ตอนที่ 52 เก็บปากไว้พูดชาติหน้าดีกว่า
ตอนที่ 52 เก็บปากไว้พูดชาติหน้าดีกว่า
“ศิษย์...ศิษย์พี่หญิงเล็ก ท่านมาได้ทันเวลาพอดี คนผู้นี้ฆ่าผู้บริสุทธิ์ไม่เลือกหน้าใต้จมูกนิกายเทียนสุ่ยของเรา ข้าเห็นเองกับตาและผู้คนโดยรอบนี้เป็นพยานได้เช่นกัน แต่ศิษย์พี่รองไม่เชื่อ ท่านรีบเกลี้ยกล่อมนางเร็วเข้า”
ฉินอวิ๋นเล่าเรื่องสั้นๆ ให้อีกฝ่ายฟัง แม้ว่าศิษย์พี่หญิงคนนี้จะไม่เหมือนศิษย์พี่หญิงคนอื่นๆ เพราะนางไม่เป็นมิตรกับเขามากนัก แต่ในฐานะผู้ดูแลเขตย่อย เขาคิดว่านางจะไม่ลำเอียงกับเรื่องแบบนี้
เขายังคงรู้จักนิสัยของศิษย์พี่หญิงเล็กเป็นอย่างดี
“ศิษย์พี่รอง เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?” เซียวอวี่ลั่วหันไปมองฉู่อิน นางละทิ้งบรรดาศิษย์พี่และอาจารย์ไว้ข้างหลังแล้วมาเป็นผู้ดูแลเขตย่อย นางมีอุดมการณ์ที่จะผดุงความยุติธรรม คนมีจิตใจดีย่อมเกลียดชังผู้กดขี่คนดี
ฉู่อินแค่ส่ายหน้าและพูดปกป้องซูอันเหมือนเดิม “คงจะมีความเข้าใจผิดกันมากกว่า”
“ซูอัน หากเจ้าเป็นลูกผู้ชายจงยืดอกยอมรับซะ!” เมื่อเห็นซูอันหลบอยู่ข้างหลังฉู่อินโดยไม่พูดไม่จา ฉินอวิ๋นจึงพูดออกมาด้วยความโกรธและมีท่าทางหยิ่งผยองเหมือนไก่ชนที่ได้รับชัยชนะ
ซูอันมองฉินอวิ๋นด้วยความเย็นชาและด้วยการโบกมือเพียงครั้งเดียว ผู้ฝึกตนในขอบเขตก่อกำเนิดที่กำลังเฝ้าดูอยู่ห่างๆ ก็มาอยู่ในมือของเขาแล้ว
“เจ้าเล่ามาว่าเมื่อครู่เห็นอะไรบ้าง เล่าให้วีรบุรุษฉินคนนี้ได้ฟังความจริงโดยละเอียด”
เมื่อถูกผู้ฝึกตนในระดับสูงกว่าหลายคนจ้องมอง จึงทำให้ผู้ฝึกตนในขอบเขตก่อกำเนิดยืนด้วยความสั่นเทา
“เมื่อครู่นี้โจรล้วงกระเป๋า...”
เขาคุ้นเคยกับโจรล้วงกระเป๋าคนนั้นดีและเขาเห็นกระบวนการทั้งหมดที่ซูอันจับโจรล้วงกระเป๋าได้ ตอนนี้เขาไม่ปิดบัง แน่นอนว่าเขาไม่กล้า
หลังจากฟังคำบอกเล่าของเขาแล้ว คนทั้งหลายก็เข้าใจสถานการณ์จริง
ฉู่อินมองฉินอวิ๋นด้วยสายตาไม่พอใจ
ดวงตาของเซียวอวี่ลั่วก็เต็มไปด้วยคำตำหนิเช่นกัน ศิษย์น้องเล็กคนนี้แยกแยะถูกผิดไม่เป็นและเกือบทำให้นางทุบตีผิดคน
“ข้า” ฉินอวิ๋นอ้าปากพูดแก้ตัว “ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ไม่ควรฆ่าเขา เพราะแม้ว่าเขาเป็นโจรล้วงกระเป๋า แต่เขายังเป็นแค่เด็ก!”
ซูอัน “...”
พูดได้ดี แต่เก็บปากไว้พูดชาติหน้าดีกว่า
ด้วยความคิดทางจิตวิญญาณ เรือเซียนอันงดงามลำหนึ่งปรากฏเหนือท้องฟ้าซึ่งอยู่ไม่ไกล ทาบทับก้อนเมฆเหมือนเกาะของเทพเซียนลอยลงมา
ในพริบตาต่อมา ลำแสงที่น่าสะพรึงกลัวฟาดลงจากท้องฟ้าด้วยความเร็วแสงและโจมตีฉินอวิ๋นโดยตรง
เสมือนเสาหยกเรืองแสงตกจากท้องฟ้าและเทพแห่งดาราลงมายังโลกมนุษย์
กลิ่นอายของการสังหารและการทำลายล้างมาบรรจบกันในลำแสงนี้
ทันใดนั้นฉินอวิ๋นขนลุกไปทั้งกาย หัวใจเต้นแรงเหมือนจะหลุดออกจากอก
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเขาระเบิดออกด้วยความเร็วที่เกินขีดจำกัดไปมาก พลังเวททั่วร่างกายพุ่งสูงขึ้นและสามารถหลบหนีจากระยะลำแสงได้ภายในเสี้ยวอึดใจเดียว
ทันใดนั้นลำแสงกระหน่ำโจมตี ราวกับดาบยาวที่เจาะทะลุท้องฟ้าถึงแกนโลก บังเกิดเสียงดังก้องไปทั่วเขตย่อย ผลพวงนี้ทำให้ฉินอวิ๋นที่เพิ่งหนีออกจากระยะลำแสงครั้งแรกต้องถอยหนีเรื่อยๆ จนล้มกลิ้งไปบนพื้นด้วยความตื่นตระหนก
สีหน้าของเซียวอวี่ลั่วเปลี่ยนไปและเริ่มใช้พลังเวทเพื่อต้านทานผลกระทบของลำแสง
แต่ผู้ฝึกตนในขอบเขตก่อกำเนิดอยู่ใกล้เกินไป เขาจึงไม่สามารถต้านทานผลกระทบได้และกลายเป็นขี้เถ้า
หากทุกคนในตลาดไม่เคยเห็นคนกลุ่มนี้เผชิญหน้ากันมาก่อนและกลัวที่จะได้รับบาดเจ็บ จึงทำให้พวกเขาอยู่ห่างๆ ตั้งแต่แรก เกรงว่าตอนนี้จะมีผู้เสียชีวิตมากกว่าหนึ่งคน แต่ซูอันไม่สนใจว่าคนเหล่านี้คิดอย่างไร
ซูอันมองไปที่ร่างของฉินอวิ๋นที่ยังรอดแล้วถอนหายใจ เจ้าหมอนี่โชคดีจริงๆ
เพราะเขาอยากใช้โอกาสนี้ทำให้ฉินอวิ๋นกลายเป็นขี้เถ้า
แต่เขาลงมือต่อไม่ได้อีก เพราะเฟิ่งหลวนปรากฏตัวขึ้นที่ขอบฟ้าจากระยะไกลแล้ว
เมื่อมองคนที่ยังตกตะลึง มุมปากของเขาจึงยกขึ้น “ฉินอวิ๋น ข้าเห็นแก่หน้าเทพธิดาเฟิ่งและอินเอ๋อร์จึงสอนบทเรียนให้เจ้าเท่านั้น แต่ถ้าเจ้ายังกล้ายั่วโทสะข้าอีก ข้าจะไม่มีวันเมตตาเจ้า!”
ฉินอวิ๋นมองซูอันด้วยความหวาดกลัว ช่วงเวลานั้นมีจุดประสงค์ที่จะปลิดชีวิตของเขาให้ได้แน่นอน หากระดับที่แท้จริงของเขาไปไม่ถึงจื่อฝู่ขั้นปลาย เขาไม่มีทางหลีกเลี่ยงการโจมตีนั้นได้เลย
ซูอันคนนี้กล้าฆ่าคนไม่กะพริบตาจริงๆ
“อินเอ๋อร์ เราไปกันเถอะ” ซูอันพูด
“อ่า อืมอืม” ฉู่อินฟื้นสติจากภาพการโจมตีกะทันหันของซูอันและเดินตามหลังซูอันไปด้วยความว่องไว นางยังถือชามเหลียงเฝิ่นอยู่ในมือและเมื่อครู่นางใช้พลังเวทเพื่อปกป้องชามเหลียงเฝิ่นด้วย
เซียวอวี่ลั่วเฝ้ามองคนทั้งสองจากไปด้วยสายตาว่างเปล่า จากนั้นความกลัวค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้าของนาง
ดูเหมือนนางจะเห็นเงาดำเมื่อยี่สิบปีที่แล้วอีกครั้ง เงาดำที่ตามหลอกหลอนนางราวกับฝันร้าย และในขณะนี้การปรากฏตัวของเงาดำในใจนางได้ซ้อนทับกับซูอัน
การปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตเหมือนมดนั้นคล้ายคลึงกับการดูถูกเหยียดหยามของพวกเงาดำ
นางเห็นชัดเจนว่าผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตอย่างน่าอนาถต่อหน้าต่อตา ทว่าตอนนี้นางไม่สามารถรวบรวมความกล้าเพื่อไล่ตามไปและตั้งคำถามกับซูอัน
การยึดมั่นในอุดมการณ์เหมือนจะไม่ทำงาน
ทั้งที่เขตย่อยนี้แทบจะสลายหายไป
……
“ท่านโหวซู เหตุการณ์ในวันนี้เป็นเพราะความเลอะเลือนของเสี่ยวอวิ๋น ข้าต้องขอโทษแทนเขาด้วย หวังว่าท่านจะไม่ถือสาเขา”
เมื่อกลับมาที่ลานบ้านได้ไม่นาน เฟิ่งหลวนพาบรรดาศิษย์น้องมาออกหน้าขอโทษแทนฉินอวิ๋น
ยกเว้นเซียวอวี่ลั่ว บรรดาศิษย์พี่หญิงของฉินอวิ๋นอยู่ที่นี่ทั้งหมด
ปากบอกว่าขอโทษ แต่ซูอันสามารถได้ยินความหมายแห่งการปกป้องจากเฟิ่งหลวน หากเขายังเอาโทษฉินอวิ๋น เฟิ่งหลวนกับศิษย์น้องหรือแม้แต่สานุศิษย์นิกายเทียนสุ่ยทั้งหมดจะลงมือกับเขาทันที
ในเวลาเดียวกัน ทัศนคติของเฟิ่งหลวนที่มีต่อเขายิ่งห่างเหินขึ้นจากเมื่อก่อน
สำหรับศิษย์พี่สามและศิษย์พี่สี่ที่ได้พบกันครั้งแรกนั้นไม่พอใจในตัวเขาแบบเห็นได้ชัด
“เทพธิดาเฟิ่งไม่ต้องกังวล ตราบใดที่ฉินอวิ๋นไม่จงใจยั่วยุข้าอีก ข้าก็ไม่ยุ่งกับเขา” ซูอันตอบรับและยิ้มเอ่ย “นอกจากนี้ข้าแค่ทำให้ฉินอวิ๋นกลัว เพราะเห็นแก่ความที่เขาเป็นศิษย์น้องของอินเอ๋อร์ ข้าจะไม่ทำร้ายเขาจนถึงแก่ชีวิต”
เฟิ่งหลวนเชื่อคำพูดของซูอัน
เพราะการโจมตีก่อนหน้านี้เกือบใช้พลังถึงระดับหยางบริสุทธิ์ หากซูอันไม่ตั้งใจออมมือ คงเป็นไปไม่ได้ที่ศิษย์น้องเล็กซึ่งอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดจะหนีพ้น
“รบกวนท่านแล้ว” เฟิ่งหลวนมองฉู่อินซึ่งยืนอยู่ด้านหลังซูอันด้วยแววตาลึกซึ้ง จากนั้นพาศิษย์น้องถอยกลับไป
ทั้งห้องเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง
“ซูอัน ขอโทษนะ ข้า...”
ฉู่อินมองซูอันด้วยความรู้สึกผิด นางไม่เสียใจแทนฉินอวิ๋น นางแค่รู้สึกผิดที่ทำให้ซูอันรู้สึกหงุดหงิด เพราะถ้านางไม่พาซูอันไปที่ตลาด เหตุการณ์นี้คงไม่เกิดขึ้น
ในสายตาของนางคือเมื่อครู่ซูอันถูกศิษย์พี่ใหญ่กดดันให้จำยอม
“ไม่เป็นไร เรื่องวันนี้ไม่โทษเจ้า” ซูอันขัดจังหวะฉู่อินและดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน
หมอนมีไว้ให้กอด
“เหลียงเฝิ่นวันนี้อร่อยมาก”
เขาโน้มตัวเข้าใกล้ใบหูของฉู่อินและใช้ริมฝีปากแตะใบหูของฉู่อินเบาๆ
ฉู่อินรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในใจ เขาช่างใส่ใจนางจริงๆ
อารมณ์แปลกๆ แล่นเข้ามาในหัวใจของนาง ความรู้สึกเช่นนี้แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับการเผชิญหน้ากับศิษย์น้องเล็ก มันเป็นความรู้สึกต่อเพศตรงข้ามที่แท้จริง
บางทีนี่อาจเรียกว่าความรัก มันดีจริงๆ และไม่น่าเบื่อเหมือนที่อาจารย์เคยบอกเลย
มือของซูอันลูบไล้ร่างกายของฉู่อินโดยไร้ความปรานี แต่ความคิดของเขายังจดจ่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้
อันที่จริงเขาพอคาดเดาได้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่จะต้องเกิดขึ้น