เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 20
เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 20
จากการที่โลย่าประกาศให้ทุกคนรู้ ชายที่ดูเหลาะแหละแต่กล้ามแน่นที่ดูเหมือนเป็นหมายเลขสองก็แทรกขึ้นมา
“พี่สาว , เราจะให้เจ้านี่ทำงานที่ไหน ?”
“เออ ไม่ต้องให้เขาทำอะไรทั้งนั้น”
โลย่าส่ายหัว
“ข้าจะส่งเขาไปที่วิหาร ”
พูดเธอพูดแบบนั้นแล้วเหล่าขอทานต่างทำหน้าแปลกๆ
“นี่เพ่กินไรแปลกๆมาป่าวเนี่ย ?”
“หาาา ?”
พอหนึ่งในพวกขอทานถามขึ้นมาก็รีบถอยทันที เมื่อโลย่าขึ้นเสียงพลางขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจที่เขาพ่นเรื่องไร้สาระออกมา
“ไม่ใช่ไรพี่ , ทำไมอยู่ๆพี่ก็รับไอ้เด็กนี่มาแล้วมันไม่เข้าหน่วยไหนเลย ทั้งที่ไม่รู้จักเด็กนี่เนี่ยนะ ? แล้วเรื่องวิหารอีก ?”
มันก็แน่อยู่แล้วที่ไม่มีเด็กอายุเท่ากันกับผมอยู่ในแก๊งขอทานของโลย่าเลย เด็กวัยเท่านี้ที่แสนดื้อรั้นหนีออกจากบ้านไม่ต่างจากหมาดุที่ยากจะควบคุม ย่อมเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะถามแบบนั้น
โลย่าส่ายหัว
“เจ้าหนูนี่คืออนาคตของพวกเรา”
รู้สึกประหลาดดีที่จู่ๆกลายมาเป็นอนาคตของกลุ่มขอทาน
อันที่จริงผมอาจกลายเป็นอนาคตภายภาคหน้าของเจ้าพวกนี้ไปจริงๆก็ได้
สีหน้าสีตาเจ้าพวกนั้นยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่
โลย่ามองไปที่เหล่าขอทาน ที่ทำหน้าโง่อึ้งทุึ่งอยู่แล้ววางมือท้าวสะเอว
ราชาแห่งขอทานกำลังพูดชี้แจง
“อย่างที่พวกแกรู้กันนั่นแหละเฮ่ย เรานั้นไม่มีอะไรทำ และยังไม่รู้จะทำอะไรทั้งนั้นถูกไหม ?
ถึงบางคนมันจะมาพูดถึงวันเวลาเก่าๆดีๆที่เคยยิ่งใหญ่แล้วตอนนี้ยังไงกัน?
เน่าหนอนกันท่ามกลางกองขี้
นั่นแหละทำไมเราถึงได้มากองกันอยู่ที่นี่น
ที่นี่มันก็เพื่อให้คนที่ไม่มีที่ไปได้มีชีวิตอยู่ต่อ”
“แล้วพวกแกวางแผนจะอยู่แบบนี้กันอีกนานไหมวะ ?
ถ้าแค่ข้าคนเดียวน่ะ ข้าไม่สนหรอก แต่จริงๆพวกแกไม่อยากอยู่แบบนี้ต่อไปใช่ไหมวะ ?
พวกแกน่ะอยากออกจากหลุมแบบนี้เสียทีใช่ไหม ?”
“มันไม่สายเกินไปสำหรับพวกเราที่จะไปเรียนอยู่อะไรใหม่ๆ ด้วยแรงกำลัง….เงินของพวกเรา
ใช่แล้ว จงใช้เงินทุนพวกเรา เราจะเลี้ยงดูคนที่มีความรับผิดชอบต่ออนาคตแก๊งของพวกเรา ”
พอมาคิดๆดูแล้วสิ่งที่โลย่าพูดเนี่ยฟังสมเหตุสมผลน่าดูเลยล่ะ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นกับความมเสน่ในฐานะผู้นำของเธอกับคนอื่นๆ
ผมได้แนะนำโลย่าคร่าวๆว่า กลยุทธคือ การบ่มเพาะบุคคลผู้มีพรสวรรค์ที่เป็นอนาคตของแก๊งโดยมุ่งเน้นเงินทุนไปที่คนๆเดียวเพื่อเป็นเป้าหมายให้กับขอทานทุกคนที่อยู่ที่นี่
ก็มีขอทานหลายคนที่เอียงหัวงงๆกับคำประกาศอันภาคภูมิของโลย่า
“พี่สาว , ข้าคิดไม่ออกว่า ส่งคนไปยังวิหารแล้ว มันจะทำให้พวกเรานอนที่นอนนุ่มๆได้ยังไง ?”
เป็นข้อกังวลที่มีมูลเลยล่ะ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ทั้งผมและเอเลริสเองก็มีข้ออ้างในการจัดการกับสถานการณ์แบบนี้อยู่แล้ว
“ถ้าข้าพูดแบบนั้น มันก็ต้องเป็นแบบนั้นโว้ยไอ้ห่า !”
แต่ก็กลายเป็นว่า โลย่าตะคอกพวกเขาแทน เธอไม่ยอมให้มีการต่อต้านเกิดขึ้น
“ก็ถ้าเป็นอย่างที่บอสบอก”
“ข้าว่า บอสพูดถูก”
ทุกคนยอมรับคำพูดหนึ่งประโยคโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
นี่แหละบอสของพวกนายล่ะ
ถึงยังงั้นก็เถอะคงจะเลวร้ายสุดๆหากเปิดเผยแล้วว่า องค์กรนี้เนี่ยมันเป็นองค์กรของปีศาจหรือไม่ก็องค์กรของขอทาน?
ฐานะมันก็ต่ำอย่างกับหมาทั้งคู่เลยไม่ใช่รึไงน่ะ?
คำพูดโลย่าหนักแน่นไม่ยอมให้มาแก้ตัวใดๆทั้งสิ้น
ทุกคนต่างโดนโลย่าโน้มน้าวในสิ่งที่นางพูดทั้งนั้น
มันก็ให้บรรยากาศแบบนั้นแหละ
หรือบางทีนี่อาจไม่ใช่ครั้งแรกที่โลย่าทำเรื่องบ้าๆ
โลย่าพาผมไปที่กระท่อมหลังโตแล้วก็พาคนมาด้วย
ชายผู้มีร่างใหญ่ ดูเหมือนเขาจะเป็นอันดับสองนั่นแหละ โลย่าแนะนำให้ผมรู้จักกับเขา
พอมีโลย่ามาคอยกำกับ เขาก็สัญญาว่า จะทำดีๆกับผม
“สวัสดีทักทายกันด้วย นี่เป็นอนาคตของแก๊งเรา
หมอนี่ ,ไรฮาร์ด
เอ้า ไรฮาร์ด เจ้านี่คือ น้องชายที่ข้าไว้ใจมากที่สุด แกก็สามารถเชื่อใจหมอนี่ได้ด้วยเหมือนกัน
เขาชื่อ ไดบัน(Daibun)”
“ยินดีที่ได้รู้จัก ,ไรฮาร์ด , ฉันชื่อไดบัน”
เขาเป็นน้องชายที่เป็นที่รักของไลแคนโทรป
มิตรภาพข้ามสายพันธุ์สินะ ?
อาจจะไม่ถึง 1%,แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาน่าจะอยู่ในระดับทศนิยมสองตำแหน่ง
“ข้าคือ ไรฮาร์ด”
ผมเขย่ามือกับเขา มือของเขานั้นใหญ่อย่างกับฝาหม้อ
เทียบกับขอทานคนอื่นแล้ว เขาเหมือนทหารเกษียณที่สวมเสื้อผ้าโทรมๆมากกว่า
เขาให้ภาพของผู้แข็งแกร่ง
บางทีเขาอาจจะเชื่อใจโลย่ามากขนาดที่ไม่ตั้งคำถามแม้จะบอกให้ส่งคนแปลกหน้าจากที่ไหนไม่รู้มาไปยังวิหาร
“พาเจ้านี่ไปรับบัตรประชาชนพรุ่งนี้ด้วย แล้วถ้าแกมีเวลาก็แวะไปที่วิหาร”
“ครับ , พี่สาว”
เราสามคนตอนนี้นั่งล้อมวงกัน
ถึงมันจะเละเทะ สกปรกไปบ้างแต่ก็ถือว่าเป็นสวรรค์เมื่อเทียบกับปราสาทจอมมารที่เกลื่อนกลาดไปด้วยซากศพ
ผมนึกถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด แล้วยืนยันสถานการณ์ปัจจุบัน แม้ที่นี่จะไม่ค่อยสะดวกสบายนักแต่ก็ไม่ได้เลวร้ายถึงที่สุด
ไดบุนเองก็พูดอย่างเก้ๆกังๆตอนที่เขามองไปที่โลย่า
“พี่สาว ,แล้วเราจะเอายังไงกับเรื่อง ค่าเล่าเรียน ?
ฉันไม่ค่อยแน่ใจแต่ไม่ใช่ว่า วิหารนั้นสำหรับเด็กชนชั้นสูงไม่ใช่เหรอ ? ฉันได้ยินมาว่า ใช้เงินเยอะ ”
มันเป็นปัญหาที่เราคิดไม่ถึง พวกเราตัดสินใจแล้วว่าจะส่งผมไป แต่ไม่ได้แก้ปัญหาที่สำคัญที่สุดก่อนเลย มันไม่ใช่เรื่องโดนเจอตัวจริงหากแต่เป็นเรื่องที่มีเงินไม่พอต่างหาก
ด้วยเหตุนั้นเอง จึงเกิดความสงสัยกันว่า โลย่าเนี่ยจะสามารถจ่ายค่าเทอมของวิหารได้ไหม
วิหารการ์เดียสนั้นเป็นสถานศึกษาที่ขึ้นชื่อที่สุดแล้วในทวีป ไม่เพียงแต่ราชวงศ์จักรวรรดิเท่านั้นที่จะมาเรียนกันที่นี่หากแต่ตระกูลชั้นนำทั่วทั้งประเทศต่างเดินทางเข้ามาเรียนกัน
เนื่องจากค่าเล่าเรียนนั้นสูงลิ่วมาก ตัววิหารเองก็เป็นสถานศึกษา แต่ก็เป็นสถานที่ที่ทำเงินให้กับจักรวรรดิมากมาย
เพียงแค่ได้เข้ามาเรียนที่วิหารก็สามารถสร้างเครือข่ายกับบุคคลผู้ทรงอิทธิพลได้แล้ว
ชนชั้นสูงจึงไม่ลังเลที่จะยอมจ่ายเพื่อส่งลูกส่งหลานมาเรียนที่วิหาร
ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นข้อกังขาสำหรับองค์กรขอทานว่าจะสามารถส่งเสียให้ผมไปเรียนในวิหารที่มีค่าเทอมสูงระดับนั้นไหวไหม
ผมมีแผนการฉุกเฉินไว้แล้ว
ค่าเรียนของวิหารนั้นแตกต่างกันไปตามระดับชั้นเรียนและวิชาเอก ถึงอย่างนั้นนักเรียนธรรมดาก็ต้องจ่าย 50 โกลด์ต่อเทอม ก็ประมาณ 50 ล้านวอน(36,326$/1,335,177 บาท) นั่นแหละแปลว่า ปีละ 100 ล้านวอน (72 ,652$/2,670,354 บาท)
แถมให้อีกว่า มันขึ้นกับวิชาเอก(Major)ด้วยนะ
'ก่อนอื่นเลย , ก็ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนตรงเวลาก่อน '
'แล้วนี่ นายคิดจะขอทุนไหม ?'
เป็นที่แน่นอนว่า ผมย่อมต้องฉลาดกว่าเด็กในอายุเฉลี่ย แต่เอาตรงๆนะ ผมเชื่อว่ามีเด็กอีกมากมายในที่แห่งนี้ด้วยซ้ำที่ฉลาดกว่าผม
ซึ่งเรื่องนั้นมันไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก
'จักรวรรดิน่ะกำลังต้องการอาร์โทเรียสคนที่สองคนที่สามอยู่แล้ว ดังนั้นขอแค่มีพรสวรรค์จริงๆ ต่อให้ไม่มีเงินเรียนที่วิหารก็ไม่เป็นอะไรไม่ใช่หรือ ?
ถ้าหากเป็นกรณีนั้นแล้ว ก็จะมีการละเว้นค่าเทอมให้ !'
แม้จะฟังดูเหมือนผมคาดเดาเอาเองแต่จริงๆมันเกิดขึ้นจริงๆนะ
นักเรียนที่มีความสามารถมีพรสวรรค์น่ะแต่มีข้อกำจัดเรื่องการเงิน ก็จะให้วิหารเป็นผู้จัดการแทนให้
แน่นอนว่าพวกนั้นจะไม่ให้คุณต้องจ่ายเงินก้อนโตหรอก
ในฐานะที่ผมเป็นอาร์คเดม่อนก็น่าจะมีอะไรบางอย่างที่ผมพอทำได้บ้างแหละ
'หลังจากข้าเข้าโรงเรียนแล้วเรียนไปได้แล้ว ก็จะหาสิ่งที่ข้ามีพรสวรรค์ '
หลังจากที่ได้รับการงดเว้นค่าเทอมแล้ว ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรอกน่า เพราะผมจะทำให้พรสวรรค์ของผมเติบโตขึ้นด้วยค่าแอคชีฟเม้นท์พ้อยท์
ในตอนนี้อาจดูเป็นไปไม่ได้แต่ยังมีหลายวิธีในการเอาแต้มค่าแอคชีฟเม้นท์พ้อยท์มาหากผมยังติดหนึบอยู่กับพวกตัวดำเนินเรื่องหลักอยู่
ทุกคนต่างพยักหน้าเหมือนมันเป็นเรื่องที่ฟังเข้าท่าเข้าที
ก่อนหน้านี้ผมถูกบังคับให้ต้องไปวิหาร อันที่จริงผมเองก็อยากใช้ชีวิตอยู่สบายๆ แต่ไม่ว่าจะเลือกทางไหนจะคิดยังไง ผมก็ต้องแข็งแกร่งขึ้นอยู่ดี ไม่ว่าผมจะชอบหรือไม่ก็ตาม
แล้วก็เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องได้เงินมาให้มากพอที่เข้าเรียนในเทอมแรกได้
นอกจากนี้ผมอาจจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหลักแล้วก็เก็บเกี่ยวแอคชีฟเม้นท์พ้อย เพื่อพัฒนาความสามารถของตัวเอง นี่คือเป้าหมายของผม ณ ตอนนี้
“แล้วเราจะทำยังไงกับรายได้ของเรากันล่ะพี่ ?”
“ข้าก็ไม่รู้ว่า แต่อาจจะ…… ไม่แย่ก็ได้มั้ง”
โลย่าไม่ใช่คนฉลาดหลักแหลมอะไรนัก ส่วนไดบุนก็เสนออย่างไม่แน่ใจนัก
“แล้วถ้าเราต้องตัดงบที่พี่ใหญ่ต้องแบ่งไปให้แก๊งอื่นล่ะ ……?”
เงินที่ซาร์เคการ์นั้นต้องใช้จ่ายเพื่อประคองชีวิตชนชั้นสูง
เป็นไปได้ว่า โลย่าไม่เคยเปิดเผยว่า เธอใช้เงินนั่นไปกับอะไร แต่หากเป็นอย่างที่ไดบันพูดจริงๆก็คงสามารถประหยัดเงินก้อนนั้นส่งผมไปเรียนที่วิหารได้
ถึงอย่างนั้นโลย่าส่ายหัวปฏิเสธหนักแน่น
“ข้าพูดไปแล้วไม่ใช่รึไงว่า เลิกพูดเรื่องพรรค์นั้น ?”
“ครับ ….พี่เคยบอกครับ”
ดูเหมือนโลย่าจะบอกกับพวกเขาว่า เธอใช้เงินติดสินบนพวกยาม นั่นเองก็เลยเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกแก๊งของเธอถึงไม่โดนจับ แม้จะอยู่ที่นี่
แน่นอนว่า ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เธอทำแบบนั้นจริงๆหรือเปล่า
เอาล่ะ จะยังไงซาร์เคการ์ก็เป็นชนชั้นสูงคนหนึ่งนี่นะ
เขาอาจจะใช้พลังอำนาจตัวเองในการไม่ให้เกิดอะไรแบบนั้นก็ได้ในขณะเดียวกัน โลย่าเองก็ไม่ยอมยกเลิกเงินสนับสนุนที่มอบให้กับซาร์เคการ์
ไดบันถอนใจ
“ทุกวันนี้รายได้พวกเราก็ลดลง
พี่สาว,ไม่มีใครอยากเข้าใกล้สะพานบรอนซ์เกทอีกแล้ว ”
ข่าวแพร่ไปทั่วแล้วว่า ที่นี่มีแต่พวกเร่ร่อนขอทาน พอนานเข้าผู้คนที่รู้ก็เลยไม่อยากที่จะเข้าใกล้เขตนี้
ผลที่ได้คือ เงินรายได้ก็ลดลงเรื่อยๆ
“นี่มันปัญหาใหญ่ ….”
ดูเหมือนโลย่าจะรู้แล้วว่า นี่มันนอกเหนือที่วางแผนไว้
เธอมองผมเหมือนอยากจะบอกให้ผมช่วยทำอะไรบางอย่างที
ใช่แล้ว , ผมรอเวลาที่ผมจะได้พูดบ้างแล้วล่ะ
“อืมฮึ ….แล้วถ้าเราคิดให้ต่างออกไปไปสักหน่อยล่ะ ?”
“หา ? ต่างไปยังไง ?”
ไดบันถึงกับขมวดคิ้วมุ่ยเหมือนผมพูดอะไรแปลกๆ
ไม่สิ เจ้าพวกนี้ไม่มีแนวคิดเรื่องการพัฒนาตัวเองนี่นะ คำตอบจริงๆมันง่ายมากเลย
“ก็ถ้าลูกค้าหนีเรา เราก็แค่ไปหาเขาถึงที่สิ”
มันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ที่หากไม่มีลูกค้าก็แค่หาใหม่
ผมรู้สึกแย่ด้วยซ้ำที่พวกเขาน่ะไม่สามารถออกจากที่แห่งนี้ได้เสียที
เจ้าพวกนี้น่ะเที่ยวเอาแต่วิ่งไปวิ่งมาเพื่อขายลูกอมขนมหวานให้คนที่ผ่านไปผ่านมา
พอตอนนี้ตลาดโดนปิด ก็ควรจะไปหาทางเปิดตลาดใหม่แทน
ใครจะไปช่วยคุณล่ะ หากคุณเอาแต่กองอยู่กับพื้นแล้วบ่นว่าแย่แล้วๆ?
“หาพวกลูกค้าเหรอ ? หมายถึงให้เราขยายไปยังเขตอื่น ?”
“ใช่แล้ว ”
“คิดอะไรออกบ้างไหม ?”
“หากแกส่งเจ้าพวกนั้นไปไกลเกินไป เด็กๆพวกนั้นก็จะเหนื่อยไวเกินไป”
ไดบันดูเหมือนคิดว่า เป็นเรื่องยากหากจะต้องเดินทางไปไกลเพื่อขายของ
“ไม่เลย , มันเป็นอะไรที่สะดวกกว่านั้นเยอะ”
“สะดวกเนี่ยนะ…?”
“ใช่แล้ว , พวกนั้นก็แค่ต้องไปที่ที่หนึ่ง เป็นสถานที่ที่ผู้คนเข้าออกมากมายเลยยังไงล่ะ พอนึกออกไหมว่าที่ไหน ?”
ผมคิดถึงสถานที่ที่มีทำเลทองเหมือนฝัน ส่วนโลย่าและไดบันก็ยังทำหน้างงๆกันอยู่
“รถไฟมานายังไงล่ะ”
สถานที่ที่มีผู้คนหลั่งไหลไปมามากมายที่สุดในเมืองหลวง
พวกเขาจะพัฒนาจากคนเร่ร่อนข้างทางให้กลายเป็นพ่อค้าเร่ที่สถานีรถไฟ
ทั้งโลย่าและไดบันนั้นต่างตกตะลึงกับไอเดียของผมที่เรียกได้ว่า เป็นการปฏิวัติวงการ
นั่นแหละ นั่นคือวิธีอย่างที่ควรจะเป็น