เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 21
เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 21
ไดบันยังคงนับถือผม แม้ไม่รู้แน่ชัดว่า เขาจะขายของในสถานที่แบบนั้นได้ยังไง และโลย่าเองก็คิดว่า มันเป็นไอเดียที่ดี
ถึงผมจะเคยขึ้นรถไฟแค่ครั้งเดียว แต่ก็ไม่คิดว่าจะมียามเฝ้า
อาจมีเสียงบ่นตำหนิมาตอนที่เต็มไปด้วยพ่อค้าเร่มากมายแล้วอาจหามาตรการมาแก้ไข แต่ก็เป็นเรื่องอีกยาวไกล
ซึ่งมันจะไม่จบแค่ตรงนั้นแหละ พวกนี้น่ะเป็นต้นไม้ผลิตเงินของผม ดังนั้นแล้ว ต้องได้ทำงานกันที่นั่นน่ะแหละ
พวกเขาจะสามารถหาเงินได้มากและมั่นคงขึ้นจากก่อนหน้า
อันที่จริงมันยากที่จะเชื่อเลยนะว่า ทั้งเอเลริสและซาร์เคการ์จะหารายได้มาให้ผม
ดังนั้นแล้วที่นี่จึงเป็นดั่งเส้นชีวิตของผม
“แล้วก็การขายลูกกวาดลูกอมน่ะมันน้อยเกินไป
เราควรจะมีสินค้าที่ดึงดูดความสนใจของทุกคนมากกว่านี้”
“ความสนใจ ?”
สถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คนทั้งหลายนั่นแหละคือ ลูกค้า
แค่ลูกอมอย่างเดียวไม่พอหรอกที่จะดึงดูดความสนใจได้มันต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่เจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าของเราได้
“ก็ในเมื่อขายของพวกนั้นแล้ว สภาพการเงินยังไม่ดีขึ้นใช่ไหมล่ะ ?”
“ใช่แล้วล่ะ….”
ซึ่งแน่นอนมันก็ดีแหละที่หากเราจะขายของคุณภาพดีตามที่คนต้องการ หากเราเริ่มการทำธุรกิจ ว่าง่ายๆมันควรจะเป็นอะไรที่เรียบง่าย ไม่แพงเกินไปนักแล้วดึงดูดความสนใจได้ อะไรบางอย่างที่เน้นอรรถประโยชน์มากกว่าคุณภาพ
“ในสถานการณ์แบบนี้ ข้าว่าการขายของเล่นน่ะดีที่สุด”
“ของเล่น ? ข้าไม่รู้เลยว่า มันมีคนขายของพวกนั้นอยู่ด้วย แต่แน่ใจแล้วนะว่า จะขายน่ะ ?”
โลย่าไม่แน่ใจนัก
ผมหัวเราะคิก
“ของเล่นน่ะเป็นผลิตภัณฑ์ที่กลุ่มความต้องการของผู้ใช้น่ะเป็นคนละกลุ่มกับคนที่ซื้อจริง”
“……หาาา ?”
“แกหมายความว่ายังไง ?”
ไดบันเหมือนจะเข้าใจแล้ว แต่ดูโลย่าจะยังไม่หลักแหลมเท่าไหร่
อ่าใช่แล้วล่ะ ถ้าหากปรับเรื่องนี้ให้เป็นพลอตแบบต่างโลกถือว่าไม่เลวเลยว่า
เรื่องซ้ำซากที่เกิดขึ้นบ่อยมากในอิเซไค
การพูดถึงอะไรที่เห็นกันอยู่ในทุกวี่ทุกวัน แล้วมันดูยอดเยี่ยมมากท่ามกลางตัวละครโง่ๆ ซึ่งมันก็แล้วแต่ระดับความสามารถของนักเขียน ว่าจะพูดได้แค่ไหน ซึ่งมันก็สะท้อนถึงระดับความรู้ของนักเขียนเองด้วย
ประโยคตัวอย่างก็เช่น :
“อ๋อ นี่น่ะหรือ มันคือสบู่ไง มันสามารถลดแรงตึงผิวทำให้สามารถล้างมือได้ดีมากๆเลยล่ะ”
มีโอกาสถึง 100% เลยล่ะที่จะทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่ ด้วยการใช้คำอย่างเช่น ‘แรงตึงผิว” และก็จะมีผู้คนประมาณ 98.235% ที่คิดว่าคุณน่ะฉลาดเอาเรื่อง
และคราวนี้ผมก็พูดถึงของเล่นยังไงล่ะ
“เด็กนั่นแหละที่ร้องเรียกหาของเล่น แต่คนที่ควักเงินจ่ายมันน่ะคือ พ่อแม่ต่างหาก”
ของเล่นเป็นสิ่งที่เด็กอยากได้แต่คนที่จ่ายเงินซื้อมันจริงๆคือพ่อแม่
“ลองนึกถึงเด็กที่แบบร้องไห้โยเยอยากได้ของเล่นชิ้นนั้นท่ามกลางรถไฟมานาที่อัดแน่นดูสิ”
ทั้งคู่ต่างจ้องผมตอนที่ผมพูดอยู่
“แล้วพ่อแม่พวกนั้นก็จะยอมควักเงินซื้อของเล่นไม่ว่าจะคุณภาพดีหรือไม่ก็ตาม”
ผมรู้ดีว่าตัวเองไม่ควรจะอธิบายอย่างนี้ทั้งที่ตัวเองน่ะเสียความทรงจำ แต่ผมมั่นใจเลยล่ะว่าพวกเขาตั้งใจฟังผมอยู่
และหากพวกเขาสงสัยว่าผมเสียความทรงจำจริงไหม ผมว่ามันเป็นความคิดที่แย่ที่จะบอกความจริงกับเขาหรือต่อให้บอกพวกเขาว่าผมนี่แหละเป็นนักเขียน ซึ่งมันคงฟังดูไร้สาระมากสำหรับพวกเขา
ผมไม่คิดที่จะทำอะไรบ้าบิ่นแบบนั้นโดยไม่มีจุดประสงค์ด้วยเช่นกัน
ถึงอย่างนั้นทั้งโลย่าและไดบันนั้นก็มองผมราวกับเป็นปีศาจตัวหนึ่งลงมาเกิดเลยทีเดียว
เอ่อ ถึงผมจะเป็นอย่างนั้นจริงๆก็เถอะนะ ?
“แกนี่มันนิสัยแย่สุดๆเลยนี่…!”
โลย่าหลุดปากพูดออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว
ผมยังแปลกใจตัวเองเลย
แม้แต่เธอเองก็ยังปฏิบัติกับผมแบบนั้นเพราะผมเป็นเด็กสินะ
หา ? อยากให้ผมเป็นคนดีงั้นสินะ ?
หา ? ก็เธอบอกเองไม่ใช่เหรอว่า เราควรอยู่สบายๆไปด้วยกันน่ะ ?
ผมของขึ้นขึ้นมาหน่อยนึงละ
“เอาเหอะน่า ! พยายามไปด้วยกัน !”
ผมยื่นฝ่ามือออกมา
-แปะ !
โลย่า และก็เหมือนเคย ให้มือผมโดยอัติโนมัติทำให้ใบหน้าของเธอนั้นก็ไร้อารมณ์ขึ้นมาทันที
ข้อสรุปก็คือ ผมเลิกทำเรื่องไร้สาระแล้ว หันไปสนใจกับของเล่นในโกดังแทน
แต่ผมก็ใส่เงื่อนไข อย่างเช่นพวกเขาต้องมีเสื้อผ้าที่สะอาด แล้วก็ต้องมีสมุดบันทึกขายของเล่นที่พวกเขาขายออกไปด้วย
พวกเขาก็ไม่ได้รังเกียจมันแม้แต่น้อย
ช่วงแรกเหมือนเขาจะตื้อขายของให้ลูกค้ามากเกินไป
ผมเลยกระตุ้นบอกให้ เขาทำตัวเป็นมิตรกับลูกค้ามากกว่านี้ เพื่อหวังจะได้ลูกค้าที่ดีมาเรื่อยๆในอนาคต
แล้วเราก็ต้องคิดถึงผลิตภัณฑ์ของพวกเราด้วยเช่นกัน
ไดบันนั้นประทับใจมากกับการแก้ปัญหาของผม เขาบอกกับผมเองว่าตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่สาวถึงอยากส่งผมไปวิหาร
เขายังสรรเสริญยกย่องผมด้วย การพูดว่าสมแล้วที่ผมเป็นมันสมองของแก๊ง
เขาบอกอีกด้วยว่าจะยิ่งดีมากหากผมได้รับการศึกษาที่นั่น เพียงทำพูดไม่กี่คำที่เปลี่ยนทัศนคติได้ แถมเขายังได้เงินเพิ่มมาอีกพันดอลล่าแทนที่จะต้องจ่ายหนี้เดิมพันดอลล่า
ผมไปเข้าร่วมกลุ่มกับพวกเขาเพื่อที่จะได้รู้จักพวกเขามากขึ้นสักนิดนึงก็ยังดี
ว่ากันตามตรงนะ มันค่อนข้างน่าอึดอัดเลยล่ะ แต่ผมไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อยู่ดี
แถมดูเหมือนวันๆโลย่าไม่ยอมทำอะไรเลยนอกจากนอน
เหมือนเธอจะโผล่ออกมาก็เฉพาะตอนที่อยากต่อยใครสักคนเท่านั้น
“ข้าได้ยินว่า ไดบันชมเจ้าหมอนั่นว่ะ”
ต่อให้โลย่าทำตัวเป็นบอส แต่ดูเหมือนคนที่รับบทบาทในการจัดการองค์กรจริงๆคือ ไดบัน
โลย่าบอกว่า เธอจะส่งผมไปที่วิหาร และไดบันก็แสดงความเห็นด้วยในทันที ด้วยการบอกว่า ผมน่ะไม่ใช่คนธรรมดา
ทำให้สมาชิกหลายคนมองผมในแง่ดีเลยทีเดียว แม้ว่า จะไม่ค่อยปักใจเชื่อก็ตามที
“เอานี่ดื่มเลย”
พวกเขายกเหล้าให้ผมอย่างเต็มใจ
แม้คนอื่นจะมองผมว่า ผมเป็นเด็กน้อย แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่สนแล้ว
“เอ้านี่ , เอาให้หมดเลย”
ผมที่อยู่ในวัยสามสิบ กำลังจะลิ้มรสก็ต้องตกใจขึ้นมา
“เฮ้ย! ใครใช้ให้พวกแกส่งเหล้าให้เด็กวะ ?!”
และคนที่พูดก็โผล่มาร่วมด้วย ผมได้แต่ขำเบาๆแล้วกระดกลงไปก่อนที่พวกเขาจะห้ามผมทัน
“โว้ว , เยี่ยมไปเลย”
ทุกคนต่างระเบิดหัวเราะพอเห็นผมทำแบบนั้น
มันขมนิดหน่อยนะ แต่ใครจะสนกันล่ะ
เหล้าก็คือเหล้า และน้ำก็คือน้ำ ไม่เห็นสำคัญตรงไหนเลย
ตาแก่คนหนึ่งก็เทเหล้าให้ผมพลางหัวเราะดีใจ
กลิ่นปากผมหึ่งเหลือเกิน แต่แล้วยังไงล่ะ
“เจ้าหนูนี่มันรู้ว่ะ ว่าจะดื่มยังไง ! เอ้า !”
“จะมีชีวิตได้ยังไงกันล่ะถ้าไม่มีเหล้า ?”
“พูดได้ดี !”
“ใช่เลยว่ะ ! โอ้ , แบบนี้เราก็เป็นเพื่อนสนิทกันได้แล้วสิ !”
“ข้าน่ะดื่มตั้งแต่อายุเท่าแกเลยรู้ไหม แล้วดูข้าตอนนี้สิ ! ฮ่าฮ่าฮ่า !”
“วันนี้เรามาดื่มให้เต็มที่ไปเลย !เอาเลยเต็มที่ !เต็มมมที่ !”
“ดื่มเลยยยย !”
“เอาเลยยย !”
หากไม่มีพวกเขาผมอาจไม่รอดชีวิตได้ถึงตอนนี้ ดังนั้นแล้วผมก็ไม่อยากที่จะเรื่องมากหรือทำตัวไม่ดีนักหรอก
ผมดื่มเอาเมามันส์กับเหล่าขนทานจนดึกดื่น
แปลกจริงนะ ที่เจ้าพวกนี้น่ะดันรู้การดื่มแบบถูกวิธีเสียด้วย ไม่สิๆ จริงๆแล้วผมก็แก่พอตัวเลยล่ะ ก็เลยดื่มได้ตามจังหวะคนแก่นั่นแหละ
เขาถามนู่นถามนี่ถามนั่นกับผม และถึงผมยังไม่เมาผมก็ตอบไปตามที่ตั้งใจจะตอบไว้นั่นแหละ
“แล้วแกมาอยู่นี่ได้ไงหว่า ?”
“จำอะไรไม่ได้หรอก ว่าข้าโดนทอดทิ้งตอนไหน แต่ก็โดนลากไปนู่นไปนี่เรื่อย”
ผมโดนทอดทิ้งตั้งแต่ยังเด็กแล้วโลย่าก็มาเจอผมเข้าตอนที่ผมเตร็ดเตร่อยู่ข้างถนน
เดิมผมเป็นคนที่ไหนก็ไม่มีใครรู้
ทุกคนต่างมาแตะที่บ่าผมพูดแนวๆว่า ต้องเจอความยากลำบากตั้งแต่เด็กเลย
แล้วก็บอกผมว่า ผมควรไปที่วิหารแล้วกลายเป็นชายผู้ยิ่งใหญ่ขึ้นมา
“อย่าเป็นอย่างพวกเราเลย”
พวกเขาพูดอย่างนั้นพลางให้คำแนะนำจนทำเอาผมน้ำตาไหลออกมา
“ว่าแต่ ชื่อของแก๊งนี่ชื่อ …?”
เหมือนที่โลย่ามีชื่อเล่นว่า หมาจรจัดแห่งไอรีน แล้วเธอก็เรียกที่นี่ว่าเป็นแก๊งของเธอ
ว่าแต่มันไม่มีชื่ออื่นเหรอ ? แบบอะไรกัน ทำไมมันถึงมีแค่ชื่อว่า แก๊ง เนี่ยนะ ?
“เออ , ใช่มันมีเรื่อง สี่แยกอยู่ตรงนั้นนี่”
สี่แยก ที่เป็นจุดตัดเนี่ยนะ ? มันมาเกี่ยวอะไรด้วย ?
“อะไรกั้น , เจ้าหน้าใหม่น่ะไม่รู้แม้กระทั่งว่า แก๊งเราชื่ออะไรงั้นเร้อ ?”
หนึ่งในนั้นที่เป็นชายวัยกลางคนระเบิดหัวเราะขึ้นมา
“แก๊งโรตารี่ไง เจ้าหนุ่ม จำไว้นะ”
อ่า
หลังจากเห็นสภาพที่สุดวุ่นวายกลางดึกแบบนั้น โลย่าก็โมโหสุดๆแล้วก็พูดขึ้นว่า :
“พวกแกคิดยังไงกันวะ! ถึงให้เด็กมันมาดื่มเหล้า?”
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเมาแล้วโดนพี่สาวลากไปตัวไปดุ ผมโดนบ่นนั่นบ่นนี่ซึ่งมันผิดกับวันวานที่ผ่านมา ว่าแต่อดีตเจ้าชายเนี่ยไม่ดื่มเหล้ากันรึไง ?
อาจเพราะผมไหลเล่นไปตามบทกับคนอื่นๆด้วยก็เลยเหมือนอยู่ในงานเลี้ยงต้อนรับ ทุกคนดูจะเป็นคนดีกับผมมาก
วันต่อมาเป้าหมายของผมก็คือ การที่ทำให้โรตารี่แก๊งเนี่ยออกจากสถานการณ์ตอนนี้
ถึงแม้พวกเขาจะอยู่ข้างผม แต่ผมต้องไม่หลงผิด เข้าใจไปว่าผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับพวกเขาแล้ว
เหตุผลที่ผมดื่มกับพวกเขาเมื่อวานนี้ก็เป็นเพราะผมอยากรู้จักกับโรตารี่แก๊ง ในฐานะสมาชิกให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
โรตารี่แก๊งนั้นมีสมาชิกกว่ 200 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่เยอะพอตัว
ผมไม่รู้แน่ชัดว่า รายได้มีมากมายขนาดไหน แต่มันก็มากพอที่จะสนับสนุนชีวิตประจำวันของชนชั้นสูงคนหนึ่งได้ ซึ่งมันก็ต้องสูงพอสมควรเลย
นอกจากนี้ไม่ใช่แค่สนับสนุนชนชั้นสูงสักคนหากแต่ยังต้องมีค่าอาหารและเงินก้อนคล้ายๆเงินเดือนด้วยรู้รึเปล่า ?
แล้วการที่ขายแต่ลูกอมไปวันๆแบบนี้มันจะเป็นไปได้ได้ยังไงกัน?
การที่ขายของพวกนั้นได้อย่างมากก็แค่ 5 บรอนซ์ต่อวัน อย่างมาก็จะได้ประมาณ 1,000 บรอนซ์หรือก็คือ 10 ซิลเวอร์
เทียบไปก็เป็นเงิน แสนวอน (72.86$/2,671บาท)
หากขายได้กันคนละ 10 ชิ้นก็อาจจะได้สัก ล้านวอน(728.6$/26,710บาท)
ไม่ใช่ทุกคนด้วยซ้ำที่จะขายได้ระดับนั้น ซึ่งแปลว่า มันไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะรักษากลุ่มนี้ให้คงอยู่ต่อไปได้
แถมยังต้องมีคนขอทานที่เข้ามาร่วมเองอีก ผมจึงคิดว่า มันไม่น่าจะเพียงพอแต่กลุ่มที่ใหญ่ขนาดนี้หรอก
แก๊งโรตารี่น่ะ น่าจะมีแหล่งทำเงินทางอื่นอีก
และไม่มีทางที่ซาร์เคการ์และเอเลริสจะรู้เรื่องนี้ด้วย ดูเหมือนเธอตั้งใจที่จะไม่บอกพวกเขา
ทั้งโลย่า เอเลริสและซาร์เคการ์นั้นต่างเก็บไว้เป็นความลับเรื่องที่มาของเงินของแก๊งโรตารี่
ผมสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่จึงได้ถามโลย่าตรงๆ
โลย่าที่เรื่อยเฉื่อยอยู่ข้างกองไฟด้านในสุดของทางระบายน้ำ ไม่มีใครอยากเข้ามา มากวนเวลาส่วนตัวหรือช่วงเวลานอนของเธอ
‘ผมเชื่อว่า เธอน่ะมีแหล่งทำเงินแหล่งอื่นมาใช่ไหม แล้วมันคือ งานแบบไหน ?’
“ท่านไม่จำเป็นต้องรู้หรอก”
โลย่าตัดบทสนทนาราวกับว่าไม่อยากบอกผม
“โอเค ,ถ้าอย่างนั้นตอบคำถามข้าอย่างนึง”
“ได้”
“มันทำให้ผู้คนต้องเจ็บปวดไหม ?”
“ไม่มีอะไรแบบนั้น แต่บางครั้งมันก็เป็นแบบนั้นเพราะผลลัพธ์ของมัน”
นั่นเป็นสิ่งที่โลย่าตอบกลับมา
มันไม่ใช่อะไรที่สร้างความเจ็บปวดให้กับผู้คน หากแต่ผลลัพธ์มันกลับนำมาซึ่งความเจ็บปวด
“ข้าได้ยินว่ามาแก๊งนี้มีสมาชิกเกือบ 200 คน”
“ใช่แล้ว ถูกแล้วล่ะ”
“ถึงอย่างนั้น ข้าว่า ที่นี่มีแค่ 50 คน”
50 คนอาจเป็นจำนวนคนที่มากแต่มันไม่มีทางถึง 200แน่ มันเป็นการถามอ้อมๆว่า แล้วพวกสมาชิกที่เหลือนั้นอยู่ที่ไหนกัน
โลย่าถอนใจออกมาสั้นๆ
เหมือนเธอรู้ดีว่า ผมไม่ยอมถอยง่ายๆ
“ข้าไม่ได้บอกท่าน เพราะคิดว่ามันดีกว่าหากท่านไม่รู้เรื่องพวกนี้
ข้าไม่ได้มีเจตนาจะหลอกท่าน ”
“อ่า มันจะเป็นอันตรายถ้าหากข้ารู้ใช่ไหม ?
นั่นคือสิ่งที่เธอคิดสินะ ”
“ขายลูกอมน่ะมันแค่บังหน้า”
การเร่ขอทานไม่ใช่เป้าหมายหลักของพวกเขา
“พวกเราได้รับการสนับสนุนจากกิลด์โจรแห่งการ์เดียม”
เป้าหมายของพวกเขาคือ ไปสืบหาข้อมูลที่องค์กรอยากได้ ที่พวกเขาอยากได้
นี่เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้สามารถรักษาแก๊งนี้ได้ โลย่าพูดเสริม
แล้วผมก็เดาถูกจริงๆในเรื่องที่ว่า ที่นี่มันคือ พรรคกระยาจกเวอร์ชั่นแฟนตาซี
แก๊งโรตารี่นั้นเป็นแหล่งข้อมูลที่ทำการซื้อขายข้อมูลไปให้กับกิลด์โจรของการ์เดียม
ต่อให้มีขอทานไปเตร็ดเตร่อยู่ก็ยากที่ใครจะสงสัย
ดังนั้นผมเลยถามต่อว่า การที่ผมเปลี่ยนวิธีการขอทานเนี่ย มันเป็นวิธีการที่ไร้ค่าไร้ความหมายเลยใช่ไหม
โลย่าส่ายหัว
“พวกเราไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับกิลด์โจร แต่เป็นลักษณะแยกกันอยู่ และพวกนั้นก็พยายามที่จะควบคุมพวกเรา
หากแก๊งสามารถทำเงินได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพากิลด์ก็ถือว่า คุ้มค่าไม่ได้ไร้ความหมาย”
สุดท้ายแล้วสิ่งที่ผมเสนอให้กับโลย่าและไดบันนั้นมีความหมายอย่างมาก
หากกลุ่มนี้อยู่ด้วยตัวเองไม่ได้หากไม่พึ่งพาการสนับสนุนจากกิลด์โจร วิธีเดียวคือ พวกเขาก็ต้องหาทางทำให้โรตารี่แก๊งนั้นเป็นอิสระมากกว่านี้
และยิ่งโรตารี่แก๊งหาเงินได้เองมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสามารถปลดพันธนาการในเรื่องการข้องเกี่ยวกับ กิลด์โจรได้มากเท่านั้น
ผมถึงได้รู้ว่า ทำไมไดบันถึงได้ตื่นเต้นนัก อาจเพราะเหตุผลนี้ก็ได้ แม้จะซับซ้อนยุ่งยากในวิธีวิถีทางแต่สุดท้ายมันก็คือเรื่องของเงินอยู่ดี
ผมคิดว่า ตัวเองเข้าใจแล้วว่า ที่เธอพูดว่า ปลายท้ายสุดมันก็ทำร้ายใครสักคนอยู่ดีหมายความว่ายังไง
มันหมายถึงพวกเขาไม่รู้หรอกว่า ข้อมูลที่พวกกิลด์โจรได้ไปจะเอาไปใช้ทำอะไร
“ท่านไม่ต้องรู้เรื่องนี้ก็ได้ ท่านก็แค่ไปที่วิหารแล้วใช้ประโยชน์จากการที่มาจากที่นี่แล้วลืมๆพวกเราไป”
ถึงเธอจะบอกกับสมาชิกแก๊งตัวเองว่า ผมเป็นอนาคตของพวกเขา แต่เธอก็ตั้งใจจะบอกว่า ผมควรจะโฟกัสไปที่การฝึกฝนตัวเองที่วิหาร
ผมไม่จำเป็นต้องไปสนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับแก๊งโรตารี่
ต่อให้มีปัญหาเกิดขึ้นกับแก๊งโรตารี่ก็ตาม
เอเลริสเองก็แนะนำให้ผมตัดขาดกับพวกเขาหลังจากที่ผมได้เงินค่าเทอมจากพวกเขาและเข้าโรงเรียนไปได้แล้ว
และหลังจากที่ผมพัฒนาพรสวรรค์ตัวเองได้ , ผมก็จะได้สิทธิ์ละเว้นค่าเทอมค่าเล่าเรียน และไม่จำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวกับแก๊งโรตารี่อีกต่อไป
นั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไมทั้งโลย่า เอเลริส และซาร์เคการ์ ไม่อยากให้ผมรู้ความลับที่มาของเงินรายได้ของแก๊ง และบอกว่า ผมไม่จำเป็นต้องรู้ด้วย
“หากข้าทำให้ท่านพอใจแล้ว ไปหาไดบันนะ ท่านต้องทำบัตรประชาชน”
เรื่องค่าเข้าเรียนไว้ก่อน ตอนนี้ผมต้องมีบัตรประชาชนก่อน เอาก้าวแรกก่อนก็แล้วกัน
บ้าเอ้ย
ผมเลือกเส้นทางตอนที่แยกตัวออกมาหวังใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบๆจนกว่าจะถึงตอนจบแต่ดันกลายเป็นมายุ่งกับเนื้อเรื่องหลักแทน
ผมอยากใช้ชีวิตชิลๆแต่สุดท้ายก็กลายเป็นต้องมาเข้าวิหาร
ช่วยไม่ได้แฮะ ผมต้องทำอะไรสักอย่าง เหมือนตอนที่ผมช่วยเหลือชาร์ล็อตวันนั้น
หลังจากเข้าสู่วิหาร ผมก็กัดฟันแน่น
อนาคตจะเปลี่ยนไปมากน้อยนั้นขึ้นอยู่กับว่า ผมแข็งแกร่งมากแค่ไหน
แล้วเมื่อถึงเวลานั้น ซาร์เคการ์ เอเลริสและโลย่า
พวกเขาจะรู้เองว่า ดินแดนปีศาจน่ะไม่ได้สำคัญขนาดนั้น