เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 23
เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 23
ศูนย์ให้คำปรึกษาการรับเข้าเรียนนั้นแออัดไปด้วยผู้คน แต่สำนักงานรับสมัครนั้นเงียบเชียบ นักเรียนแต่ละคนก็ค่อยๆเข้าพบกับผู้ให้คำปรึกษา
ผู้ให้คำปรึกษาบอกว่าที่ เธอมาอยู่กันที่นี่ก็เพราะเราบอกว่า มีเงินพอที่ใช้จ่ายค่าเล่าเรียน แต่แววตาพวกเขาที่มองไดบันก็มองอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก
“เอ่อ …. อาจจะฟังดูหยาบคายไปหน่อยนะคะ แต่ดิฉันขอถามอะไรบางอย่างได้ไหมคะ ?”
“ได้ เชิญเลย”
ไดบันนั้นตัวแข็งทื่อไปแล้ว ผมเลยขอตอบแทน ผู้ให้คำปรึกษาก็ยังคงแสดงที่ท่ากึ่งขอโทษ
“มีหลายคนค่ะที่จ่ายค่าเล่าเรียนได้แค่เพียงเทอมแรกเทอมเดียว … พวกนั้นตั้งใจจะเข้ามาในโรงเรียนตั้งแต่แรก ….”
มันเป็นเรื่องจริงที่เงิน 50 โกลด์นั้นเป็นเงินก้อนใหญ่ แต่หากพยายามรวบรวมทุกอย่างที่มีก็เป็นเงินจำนวนก้อนที่หลายคนก็ยังพอหามาได้
ก็เลยมีหลายคนที่จ่ายเงินเฉพาะเทอมแรกอย่างเดียว แล้วมันยังไงต่อล่ะ?
“คุณไม่ทำแบบนั้นได้ไหมคะ ?”
หากเราทำแบบนั้นไม่ได้แปลว่า แผนที่เราวางไว้มันล่มไปเลยสินะ ? ผู้ให้คำปรึกษายังถามด้วยความเคารพอยู่
เป็นไปได้ว่านี่อาจเป็นนิสัยที่เกิดขึ้นจากการได้พบเด็กชนชั้นสูงมากมาย
“เรื่องที่ว่าหากคุณไม่มีเงินพอจ่ายค่าเล่าเรียนในเทอมต่อๆไปและเทอมต่อๆไป … ก็มีกฏอยู่ที่จะขับไล่คนพวกนั้นออกไปแต่ทว่า ….”
“แปลว่า ถ้าข้ามีเงินไม่พอสำหรับค่าเทอมถัดไป ข้าจะไม่สามารถสมัครได้สินะ ?”
“ใช่ค่ะ , ตามกฏแล้วเป็นอย่างนั้น ถึงจะฟังดูไม่มีเหตุผลที่ต้องทำแบบนั้นแต่ทว่า …. ก็ไม่ใช่นักเรียนทุกคนนะคะที่จะเป็นแบบนั้น ….ซึ่งบางครั้งก็มีอยู่จริงๆค่ะ”
อะไรกันเนี่ย ?
มันมีเซตติ้งหรือสิ่งแวดล้อมที่ผมไม่ได้เป็นคนเขียนขึ้นมาเองด้วยเหรอเนี่ย ?
ผู้ให้คำปรึกษาลังเลที่จะบอก
“พวกเขาน่ะจ่ายแค่ค่าเล่าเรียนเทอมแรกจากนั้นก็ … ก็พยายามสร้างความสัมพันธ์กับ เด็กคนอื่นๆที่มีฐานะดีในช่วงระหว่างเรียน …. จากนั้นก็ไปขอให้พวกเขาเหล่านั้นช่วยจ่ายค่าเล่าเรียนเทอมต่อไปให้ ….มันมักจะเป็นแบบนั้นล่ะค่ะ”
อ้อ ผมรู้แล้วว่าเขากำลังพูดถึงอะไร
“เด็กพวกนั้นก็ไปร้องไห้บอกกับพ่อแม่ว่าเพื่อนสนิทของพวกเขาต้องออกจากวิหารไปเพราะไม่มีเงิน …. มีพ่อแม่บางส่วนที่ยอมรับฟังพวกเขาแต่ … มันก็ทำลายภาพลักษณ์ของวิหารในหลายๆทางเลยค่ะ….”
ถึงแม้ว่า วิหารจะคิดค่าเล่าเรียนแพงแต่มันก็ถือว่า เป็นอะไรที่เล็กน้อยมากสำหรับพวกมั่งคั่งร่ำรวยจัดๆ
ในวิหารนั้น เป็นสถานที่ที่ชนชั้นสูง สามัญชนและราชวงศ์มาอยู่ด้วยกัน มีบ้างที่จะเกิดความสัมพันธ์ข้ามชนชั้นขึ้นมา ดังนั้นแล้วพวกเด็กๆที่เข้ามาในเทอมแรกนั้นก็หวังจะสร้างความสัมพันธ์แบบนั้นบ้าง ถึงแม้พ่อแม่ส่วนมากจะยอมทำตามนั้นก็เถอะ
และมันไม่ใช่แค่เรื่องหวังจะให้อีกฝ่ายจ่ายค่าเล่าเรียนให้อย่างเดียว พวกเขาก็ต้องคำนวนถึงความคุ้มค่าในการที่จะมีเพื่อนรวยๆด้วยเช่นกัน
พวกเด็กๆเองก็ต้องโมโหมากที่เพื่อนตัวเองต้องออกไป ต้องพ่อแม่ก็จะหันมาโทษวิหารว่า ทำไมถึงได้ปล่อยให้พวกขอทานแบบนั้นมาวุ่นวายอยู่ในสถานศึกษาได้
ผมไม่เคยคิดเรื่องเซตติ้งของวิหารนี้มาก่อนเลย และแหงล่ะ การสมัครเรียนระยะสั้นแบบนั้นก็เป็นหนึ่งในวิธีเหมือนัน
มันทั้งน่าตลก น่าเศร้าและน่ารังเกียจเหลือเกินที่ผมคิดไม่ถึงในเรื่องนั้น !
“แล้วก็จะเป็นปัญหาตามมาค่ะ พวกเราเลยตัดสินใจจะไม่รับเด็กที่พ่อแม่ไม่สามารถ สนับสนุนการเงินมากพอจะเรียนในวิหารไปได้สักพัก …. และอีกปัญหาก็คือการที่เด็กออกตั้งแต่เทอมแรก นักเรียนที่ใกล้ชิดสนิทสนมกันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น ….”
จากจุดยืนของวิหารก็ถือว่าเข้าใจได้แหละ
การเปลี่ยนเพื่อนร่วมชั้นนำมาซึ่งบาดแผลทางจิตใจ ทำให้นักเรียนคนนั้นพยายามไปขอร้องนักเรียนคนอื่นอีก…. หากผมเป็นวิหารผมก็คงใช้นโยบายแบบเดียวกันนั่นแหละ
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะผมก็วางแผนที่จะพัฒนาพรสวรรค์ตัวเองหลังจากเข้าโรงเรียน ไม่ได้หวังจะเป็นนักเรียนทุนถาวรเสียที่ไหนกันล่ะ
แต่อีกฝ่ายไม่น่าจะเชื่อผมแน่ๆต่อให้ผมพูดแบบนั้นไป
ไม่ใช่ว่าเส้นทางของผมมันโดนปิด นับตั้งแต่ตอนที่ผมบอกว่า ตัวเองเป็นผู้สืบทอด โรตารี่แก๊งใต้สะพานบรอนซ์เกทแล้วรึไงเนี่ย ?
กลายเป็นว่า ผมอาจจะมีโอกาสที่มากกว่าด้วยซ้ำหากผมมาพร้อมกับซาร์เคการ์
“สิ่งที่คุณจะต้องเตรียมคือ เอกสารที่พิสูจน์สถานะทางการเงินค่ะ ซึ่งเราก็จะใช้เวลาในการอ่านดู…. แล้วดูเหมือนคุณจะไม่มีเวลาแล้วนะคะ”
ผู้ให้คำปรึกษานั้นพูดไล่เราสองคนอย่างสุภาพ
อย่างไรก็ดีผมไม่รู้สึกแย่สักเท่าไหร่นัก
เจ้าชายปีศาจที่ไม่สามารถเข้าไปเรียนในวิหารได้เพราะมีเงินไม่พอ ทีแรกเรามาที่นี่ด้วยความมั่นใจว่า จะเข้าไปเรียนได้อย่างง่ายดาย
แล้วก็กลายเป็นว่าแทบจะอยากกราบกรานขอร้องให้เอาพวกเราเข้าไปที
ไดบันก้มหัวลงราวกับทำความผิด ไม่เอาสิ แค่นายไม่มีเงิน นายก็อย่าทำแบบนั้น มันไม่ใช่ความผิดของนายเลย สหายเอ๋ย
ผมควรจะทำยังไงดีนะ ?
ผมไม่คิดว่า ตัวเองสามารถก้าวข้ามอุปสรรคนี้ไปได้
โรตารี่แก๊งเองก็มีผู้คนมากมายเกินไปจนยากจะพิสูจน์สถานภาพทางการเงิน
ดังนั้นมีความเป็นไปได้ที่จะขอยืมเงินกิลด์โจร แต่เรื่องนั้นมันบ้าเข้าไปกันใหญ่เพราะนั่นยิ่งเป็นหลักฐานว่า ผมมีเส้นสายกับองค์กรอาชญากรรม
อย่างที่คิดไว้จริงๆ ทางเลือกอย่างเดียวคือ ผมต้องเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกอีกแล้ว แล้วก็รับบัตรประชาชนใหม่ในฐานะบุตรบุญธรรมของซาร์เคการ์
“เฮ่อ , นี่ไม่มีอะไรที่ข้าทำได้แล้วเหรอเนี่ย ….”
“หรือเราควรที่จะไปตรวจสอบอะไรสักอย่างดูก่อน ?”
ตอนที่ผมลุกขึ้นมา ไดบันก็เหม่อพูดเพ้ออะไรสักอย่าง
ตรวจสอบเหรอ ? ตรวจสอบอะไรน่ะ ?
“ตรงนั้นมีการตรวจสอบอยู่….”
ไดบันกลับแสดงสีหน้าสิ้นหวังออกมา
“เขาอาจเป็นอัจฉริยะ หรือมีพลังเหนือธรรมชาติก็ได้ มันเป็นไปได้ไม่ใช่เหรอ ? หรือการตรวจสอบคุณสมบัตินั่นต้องใช้เงินด้วย ?”
ไม่สิ , หมอนี่มันเป็นบ้าอะไร
ผู้ให้คำปรึกษาก็ดูงงๆกับสิ่งที่อยู่ๆไดบันพูดออกมา
“เอ่อก็มีแหละค่ะ พวกเราสามารถตรวจสอบให้ได้ แต่เป็นที่สำนึกงานให้คำปรึกษาไม่ใช่สำนักงานรับเข้าเรียนค่ะ ….แล้วการตรวจสอบคุณสมบัติก็ไม่ต้องเสียเงินด้วยค่ะ…. ถึงอย่างนั้น โอกาสที่เด็กคนหนึ่งจะมีพรสวรรค์มันน้อยมากๆนะคะ เด็กส่วนมากไม่มีพรสวรรค์สักอย่างด้วยซ้ำ …….”
สิ่งที่ผู้ให้คำปรึกษาพูดน่ะเรื่องจริงนะ
ผมไม่ได้มีพรสวรรค์อะไรนักหรอก
สิ่งที่ไดบันแนะนำด้วยสีหน้าสิ้นหวัง ถือว่าหมดหวังเสียด้วยซ้ำ
“อะ,เออนี่ เราไปจากที่นี่กันเถอะน่า ไดบัน”
“ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ใช่ไหม มันใช้เวลานานแค่ไหนในการทดสอบ ? นานมากไหม ?”
“เอ่อ ….ไม่นานหรอกค่ะ คุณแค่ต้องไปแตะที่ตัวสแกนร่างกาย … แต่คุณไม่ควรมาทำที่นี่นะคะ ….”
ผู้ให้คำปรึกษาดูจะอึดอัดกับการที่อยู่ๆไดบันก็ฮึดขึ้นมา พวกเธอมองสลับไปมาระหว่างผมกับไดบันก่อนจะถอนใจเป็นพักๆ
“โอเคค่ะ , ถ้าอย่างนั้นขอเชิญทั้งสองท่านมาทางนี้ค่ะ ….”
ผู้ให้คำปรึกษาคุ้ยข้าวของในห้องให้คำปรึกษาแล้วหยิบอุปกรณ์เวทย์มนตร์มาแล้วพูดว่า :
“ใช้เวลาไม่นานหรอกค่ะ” เครื่องสแกนกายภาพ หรือพูดภาษาง่ายๆก็คือ มันคือ มิเตอร์วัดพรสวรรค์และสเตตัสนั่นเอง
พวกเขาจะสามารถตรวจสอบอบิลิตี้และ พรสวรรค์โดดเด่นของคนๆหนึ่งด้วยเจ้าสิ่งนี้
มันก็เป็นเซตติ้งที่แสนสะดวกยังไงล่ะ ก็ถ้าไม่ใส่อะไรแบบนี้ชีวิตมันก็ยากไปใช่ไหมล่ะ ?
ผมไม่ได้ใส่รายละเอียดอะไรเยอะหรอก ใส่ให้มันกำกวมๆเข้าไว้ ขอแค่มีหน้าต่างสเตตัสก็พอ
แบบนี้ไง เพื่อให้ดูแล้วรู้ได้ในทันทีว่าตัวละครตัวนี้น่ะแกร่งแค่ไหนยังไงล่ะ !
หน้าต่างสเตตัสนั้นจะแสดงค่าความแข็งแกร่งเป็นตัวเลข
ถ้าไม่มีแล้วผมก็ต้องแสดงความแข็งแกร่งของตัวละครผ่านเหตุการณ์แทน
ผมก็ต้องอธิบายประมาณว่า
“ก่อนที่ข้าจะเคยทำนั่น ทำนี่มาก่อนได้นั้น ข้าทำมันไม่ได้มาก่อนน่ะ แล้วตอนนี้ข้าก็รู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นแล้ว”
แบบนั้นมันน่ารำคาญและยากเกินไป๊
ค่าพลังโจมตีเพิ่มขึ้น 1000!
เห็นป่ะ เขียนอย่างง่ายเลย ? ผมล่ะโคตรชอบมันเลยล่ะ
เอาเถอะ ยังไงสิ่งที่ไดบันตั้งใจทำอยู่ตอนนี้ก็ไร้ความหมายอยู่ดี
“ข้าไม่คิดว่ามันมีค่าให้ทำนะ ไดบัน”
“ก็ในเมื่อไม่มีอะไรให้เสียแล้ว ก็ลองทำดีกว่าน่า ยังไงก็ไม่เป็นอะไรอยู่แล้วนี่ ?”
ดูเหมือนไดบันอยากที่จะให้ผมทดสอบดูเพราะมันฟรีไม่เสียตัง
ดูเหมือนเขาคิดว่า ผมอยากจะเข้าวิหารมากๆเลย ผมน่ะยังไงก็ได้แต่ไดบันน่ะไม่รู้เรื่องนั้นหรอก
เขาก็แค่คิดถึงผม เขาเป็นคนจิตใจดีแบบนั้นแหละ
ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้แปลว่า จู่ๆผมจะมีพรสวรรค์ขึ้นมาเสียเมื่อไหร่
“คุณแค่วางมือไว้บนตัวสแกนแล้วรอหนึ่งนาทีค่ะ”
เพื่อที่จะตรวจสอบพรสวรรค์ของผม ผมก็ต้องวางมือบนลูกแก้วคริสตัล
พรสวรรค์ของผมก็จะฉายออกมาบนแท็ปเล่ทที่เป็นอุปกรณ์เวทย์ที่ผู้ให้คำปรึกษาถืออยู่
ผมน่ะไม่มีพรสวรรค์อะไรพวกนั้นหรอกน่า
ไม่ใช่ว่า พวกนั้นตรวจดูแล้วพบว่า ผมเป็นปีศาจใช่ไหม ?
หรือเห็นสกิลบัญชาการปีศาจใช่ปะ ?
ผมไม่คิดอย่างนั้นหรอก ถึงยังไงผมก็สวมแหวนของซาร์เคการ์อยู่
สกิลบัญชาการปีศาจนั้นเป็นยูนีคสกิลของเผ่าอาร์คเดม่อน ซึ่งมันจะโดนปิดผนึกไปในทันทีที่ใช้แหวน
ซึ่งมันเป็นอบิลิตี้ที่ผมใช้ในเฉพาะตอนอยู่ในร่างวาเลียร์เท่านั้น
เอาล่ะ ถ้ามันไม่รอด ผมก็แค่ถอดแหวนออกแล้วกลับไปคิดหาวิธีเปลี่ยนภาพลักษณ์ตัวเองใหม่ คราวหน้า
เอ้อ เอาแบบนั้นแหละ
“……หืมมม ?”
ผู้ให้คำปรึกษาอยู่ๆก็หันมาแตะๆบนแทปเล่ท ทำไมเหรอ iPad ใช้งานไม่ได้ตามปรกติเหรอไง ?
“เจออะไรเข้าเหรอ?”
พอไดบันถาม พวกเขาก็ส่ายหัว
“เอ่อ ….ขออภัยด้วยค่ะ แต่ดูเหมือนมันจะพัง ไอเทมชิ้นนี่ไม่ค่อยได้ใช้มานาน”
เขาเลยออกจากห้องให้คำปรึกษาไปเพราะเหมือนไม่รู้ว่าเครื่องมือมันทำงานยังไง คงเพราะพวกเขาน่ะถนัดกับการรับมือกับคนรวยมากกว่าล่ะมั้ง
แต่ผมเองก็ไม่ได้มีประสบการณ์เรื่องการตรวจสอบพรสวรรค์เหมือนกัน พวกเขาก็เลยกลับมาพร้อมเครื่องมืออันใหม่
“ไม่ใช่ว่าพวกเขาเจออะไรเหรอ ?”
ผมส่ายหัวปฏิเสธความคาดหวังของไดบัน
“ไม่มีทาง”
ผมเช็คสเตตัสตัวเองอีกที แต่ก็ไม่เห็นพรสวรรค์สักอันขึ้นมา
ผมรู้สภาพตัวเองดียิ่งกว่าเครื่องมือเวทย์มนตร์ใดๆอีก
“ฉันเอาเครื่องใหม่มาแล้วค่ะ ตรวจสอบดูแล้วมันใช้งานได้ตามปรกติ คราวนี้ใช้ได้แน่ๆค่ะ”
ดูเหมือนผู้ให้คำปรึกษาจะเหนื่อยมากขึ้นเรื่อยๆเป็นเพราะต้องมาทำงานเพิ่มให้กับคนที่ไม่มีพรสวรรค์อะไรทั้งนั้น
คราวนี้ผมก็วางมือลงลูกแก้วคริสตัลที่เพิ่งมาใหม่
คราวนี้ผู้ให้คำแนะนำพูดไม่ออก
“อะไรกัน …. มันเสียอีกแล้วเหรอ ?”
“อ่า ….”
คราวนี้ผู้ให้คำปรึกษาขมวดคิ้ว
“แปลกจริงๆ ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน”
เป็นไปได้ว่า ที่พวกนั้นอึ้งๆกันอยู่ก็เลยพูดแบบปกติ
“มันเป็นอะไรที่แตกพังง่ายเหรอ ?”
“ไม่ค่ะ ,มันไม่ใช่เรื่องอุปกรณ์ที่ซับซ้อนขนาดนั้น”
เหมือนไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นเธอก็เลย แสดงผลหน้าจอบนแท็กเล่ทนั่นให้กับไดบันดู
ผมควรจะเรียกว่าเป็นหน้าจอดีไหมนะ ? มันยังคงกระพริบอยู่นั่นแหละ
ผมเลยอยากรู้ว่า เหมือนกันว่า ตัวละครนี้มันเป็นยังไง แล้วทำไมหน้าจอมันเอาแต่กระพริบแบบนี้เนี่ย
นี่มันพรสวรรค์แบบไหนกันนะ ?
หรือพรสวรรค์ผมคือ การทำให้เครื่องพังงั้นเหรอ ?
มันจะดีกว่ามั้ง ถ้าผมไม่ได้มีพรสวรรค์แบบนั้นน่ะ ?
เพราะมันเป็นหนึ่งในพรสวรรค์ที่เฮงซวยที่สุด ในบรรดาพรสวรรค์ที่ผมเคยได้ยินเลยล่ะ !
มันแย่ระดับเดียวกับหายนะในห้องครัว ระดับที่ว่าสู้ไม่มี ไม่ใช้เลยดีกว่า แต่พอพูดถึงแล้ว ผมว่าเหมือนมันออกจะล้าสมัยเกินไปแล้วมั้ง ไอ้แก๊กมุขแบบนั้นอะ !
อย่ามาให้พรสวรรค์ผมแบบนั้นสิฟะ !
ผู้ให้คำปรึกษาถามขณะที่ผมวางมือลงบนคริสตัล
“……ดูเหมือนอุปกรณ์จะใช้งานได้ปกติดีนี่คะ”
แล้วผู้ให้คำปรึกษาก็หันไปถามไดบันว่า เขาเคยวัดพรสวรรค์มาก่อนหรือเปล่า แล้วก็บอกให้คราวนี้เขาลองเอามือแตะดูบ้าง
“เห็นได้ชัดเจนแล้วว่า เครื่องมือไม่ได้เสีย”
หน้าจอกระพริบถี่ๆนั่นเห็นชัดเลยว่า มีผมเป็นต้นเหตุ
ผู้ให้คำปรึกษาขอให้ผมเอามือวางที่คริสตั้ลอีกรอบ
“คราวนี้แค่วางมือไว้แค่สักนาทีนึง”
“อืม”
นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย ?
ผมวางมือตามที่เขาบอก เพียงแค่เสี้ยววินาทีตามนั้น ผมที่ได้คือ หน้าจอแท้ปเล่ทกระพริบอย่างบ้าคลั่ง
ไม่นานนัก ผู้ให้คำปรึกษาคนนั้นก็อ้าปากค้างไม่พูดอะไรออกมา
“อะไรกัน ….ฉันว่าฉันรู้แล้วค่ะ กรณีนี้น่ะ … มันเคยเกิดขึ้นมาก่อนก็จริง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นเรื่องแบบนี้”
“หมายความว่ายังไง ?”
ไดบันเข้าไปใกล้กับผู้ให้คำปรึกษาที่แสดงสีหน้าตกใจบนใบหน้า
“มีหลายกรณีค่ะที่ตัวอย่างผู้รับการทดสอบจะไม่ได้แสดงถึงพรสวรรค์ที่จำเพาะเจาะจง หากแต่เป็น ‘ความถนัด’
ตัวอย่างเช่น พวกความสามารถที่ไม่มากพอจะพัฒนากลายเป็นพรสวรรค์ หากผู้รับการทดสอบนั้นพยายามมากพอก็สามารถที่จะโดดเด่นในด้านนั้นได้ …. มันเป็นคอนเส็ปประมาณครึ่งหนึ่งของพรสวรรค์นั้นแหละค่ะ ”
“ความถนัด ?”
อ้อ , ผมรู้แล้วว่ามันคืออะไร
“ตัวอย่างก็เช่น ,หากใครคนหนึ่งมีความถนัดในการใช้ดาบ ก็ย่อมดีกว่าหากคนๆนั้นได้ไปฝึกดาบแทนที่จะไปฝึกหอกหรือฝึกธนู
แล้วถ้าคนๆนั้นยังทำการฝึกฝนเรียนรู้ดาบต่อไป คนๆนั้นก็จะโดดเด่นเก่งกาจในด้านนั้นยิ่งกว่าบุคคลที่มีพรสวรรค์ในด้านนั้นเสียอีก ถึงแม้มันจะไม่ใช่พรสวรรค์ก็ตาม ”
“มันหมายความว่าอย่างนั้นเองเหรอ ?”
ไดบันถึงกับตื่นเต้นขึ้นมา
“เครื่องนี้ไม่ได้อ่านได้แต่พรสวรรค์อย่างเดียวค่ะ แต่มันยังสามารถดูได้ด้วยว่า ผู้เข้ารับการทดสอบนั้นมีความถนัดในด้านไหนบ้าง
มันก็เลยมีบริการแบบนี้ในสำนักงานให้คำปรึกษา …
ต่อให้เด็กคนนั้นไม่มีพรสวรรค์ พวกเขาก็จะบอกให้รู้ถึงความถนัดที่เด็กคนนั้นมี
และมันก็หาได้ยากมากเหมือนกันที่เด็กคนหนึ่งที่ไม่มีพรสวรรค์จะไปมีความถนัดด้วย ….”
การระบุถึงการมีอยู่ของความถนัด
ผู้คนที่มาจากที่ไกลๆมาเพื่อรับการปรึกษาเพื่อหวังเข้าเรียนในวิหาร ต่อให้เด็กคนนั้นไม่ใช่อัจฉริยะ พวกนั้นก็ยังบอกเส้นทางที่เหมาะสมดีที่สุดให้เด็กคนนั้นก้าวเดินไป
'ลูกของคุณไม่มีพรสวรรค์ แต่ถึงอย่างนั้นเขาเองก็มี ความถนัดในด้านนี้ และด้านนั้นอยู่ , กรุณาให้เขาได้ทำการเรียนนี่ เรียนนั่นด้วยค่ะ'
วิหารเองก็มีบริการแบบนั้นอยู่เหมือนกัน
ผู้ให้คำปรึกษานั้นหันแท็ปเล่ทมาแสดงให้ไดบันดู
ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกสำหรับพวกเขาที่ได้เห็นอะไรแบบนี้
ความถนัดด้าน การใช้ดาบ,ความถนัดด้านการใช้ธนู, ความถนัดด้านเวทย์มนตร์, ความถนัดด้านสัมผัสรับรู้เวทย์ ,ความถนัดด้านจิตวิญญาณ …….
หน้าจอนั้นเต็มไปหมด เต็มไปด้วยความถนัดทั้งหมดที่ผมมี
“ดูเหมือนไรฮาร์ดนั้นเกิดมาพร้อมกับความถนัดในทุกอย่างบนโลกใบนี้”
หน้าจอมันไม่ได้กะพริบ
แต่ความถนัดของผมมันมีมากมายเหลือเกินเสียจนหน้าจอยังคงอัพเดทต่อไปเรื่อยๆอย่างนั้นไม่หยุด