ตอนที่ 317 ผู้ฝึกฝนจากจักรวาลอื่น (ฟรี)
ตอนที่ 317 ผู้ฝึกฝนจากจักรวาลอื่น
ซูหยางรอคอยอย่างเงียบๆ
แต่เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เมื่อเวลาผ่านไป
นี่คือ ความรู้สึกที่มีต้นตอมาจากพลังแห่งกรรม
ซูหยางไม่สงสัยเกี่ยวกับความรู้สึกนี้ ลางสังหรณ์ของเขาไม่เคยผิดพลาด
จะมีบางสิ่งเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ใช่แค่เขาที่ต้องการเมล็ดเต๋า
เนื่องจากบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น และให้ความรู้สึกถึงวิกฤต อันตรายที่จะเกิดต้องอยู่นอกเหนือการควบคุมของเขาอย่างแน่นอน
มิฉะนั้น พลังแห่งกรรมจะไม่ส่งคำเตือนมา
ขณะนี้มีเพียงสองทางเลือกที่จะหลบเหลี่ยง หรือแก้ไขวิกฤต
เก็บเมล็ดเต๋าระดับสูงสุดไปล่วงหน้าหรือจากไป
แต่ทั้งสองวิธีนี้ไม่ค่อยดีนักในความคิดของซูหยาง
หากเก็บไปก่อนที่มันจะก่อตัวอย่างสมบูรณ์ เมล็ดเต๋าระดับสูงสุดนี้จะแทบกลายเป็นของไร้ประโยชน์
หากต้องการให้มันก่อตัวต่อ ก็ต้องค้นหาดินแดนแห่งสมบัติแห่งใหม่ และต้องสอดคล้องกับเมล็ดเต๋าชิ้นนี้ด้วย
ซูหยางไม่คิดว่าตนจะโชคดีพอที่จะหาดินแดนแห่งสมบัติแห่งใหม่ได้
ดังนั้นหากเขาเก็บมันไปล่วงหน้า อาจกล่าวได้ว่าเขาได้ทำลายเมล็ดเต๋าระดับสูงสุดนี้ด้วยมือของตัวเอง
สำหรับการจากไป ซูหยางยิ่งไม่เต็มใจมากยิ่งกว่า
ท้ายที่สุด เขาเป็นคนแรกที่พบมัน
ถ้าเขาจากไป มันก็จะตกอยูในมือของคนอื่น?
เขาจะยอมให้มันเป็นแบบนั้นได้ยังไง?
ซูหยางจึงตัดสินใจอยู่ต่อ และดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ท้ายที่สุด นี่เป็นเพียงร่างโคลน แม้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เขาก็ไม่ได้สูญเสียอะไรมากมายนัก
ลางสังหรณ์ถึงวิกฤตไม่ได้หมายถึงความตายเสมอไป
เพียงแต่สถานการณ์ที่เขาต้องเผชิญจะอยู่นอกเหนือการควบคุมของเขา
เช่นนั้น ซูหยางก็อยู่ที่นี่ รอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เวลานี้ผ่านไปถึงสองชั่วโมง
หากไม่มีอะไรเกิดขึ้นในอีกหนึ่งชั่วโมง เมล็ดเต๋าระดับสูงสุดนี้ก็จะตกเป็นของเขา
ซูหยางตั้งตารอ
แต่สิ่งที่ต้องเกิด ไม่ว่ายังไงก็ต้องเกิด
ไม่มีทางที่จะหลบเลี่ยงไปได้
หลังจากนั้นไม่นาน มีร่างๆ หนึ่งตัดมิติ และปรากฏตัวต่อหน้าเขา
หัวใจของซูหยางเต้นรัว ตัดมิติในมิติโกลาหล อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ต้องเป็นปราชญ์
อย่างไรก็ตาม การที่จะทำให้เขารู้สึกถึงอันตราย และรู้สึกทำอะไรไม่ถูกได้นั้นทำได้ การที่อีกฝ่ายเป็นปราชญ์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ไม่มีกึ่งปราชญ์คนใดทำให้รู้สึกถึงอันตรายได้?
หลังจากที่อีกฝ่ายมาถึง เขาก็สังเกตเห็นซูหยางอย่างชัดเจน
“กึ่งปราชญ์ขั้นสูงสุด?”
“ออกไปซะ สิ่งนี้ไม่ใช่ของเจ้าที่จะครอบครองได้”
หลังจากที่มาถึง เขาก็หยาบคายมาก ฐานการบ่มเพาะของเขาสูงกว่าของซูหยาง จึงไม่จำเป็นต้องสุภาพ
นี่คือโลกแห่งการบ่มเพาะ ที่ซึ่งทรัพยากรถูกต่อสู้แย่งชิงมาโดยตลอด และไม่มีความสุภาพใดๆ
การแข่งขันนั้นขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่ง!
หากไม่แข็งแกร่งพอก็ต้องอดทน!
หัวใจของซูหยางจมลง และเขาก็ไม่มีความสุขอย่างยิ่ง
เขาไม่ค่อยมีประสบการณ์กับการถูกสะกดข่ม และถูกวางกรามใส่
แต่เขาก็รู้ด้วยว่ามันไร้ประโยชน์ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรออกไปก็ตาม
ด้วยทัศนคติของอีกฝ่าย มันคงเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะได้รับเมล็ดเต๋าระดับสูงสุดนี้
ซูหยางจึงหันหลังกลับ และวางแผนที่จะจากไป
"เดี๋ยว"
โดยไม่คาดคิด อีกฝ่ายพูดขึ้นอีกครั้ง และดวงตาของเขาก็ค่อยๆ ส่องกระกายด้วยเจตนาร้าย
“เจ้าไม่พอใจงั้นเหรอ?”
ทันใดนั้น ซูหยางก็หัวเราะด้วยความโกรธ "ข้าพบมันก่อน แล้วเจ้าปล้นมันไปจะให้ข้ามีความสุขอยู่ได้ยังไง"
“ก็จริง เจ้าพูดถูก เจ้าไม่ควรมีความสุข แต่การที่เจ้าแสดงท่าทีแบบนี้ต่อหน้าข้า มันทำให้ข้ารู้สึกไม่ชอบใจ”
“ถ้าเจ้าไม่แข็งแรงพอ ก็จงเก็บหางไว้ให้ดีแล้วไสหัวไปซะ พ่อแม่ของเจ้าไม่ได้สอนเรื่องนี้งั้นเหรอก่อนที่เจ้าจะออกจากจักรวาล?”
“หรือเจ้าคิดว่าจะทำอะไรก็ได้เพียงเพราะเป็นร่างโคลน?”
ปราชญ์คนนี้สามารถผ่านความลับบางส่วนของซูหยางได้อย่างรวดเร็ว
“ก็จริง นี่เป็นเพียงร่างโคลน ดังนั้นข้าจึงไม่มีอะไรต้องกลัว”
"เจ้าจะทำอะไรข้าได้"
“เพียงเพราะข้าไม่อยากขัดแย้งกับเจ้าไม่ได้หมายความว่าข้ากลัวเจ้า”
“ข้าไม่คัดค้านความจริงที่ว่าผู้แข็งแกร่งที่สุดเป็นผู้ชนะ ครั้งนี้เจ้าชนะ แต่ครั้งหน้าก็ยังไม่แน่หรอก”
ดวงตาของซูหยางคมเหมือนดาบ และเขาก็เผชิญหน้ากับอีกฝ่ายโดยไม่เกรงกลัว
ครั้งหน้าที่ได้พบกัน เขาจะให้อีกฝ่ายชดใช้เรื่องในวันนี้ด้วยชีวิต
"น่าสนุกดีนี่"
“มิติโกลาหลนั้นไร้ขอบเขต เจ้าคิดว่าจะตามหาข้าเจองั้นเหรอ?”
หลังจากที่ชายคนนี้กล่าวจบ เขาก็เปิดการโจมตีใส่ซูหยาง
ภายใต้พลังทำลายล้าง ร่างโคลนของซูหยางก็ระเบิด
โลกต้าเซี่ย
ซูหยางยิ้มเล็กน้อย
อีกไม่นานเขาจะกลับไปแก้แค้น!
หลังจากการคิด ร่างโคลนใหม่ก็ควบแน่น และด้วยความช่วยเหลือของเส้นทางโกลาหล ซูหยางก็กลับเข้าสู่มิติโกลาหลอีกครั้ง
…
ในชั่วพริบตา หนึ่งปีผ่านไปนับตั้งแต่เริ่มสงครามอมตะ
ในเขตสงครามที่ 97 ผู้ฝึกฝนจำนวนมากกำลังรอการสิ้นสุดของด่านแรก
เมื่อถึงช่วงเวลาสุดท้าย ทุกคนก็หยุดสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่
โจวเทียนหยู่มองไปที่สวี่จู๋ "สหายซูยังหลอมรวมรากจิตปราชญ์ไม่เสร็จอีกหรอ หรือเขาไม่คิดจะหลอมรวมเข้ากับมัน ว่ากันว่าสิ่งนั้นสามารถหลอมรวมได้อย่างง่ายดาย"
สวี่จู๋ส่ายหัว "ข้าก็ไม่แน่ใจ จนถึงตอนนี้ยังไม่มีข่าวคาวใดๆ เกี่ยวกับตัวเขา บางทีเขาอาจจะกำลังยุ่งอยู่กับอะไรบางอย่าง แต่ไม่ว่ายังไง วิธีการฝึกฝนของเขาดูเหมือนจะพิเศษเล็กน้อย และแตกต่างจากของเรา"
โจวเทียนหยู่พยักหน้าหลังจากได้ยินสิ่งนี้ "นั่นก็จริง แต่ตอนนี้ด่านที่สองของสงครามอมตะกำลังจะมาถึงแล้ว ในเวลานั้น เขตสงครามเราจะถูกรวมเข้ากับเขตสงครามอื่นๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในช่วงแรกย่อมมีการต่อสู้ครั้งใหญ่ ไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาทันหรือไม่?”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ สวี่จู๋ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ใกล้ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแล้ว แต่ตอนนี้เขาไม่มีข่าวใดๆ เกี่ยวกับซูหยางอย่างเห็นได้ชัด
แม้อีกฝ่ายจะไม่ติดต่อกลับ แต่ก็ควรรู้เรื่องนี้
อันที่จริง เขาไม่แน่ใจเล็กน้อย โดยคิดว่าซูหยางอาจไม่ปรากฏตัว เขาไม่รู้ว่าทำไม แต่เขาแค่รู้สึกอย่างนั้น
เมื่อเห็นว่าสวี่จู๋ไม่ได้พูดต่อ ทุกคนก็เงียบเสียงลง
หลังจากรอมาระยะหนึ่ง ในที่สุดโลกเซียนเว่ยก็มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่
"ถึงเวลาแล้ว……"
โจวเทียนหยู่พึมพำ และมองขึ้นไปบนฟ้า และคนอื่นๆ ก็ทำเช่นเดียวกัน
ในขณะนี้ รอยแตกมากมายปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือเขตสงครามที่ 97 รอยแตกเหล่านี้ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว และในไม่ช้าก็เติมเต็มท้องฟ้าทั้งหมด
ในเวลาเดียวกันก็มีเสียงหนึ่งดังก้องอยู่ในจิตใจของพวกเขา
[ สงครามอมตะด่านแรกสิ้นสุดลงแล้ว และฝ่ายที่ชนะในแต่ละเขตสงครามจะได้เข้าร่วมการต่อสู้ในด่านต่อไป ]
[ จำนวนถ้ำมารที่ชนะคือ 397 แห่ง ]
[ จำนวนแดนอมตะที่ชนะคือ 103 แห่ง ]
[ ต่อไปจะลดลงเหลือ 100 เขตสงครามภายใต้อัตราส่วนสี่ต่อหนึ่ง ]
[ กำลังจัดระเบียบ… ]
[ เขตสงครามที่ 97 เขตสงครามที่ 107 เขตสงครามที่ 36 เขตสงครามที่ 54 และเขตสงครามที่ 603 รวมกันเป็นเขตสงครามที่ 97 ใหม่ ]
เมื่อเสียงจางหายไป ทั้งโลกก็เริ่มสั่นสะเทือน สวี่จู๋ โจวเทียนหยู่ และคนอื่นๆ รีบพยายามทรงตัวให้มั่นคง
เพียงแต่ว่าในระหว่างกระบวนการนี้ พวกเขาคิดถึงสิ่งต่างๆ มากมาย การผสานเขตสงครามเช่นนี้แย่มากสำหรับพวกเขา
ตามคำกล่าวของจิตสำนึกแห่งจักรวาล อัตราส่วนที่ใช้ในครั้งนี้สำหรับการผสานคือ สี่ต่อหนึ่ง นั่นคือเขตสงครามที่ฝ่ายเทพมารได้รับชัยชนะ 4 แห่งจะมารวมกับเขตสงครามที่ฝ่ายพวกเขาได้รับชัยชนะ 1 แห่ง หากคิดจากก่อนนี้ที่จำนวนเทพมารมากกว่าจำนวนผู้ฝึกฝนอยู่แล้ว การผสานรวมเช่นนี้จะทำให้ยิ่งแย่เข้าไปอีก
จำนวนเทพมารจะมากกว่าพวกเขาอย่างน้อยสิบเท่า ซึ่งนั้นยังเป็นการประมาณการในแง่ดี
หลังจากเข้าใจสถานการณ์ โจวเทียนหยู่ สวี่จู๋ และคนอื่นๆ ก็อารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก
พวกเขาทั้งหมดรู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อยจากสถานการณ์นี้ แต่ก็ไม่อาจโต้แย้งใดๆ ได้
แต่เมื่อพวกเขาตกอยู่ในความสิ้นหวัง จู่ๆ ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในใจพวกเขา และนั่นคือซูหยาง
ถูกต้อง!
เมื่อเผชิญหน้ากับเทพมารที่มากกว่าหลายสิบเท่าในเวลาเดียวกัน พวกเขาไม่มีทางเอาชนะได้
ไม่มีความหวังเลยก็ว่าได้
แต่พวกเขายังมีซูหยาง นี่คือความหวังของพวกเขา!
ตราบใดที่ซูหยางกลายเป็นปราชญ์ และยังคงสามารถในการควบแน่นร่างโคลนได้อย่างไร้ที่สิ้นสุด การต่อสู้ครั้งนี้อาจจะสามารถพลิกผันได้
นี่เป็นเป็นการคาดเดาในแง่ดี ในความคิดของพวกเขา แม้ว่าซูหยางจะกลายเป็นปราชญ์ อีกฝ่ายก็คงไม่สามารถควบแน่นร่างโคลนระดับปราชญ์ได้อย่างใจนึกเหมือนแต่ก่อน ความแตกต่างระหว่างกึ่งปราชญ์ และปราชญ์ไม่ใช่น้อยๆ
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่างน้อยพวกเขาก็มีปราชญ์ที่แข็งแกร่งคอยช่วย ดังนั้นจึงยังมองเห็นความหวังที่จะชนะอยู่
ตราบใดที่หลังจากผสานรวมกับถ้ำมารอีก 4 แห่งแล้วไม่มีเทพมารระดับปราชญ์อยู่ พวกเขาก็จะไม่เสียเปรียบมากนัก
ตอนนี้พวกเขาทำได้เพียงอธิษฐานเท่านั้น