของข้า!"
พรึบ! พรึบ! พรึบ! พรึบ!
ทันใดนั้น กระบี่บินก็กลายเป็นเงากระบี่ร้อยเล่ม ก่อให้เกิดฉากมหัศจรรย์อันน่าตื่นตาตื่นใจ ชูเหลียงหลับตาและคิดครุ่นคิด..
กระบี่ที่บินอยู่ในอากาศตกลงสู่พื้นทีละเล่ม และเงาของมันก็สลายไปอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นความว่างเปล่า
"มันไม่ถูกต้อง“เขาตระหนักว่าเขาทำผิดพลาดพูดต่อ”เป็นไปมิได้ที่ข้าจะกระจายพลังชี่และประสงค์ของข้าไปยังกระบี่แต่ละเล่ม ตรงกันข้าม.. กระบี่แต่ละเล่มควรมีความปรารถนาของตัวเองและข้าต้องสั่งพวกมัน”
มันมิใช่เพียงแค่กระบี่ที่ไร้ชีวิต แต่เป็นกองทัพที่มีชีวิต
"แยกแสงและเงา! จงทำตามความปรารถนาของข้า!
พรึบ! พรึบ! พรึบ!
เงากระบี่กระจัดกระจายอีกครั้ง คราวนี้กระบี่ร้อยเล่มล้อมรอบชูเหลียงอย่างเรียบร้อยราวกับว่าพวกมันได้สร้างค่ายกลไว้
"ไป!" นิ้วมือของชูเหลียงกลายเป็นรอยประทับและกระบี่ก็บินขึ้นในทันที มันแล่นผ่านอากาศและไม่หยุดส่งเสียงแสบแก้วหู
ตราบเท่าที่ปลายนิ้วของชูเหลียงเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย บางครั้งกระบี่ก็จะพุ่งเป็นเส้นตรงและบางครั้งก็มีรูปร่างไปตามจังหวะการสั่งการของปลายนิ้วของเขา
เจียงเสี่ยวไป๋มองการใช้รอยประทับร้อยกระบี่อย่างชํานาญของชูเหลียงและอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างและแสดงความประหลาดใจ
ปกติแล้วศิษย์ของนิกายฉูซานจะค่อยเป็นค่อยไป จาก 1 เล่ม เป็น 2 เล่ม ตามด้วยสิบเล่ม และสุดท้ายร้อยเล่ม พวกเขาจะค่อยๆ เรียนรู้ไป
ในตอนแรกเจียงเสี่ยวไป๋วางแผนที่จะรอให้ชูเหลียงได้รับข้อมูลเชิงลึกจากความล้มเหลวหลายครั้งก่อนที่จะให้คําแนะนําไปทีละจุด เธอคิดว่านี่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้คาดหวังว่าชูเหลียงใกล้จะประสบความสําเร็จตั้งแต่ต้น ด้วยความล้มเหลวครั้งแรกเพียงครั้งเดียว เขาก็เชี่ยวชาญมันไปเสียแล้ว
ในตอนแรกเธอคิดว่าเส้นตายสามวันที่เธอกําหนดให้ชูเหลียงค่อนข้างเข้มงวด
แม้ว่าเธอจะเรียนรู้รอยประทับร้อยกระบี่ได้ภายในวันเดียว แต่สิ่งสำคัญก็คือเธอเป็นผู้ที่มีร่างกายและจิตวิญญาณในตำนาน และมีความสามารถที่เหนือกว่าคนทั่วไป
ในมุมมองของเธอ หากเขาสามารถเชี่ยวชาญมันได้ภายในสามวัน มันบ่งบอกถึงศักยภาพของเขาในฐานะลูกศิษย์ที่มีความสามารถ ซึ่งมันคงน่าเสียดายสำหรับเขาอยู่ภายใต้การดูแลของท่านตี้หนิวเฟิ่งผู้ที่เป็นผู้ฝึกตนคนละสายกับเขาจนไม่สามารถแนะนำสิ่งใดกับเขาได้ ในกรณีเช่นนี้มันเป็นความยุติธรรมที่เธอจะให้ความช่วยเหลือเพื่อนศิษย์ตามคำมั่นสัญญา อย่างไรก็ตาม หากเขาล้มเหลวในการบรรลุเป้าหมายนี้ ก็ไม่มีเหตุผลใดที่เธอจะต้องเสียเวลาในการสอนเขา เนื่องจากเขาอาจจะไม่เหมาะกับสิ่งนี้หรืออาจต้องไปฝึกพื้นฐานให้แน่นมาเสียก่อน
แต่การที่ชูเหลียงเรียนรู้ได้เร็วถึงเพียงนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ถ้าศิษย์ทั่วไปเจ็ดวัน ศิษย์ชั้นยอดสามวัน ศิษย์อัจฉริยะใช้เวลาเพียงวันเดียวในการเรียนรู้..
..แต่เขาใช้เวลาเพียงใดน่ะหรือ
เพียงสองครั้งเท่านั้น
มันน่าทึ่งมาก หากไม่ใช่ว่าพฤติกรรมก่อนหน้านี้ของเขาไม่เหมือนคนที่แกล้งทํา เจียงเสี่ยวไป๋อาจสงสัยว่าเขาเชี่ยวชาญในการใช้กระบวนท่านี้อยู่แล้วและกําลังหลอกลวงเธอ
ชูเหลียงสั่งการชุดกระบี่และฝึกฝนอยู่พักใหญ่ ก่อนเรียกพวกมันกลับมาด้วยความตื่นเต้น เขาลืมตาแล้วพูดว่า "ศิษย์พี่เจียง ข้าว่าข้าเริ่มชำนาญมันบ้างแล้ว"
หึ บ้างงั้นหรือ..
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า "ท่านช่างฉลาดหลักแหลมเสียจริงๆ "
ชูเหลียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากข้ามีความก้าวหน้าใด ก็ต้องขอบคุณท่าน ศิษย์พี่เจียงที่สอนอย่างตั้งใจ”
ข้าฉลาดจริงๆ เหรือ
เมื่อเขายังเด็ก เขาได้พิจารณาปัญหานี้อย่างจริงจังและเชื่อจริงๆ ว่าเขาฉลาดมาก อย่างไรก็ตาม
ต่อมาเมื่อเติบโต เขาก็รู้ตัวว่าเขาเป็นเพียงคนธรรมดาในสังคมเท่านั้น
ท้ายที่สุดแล้ว คะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเขาอยู่ในอันดับที่สามของจังหวัดเท่านั้นเอง...