เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 22
เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 22
ไดบันบอกผมว่า เคยทำบัตรประชาชนให้กับคนที่ไม่มีที่มาที่ไปมาหลายคนแล้ว
เขาพาผมไปที่สำนักงานเมืองหลวงจักรวรรดิ แล้วก็คุยกับเจ้าหน้าที่
อีกฝ่ายที่ทำงานอยู่ที่แผนกก็พยายามมองไดบันซ้ำแล้วซ้ำอีก เหมือนกับจะถามว่า นี่มาอีกแล้วเหรอ
“วันนี้นายดูเรียบร้อยนะ”
“เพราะวันนี้ฉันพาเด็กมาด้วยน่ะสิ”
“นี่ปกติไม่เห็นจะใส่ใจอะไรแบบนี้นี่”
อาจเพราะว่าวันนี้ไดบันสวมบทเป็นผู้ปกครองของผม เขาเองก็เลือกใส่เสื้อผ้าสะอาดแล้วอาบน้ำด้วย
ผมเองก็เหมือนกัน เจ้าหน้าที่เองก็ไม่ได้จุกจิกอะไรนักเหมือนปกติที่ทำเป็นประจำยกเว้นเรื่องที่พวกเราดูเรียบร้อยเป็นพิเศษ
เขาไม่ได้สงสัยหรือถามอะไรมากมายนัก กระบวนการก็ผ่านไปอย่างราบรื่น
อาจเพราะตอนที่ผมสวมแหวนเดร็ดเฟียนอยู่ มันก็เลยยากที่จะบอกว่า รูปร่างหน้าตาผมเปลี่ยนไปแค่ไหน แต่ที่แน่ๆแล้วผมน่ะมีผมหนาเลยล่ะ
อันที่จริงผมไม่น่าจะหล่อหรือขี้เหร่เกินไป จริงๆผมอยากจะหน้าตาดีสุดๆไปเลย แต่ผมเองก็ไม่ควรโดนดึงดูดความสนใจเพราะดูดีมากเกินไป นั่นเป็นสิ่งที่เอเลริสบอกกับผม
ผมพยายามทำให้ตัวเองดูดี ผมสีทอง ผมหยิกหน่อยๆดวงตาสีฟ้า ไม่ว่าจะสีผมหรือสีตา ไม่ได้หายากเป็นพิเศษ ซึ่งมันก็ดูดีกว่าค่าเฉลี่ยนิดหน่อย
ถึงผมจะดูดีบ้างแต่ก็ไม่ได้ถึงกับหล่อเหลาจนเกินไป
“ชื่อ”
“ข้าชื่อ ไรฮาร์ด”
“แล้วนายเกิดที่ไหน ?”
“ไม่รู้”
“โอโห้ ….นี่ไม่รู้แม้แต่เมืองที่จากมาหรือเนี่ย ?”
คนที่ทำงานอยู่มองด้วยความหงุดหงิด
“ใช่ ข้าจำอะไรไม่ได้เลยเพราะข้าโดนทิ้งตั้งแต่ยังเด็ก”
หลังจากนั้นเขาก็ไม่ถามข้อมูลอะไรอีก เขาบอกให้ผมวางมือลงบนหินมานาที่โต๊ะ
เขาตรวจสอบอะไรบางอย่างแล้วก็พยักหน้า
“ไม่มีข้อมูลของนายเลย … นายคงใช้ถูกกฏหมายมาสินะ”
อยู่ๆเขาก็พูดเรื่องไร้สาระออกมา แต่เหมือนผมจะเข้าใจขึ้นมาหน่อยๆแล้วว่าเขาหมายถึงอะไร
ดูเหมือนว่า ไอ้เจ้าเครื่องที่เหมือนตัวเช็คลายนิ้วมือนั่นน่ะ หากผมเคยโดนยามจับตัวหลังกระทำความผิด จะมีข้อมูลของผมบันทึกไว้
เด็กไร้บ้านอย่างผมโดยมากก็มักจะทำความผิดบางอย่าง แต่เมื่อผมไม่มีบันทึกความผิดที่ทำ เขาก็เลยเดาว่า ผมน่าจะใช้ชีวิตที่ผ่านมาอย่างถูกกฏหมาย
แล้วทั้งที่อยู่และสถานที่เกิดไม่รู้ทั้งคู่ แต่ผมจะปล่อยนให้มันว่างไว้ไม่ได้ ก็เลยคิดวันเกิดขึ้นมาเอง
ส่วนสถานที่เกิดก็ให้เป็นเมืองที่หายไปเมื่อนานมาแล้ว ส่วนที่อยู่ตอนนี้ผมก็เป็นทางใต้ของสะพานบรอนซ์เกท
ดูไปแล้วก็เหมือนผมเป็นเจ้าของสะพาน แต่อันที่จริงผมอาศัยอยู่ใต้สะพานแหละ
เนื่องจากปกติจักวรรดิเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ก็เลยมีอุปกรณ์เวทย์ที่ใช้เพื่อถ่ายภาพติดบัตรประชาชนผมด้วย
ผมกับไดบันก็ออกจากสำนักงานพร้อมกับเตือนว่าให้หมั่นมาอัพเดทบัตรประชาชนเป็นระยะๆด้วย
นอกจากนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรเลยจากการทำบัตรประชาชนในยุคใหม่ มันราบรื่นเกินไป๊ ! ราบรื่นเสียจนน่าตกใจเลยล่ะ !
แต่ถึงอย่างนั้นก็เหอะ ถือว่าดีแล้ว !
“มันง่ายดีนะ”
“เราก็เอาอะไรให้เขานิดหน่อยแหละ ทุกอย่างก็เลยสะดวกสบาย”
ผมเดาเอาว่า เจ้าหน้าที่คนนั้นน่าจะได้อะไรหลายอย่างเลยล่ะ ผมถึงรู้สึกได้ถึงความสบายๆเป็นกันเอง
แต่ถ้าเขาโดนจับได้ล่ะก็ผลเป็นยังไงก็รู้ๆกันอยู่แล้ว
ผมเช็คบัตรประชาชนตัวเองที่อยู่ในรูปบัตรเหล็ก
มันแสดงให้เห็นทั้งภาพ ชื่อ วันเดือนปีเกิด รวมถึง หมายเลขประจำตัวประชาชนแทบไม่ต่างจากบัตรประชาชนสมัยใหม่เลย
แถมยังมีการลงทะเบียนข้อมูลไบโอเมทริกซ์เพื่อยืนตัวตนด้วย
ถึงภาพลักษณ์มันจะเหมาะกับแนวแฟนตาซียุคกลาง แต่ความสะดวกสบายแบบนี้ไม่ต่างจากยุคสมัยใหม่เลย
ขอย้ำอีกครั้ง นี่เป็นยุคกลางจริงๆนะ
นิยามทั้งหมดได้แค่วลีเดียวคือ
มันสะดวกดีจริงๆ
ในเมืองนั้นยังคงตื่นเต้นจนแทบบ้ากับการได้รับชัยชนะ
บรรยากาศแบบนั้นเหมือนจะอยู่ไปอีกนาน
แถมยังเป็นงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่กว่าเมื่อพวกทหารไปรบได้กลับมา
งานเทศกาลอันยาวนานยังคงดำเนินต่อไป
แถมตอนนี้ผมมีบัตรประชาชนแล้วด้วย ผมสามารถเข้าไปสมัครวิหารได้แล้วส
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ วิหารเองก็จะรับแต่คนที่มีเงินไม่ใช่เหรอ ? ถ้าเป็นแบบนั้น … แปลว่า พวกเขาจะไม่รับพวกสามัญชนหรือเปล่า ?”
ระหว่างทางเดินไปวิหาร ไดบันก็เอียงหัวด้วยความสงสัย ...
“ฉันไม่เคยได้ยินอะไรแบบนั้นมาก่อน”
ค่าเทอมมันสูงระดับที่ไม่มีทางเข้าได้หากไม่ได้เป็นลูกของชนชั้นสูง หรือการมีพ่อแม่ร่ำรวยมากๆหรือไม่อย่างนั้นก็เป็นลูกหลานตระกูลพ่อค้า
ก็ถ้าหากใครมีเงินพอที่จะจ่ายเงินหนึ่งล้านวอนต่อปีได้ โดยไม่ต้องสนวิชาเอกแบบอยากเลือกอะไรก็เลือก
หากใครที่หวังที่จะได้รับการศึกษาที่สูงยิ่งขึ้นไปก็ต้องจ่ายเป็นสองเท่า
เงิน 50 โกลด์น่ะแค่ค่าเฉลี่ย เพราะมันขึ้นกับวิชาเอกด้วย ทำให้ค่าเล่าเรียนเนี่ยสามารถพุ่งสูงอย่างที่คาดไม่ถึงเลยล่ะ
และก็แน่นอนมันมีระบบทุนการศึกษาเพื่อให้เด็กๆไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนโดยขึ้นอยู่กับว่า ครอบครัวเด็กๆอุทิศตนให้กับจักรวรรดิมากเพียงใด
หลังจากจบสงครามครามแล้วส่งผลให้มีการแจกจ่ายเหรียญเกียรติยศจำนวนมากส่งไป ทำให้ในวิหารนั้นเต็มไปด้วยนักเรียนปีหนึ่งที่มากกว่าทุกปีที่ผ่านมา
ที่วิหารนั้นคิดเงินแพงก็เพราะพวกเขาได้ลงทุนลงเงินไปกับการละเว้นค่าเทอมให้พวกเด็กมีพรสวรรค์ ซึ่งโดยมากแล้วก็ไม่ค่อยได้รับการศึกษาที่ดี
ไดบันพาผมไปที่เขตอีเรเดี้ยน(Eredian district)
ซึ่งมันเป็นตำแหน่งเดียวกันกับเขตกวานัก และมหาวิทยาลัยโซลในเกาหลี
สิ่งที่แตกต่างก็คือ วิหารนั้นกว้างใหญ่ระดับที่สถานศึกษานั้นคลุมพื้นที่ทั้งเขตของกวานักไปหมด
ดังนั้นแล้วย่อมเป็นธรรมดาที่จำนวนนักเรียนที่มีจะมากมายมหาศาลซึ่งนั่นก็แปลว่า เงินรายได้ของโรงเรียนนี้ก็สูงเสียดฟ้าเช่นกัน
ไม่ใช่แค่เพียงเท่านั้นเพื่อป้องกันคนที่ไม่ใช่นักเรียนมาเดินเพนพ่านในเขตโรงเรียน
วิหารก็ได้ติดตั้งบาเรียป้องกันทั้งกายภาพและบาเรียกันเวทย์ขนาดใหญ่ที่ถ้าหากไม่ใช่คนในโรงเรียน หรือบุคคลากรภายในจะไม่สามารถเข้ามาได้
ความปลอดภัยของวิหารนั้น มีระบบป้องกันการก่ออาชญากรรมทั้งยังมีบาเรีย ที่ผมใส่เซตติ้งไว้ว่าเป็นระดับเดียวกันกับในปราสาทจักรวรรดิ
เด็กๆทั้งหลายต่างมาจากตระกูลทรงอิทธิพลในหลายๆประเทศ เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมเพื่อที่จะให้พวกเขามุ่งเน้นไปที่การเรียนการศึกษาได้โดยไม่ต้องห่วงกังวลความปลอดภัย
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมทุกคนต่างส่งลูกๆหลานๆมาอยู่ไกลขนาดนี้ และมันย่อมเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตขึ้นมาแน่หากมีนักเรียนคนใดโดนทำร้ายหรือโดนลักพาตัวไปขณะที่อยู่ในเขตสถานศึกษา พวกเขาจึงทุ่มงบประมาณมากมายในการรักษาความปลอดภัย
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีจุดบอดอยู่ เพราะเหตุการณ์ที่มันต้องเกิดขึ้นอยู่ดี หากมาตรการป้องกันดีมากๆมันก็ย่อมต้องไม่เกิดเหตุการณ์ขึ้น
ไม่มีใครอยากจะให้มันเกิดเรื่องแบบนั้นหรอก ยกเว้นผมไว้คนนึงอะนะ
ถึงอย่างไรก็ตาม ทางวิหารเองก็ถือว่าเป็นชื่อเมืองไปในตัวอยู่แล้ว ก็เลยไม่ค่อยเมคเซ้นส์เท่าไหร่หากเราจะบอกว่า เราอยู่ในวิหารแต่แรกแล้ว รถไฟมานานั้นไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่วิหารได้
พวกเรามาถึงสำนักงานรับสมัครด้านนอกของโบสถ์
ไดบันนั้นห้ามปากตัวเองไม่ได้
“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมาที่นี่เลยนะ , ทำไมถึงได้มีผู้คนมากมายขนาดนี้กันล่ะ ?”
ศูนย์ให้คำปรึกษาการเข้าเรียนเองก็ใหญ่มากพอที่จะถูกเรียกว่าเป็นโรงเรียนได้แล้ว , และสิ่งที่น่าตกใจก็คือ ผู้คนที่มาออรอกันอยู่ตรงปากทางเข้า
พวกเขาคือคนที่รอที่จะผลการเข้าเรียน พวกนั้นต่างควักตั๋วออกมา เกือบทั้งหมดมีพ่อแม่ผู้ปกครองอยู่ข้างๆด้วย
ไดบันไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงได้มีคนร่ำคำรวยมากมายพยายามส่งลูกหลานตัวเองไปที่วิหารด้วย
ผมรู้เรื่องนั้นดี
“แล้วอันนั้นมันคืออะไร ?”
“นายหมายถึงอะไร ?”
“เด็กๆที่มีพรสวรรค์พิเศษจะสามารถเข้าวิหารโดยไม่ต้องเสียเงินน่ะ ก็เลยเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมพวกเขาถึงมารอผลการยืนยันพรสวรรค์ที่นี่”
“มันมีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอ ?”
“ใครจะไปรู้กันล่ะ”
ผมพูดเหมือนตัวเองเดาส่งๆไป แต่อันที่จริงผมรู้ดีว่านั่นเป็นความจริง
ต่อให้พวกเขาจ่ายค่าเล่าเรียนไม่ไหว แต่ก็มีพ่อแม่บางคนที่คิดว่าลูกตัวเองเนี่ยมีพลังพิเศษหรือเป็นอัจฉริยะ
พ่อแม่ที่ไม่สามารถรับได้กับค่าใช้จ่ายในโรงเรียนก็จะมาที่นี่พร้อมลูกตัวเองแล้วเดิมพันกับความเป็นไปได้นั้น
คนส่วนมากก็ต้องกลับไปพร้อมกับความผิดหวังที่ไม่เจอพรสวรรค์ แต่ก็มีเหมือนกันที่พบเด็กที่มีพรสวรรค์ แล้วทำให้ได้เข้าไปเรียนในโรงเรียน
ความเป็นไปได้ที่ว่านั่นก็น้อยเสียเหลือเกิน
ในโลกใบนี้น่ะมีพลังทั้งสี่ที่ยิ่งใหญ
พลังต่อสู้(Combat), พลังเวทย์มนตร์(Magic), พลังศักดิ์สิทธิ์(Divine power)
และพลังที่ต่างจากทั้งสามโดยสิ้นเชิง พลังที่หายสาบสูญไม่เจอมานานมากแล้ว
พลังเหนือธรรมชาติ(Supernatural power)
พลังต่อสู้นั้นไม่ใช่แค่วิ่งได้ดี หากแต่รวมถึงการปลดปล่อยพลังเหนือมนุษย์ออกมา หลังเติบโตขึ้น
เช่นเดียวกันกับในกรณีของอาร์โทเลียส อัศวินของดยุคซาเลเรี่ยนที่ไล่ตามผมก็มีพลังแบบเดียวกันนั่นแหละ
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ในฝั่งดินแดนปีศาจมอนสเตอร์น่ะแข็งแกร่งกว่านั้นมาก
ก็เลยเป็นเหตุที่ว่า ทำไมการ์กอยน่ะถึงได้บดขยี้ทหารชำนาญศึกหลายคนพวกนั้นให้ตายได้ภายในทุบเดียว
ศักยภาพในการพัฒนาพลังเหนือมนุษย์ที่ว่าจะต้องเรียนศิลปะการต่อสู้
เด็กที่ฉลาดมากๆหรือพบเจอแล้วว่ามีพรสวรรค์ทางด้านเวทย์มนตร์ก็จะให้ไปที่ วิชาเอกเวทย์มนตร์
ส่วนเด็กที่แสดงพรสวรรค์ในด้านพลังศักดิ์สิทธิ์ก็จะมุ่งสู่เส้นทางนักบวชหรือพาลาดิน
และที่หายากที่สุด ยากมากๆ เด็กบางคนที่ตื่นขึ้นมาพร้อมอบิลิตี้ประหลาดๆ
พลังจำพวกนั้นเรียกว่าเป็น พลังเหนือธรรมชาติ ที่ไม่สามารถหาคำอธิบายได้อย่างชัดเจนเพราะมันไม่ใช่อบิลิตี้ที่สามารถเรียนรู้และใช้งานได้เหมือนกันกับพวกเวทย์มนตร์
บางคนก็ไม่สามารถควบคุมใช้งานมันได้เหมาะสม
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมจักรวรรดิถึงได้ดูแล กลุ่มผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเป็นพิเศษ
แม้พวกเขาจะไม่ถูกนำมาใช้ในสงครามโลกปีศาจแต่ก็เป็นตัวตนที่อันตรายมากตามแต่ละบุคคล
แล้วก็มีระดับความอันตราย ผู้ใช้พลังเหนือธรรมชาติที่ทางการคิดว่า นอกเหนือการควบคุมก็จะถูกกำจัดไปอย่างลับๆ
สำหรับเด็กๆที่มีพลังเหนือธรรมชาติ วิหารก็จะมีหน้าที่เป็นสถาบันที่สอนเรื่องการเข้าสังคมรวมถึงวิธีการใช้งานควบคุมและพัฒนาอบิลิตี้ของพวกเขา
และก็แน่ล่ะเด็กส่วนมากที่มากองรวมกันอยู่ที่นี่ไม่ได้ถูกจัดเข้าหมวดสี่ชนิดนั้นเลย
การที่จะมีพรสวรรค์นั้นเป็นอะไรหายาก หายากมากๆ
“ถึงงั้นก็เหอะ คนเยอะขนาดนี้จะถึงคิวเราไหมวันนี้ ?”
ไดบันดูจะคิดจริงจัง ว่าเรื่องนี้เป็นปัญหา ส่วนผมค่อนข้างมั่นใจเลยว่า ถ้าเราต่อแถวต่อไปถึงเราจะรอนาน เผลอๆนานจนพวกเขาอาจปิดประตูไปเสียก่อน จึงไม่มีทางรู้เลยว่า วันนี้จะได้เข้าไปไหม
แต่ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องไม่จำเป็นแบบนั้น
“เรามาที่นี่เพื่อเข้าเรียน ไม่ใช่เพื่อรับการปรึกษาไม่ใช่เหรอ ?”
เราไม่ได้มาเพื่อขอเรียนฟรีเพราะเรามีเงินไม่พอหรืออะไรแบบนั้นสักหน่อย
“เอ้อ ,ใช่สินะ”
พวกเราเดินอย่างภาคภูมิใจผ่านประตูเข้าไปสู่แผนกรับสมัคร ไม่ใช่สำนักงานให้คำปรึกษาการรับสมัคร
ผิดกันกับฝ่ายให้คำปรึกษา สถานที่รับสมัครนั้นค่อนข้างเงียบเชียลเลย
ก็แหงล่ะนะ คนไปอยู่ตรงนั้นกันเยอะนี่นา แต่สถานที่แห่งนี้นี่ประดับประดาด้วยของหรูหรามากมาย
มีพ่อแม่บางคนที่ ลูกตาแทบถลนออกนอกเบ้าเฝ้ามองดูลูกหลานตัวเองห่างไป แล้วก็มีเด็กๆที่แบบร้องไห้โยเยเพราะไม่อยากไปด้วย
ไม่ว่าวิหารจะยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่คนแบบนี้ก็พบเจอได้เสมอ
รู้ไหมเพราะอะไร ? เพียงเพราะเขาต้องจากพ่อแม่ของพวกเขาไปยังไงล่ะ
“อะแฮ่ม , ที่นี่เป็นศูนย์รับสมัครเข้าศึกษาค่ะ….”
พอเห็นผมกับไดบุนที่แต่งตัวเรียบร้อยแต่ดูไม่มีเงินเข้าเจ้าหน้าที่ก็ทักอย่างสุภาพจากอีกฟากหนึ่ง
“เอ่อ , เอ้อ …. อ่าคือ ….”
ไดบันถึงกับแข็งทื่ออยู่ข้างๆผม เป็นไปได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้ากับคนร่ำคนรวย
ไม่สิ ทำไมผู้ปกครองของผมถึงมาประหม่าแทนกันล่ะ ห้ะ ?
“ผมมาที่นี่เพื่อจ่ายค่าเรียนครับ”
ผิดกันกับผมที่พูดอย่างสบายๆ จนทำให้เจ้าหน้าที่กลับเขินแทน