ตอนที่แล้วตอนที่ 40 ลุงอู๋
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 42 จริงคือเท็จ เท็จคือจริง

ตอนที่ 41 พี่เฟย


เวลา 22.00 น. เจ้าหน้าที่สืบสวนในชุดดำจำนวนมากยืนเรียงรายอยู่นอกอพาร์ทเมนท์ซือสุ่ย

ถนนทั้งสายถูกปิดกั้น บรรยากาศเคร่งเครียดจนแทบหยุดหายใจ

ไม่มีการระดมพลก่อนเริ่มภารกิจ ไม่มีคำพูดปลุกใจใดๆ นักสืบที่ได้รับการคัดเลือกก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างเงียบงัน

ความมุ่งมั่นของพวกเขาชัดเจน แต่ละก้าวนั้นแบกรับน้ำหนักของภารกิจที่สำคัญยิ่งเอาไว้

เนื่องจากพวกมันสามารถเลียนแบบเป็นใครก็ได้ การใช้จำนวนคนเข้าแลกจึงกลายเป็นปัญหามากกว่าความได้เปรียบ เจ้าหน้าที่มือใหม่มักจะกลายเป็นอุปสรรคมากกว่าความช่วยเหลือในสถานการณ์เหนือธรรมชาติเหล่านี้ ดังนั้นทางศูนย์จึงได้ส่งตัวนักสืบที่มีประสบการณ์มากที่สุดสําหรับการดําเนินภารกิจนี้

แต่ละทีมจะถูกนำโดยนักสืบที่เคยเผชิญหน้าและรอดชีวิตจากเหตุการณ์ระดับสี่ พวกเขาทุกคนคือทหารผ่านศึกที่ช่ำชอง ซึ่งเป็นแกนหลักของภารกิจในครั้งนี้ ทุกแง่มุมของภารกิจได้รับการวางแผนอย่างพิถีพิถัน เจ้าหน้าที่แต่ละคนเตรียมพร้อมทางจิตใจสําหรับการเสียสละครั้งนี้ พวกเขาพร้อมที่จะตายในการปฏิบัติหน้าที่ โดยมองว่าตัวเองเป็นเพียงเครื่องมือในการต่อสู้ครั้งใหญ่เพื่อปกป้องมวลมนุษยชาติ

แม้จะมีอดีตที่แตกต่างกัน แต่ในขณะนั้น เจ้าหน้าที่เหล่านี้ยืนหยัดเป็นหนึ่งเดียวกัน พิสูจน์ถึงความกล้าหาญของมนุษย์

ร่างของมนุษย์จำนวนมากหายเข้าไปในอาคาร ไม่กี่วินาทีต่อมาเสียงคร่ำครวญดังก้อง เสียงกรีดร้องที่บีบคั้นหัวใจดังเป็นระยะ เงาที่ไม่มีที่สิ้นสุดเริ่มกระจายไปทั่วอาคาร! ความผิดปกติถูกกระตุ้น!

เมื่อเทียบกับคืนก่อน ความผิดปกติในครั้งนี้มีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างน้อยสามเท่า แม้แต่เจ้าหน้าที่ทั่วไปที่ปิดกั้นถนนก็ถูกดึงเข้าสู่เงามืด!

เกาหมิงซึ่งซ่อนตัวอยู่ในอาคารซี ตาขวาของเขากระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ ขณะกำลังมองเงาที่กลืนกินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ขนาดของความผิดปกตินี้ใหญ่เกินกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้

พวกเขาถึงดึงเข้าสู่เหตุการณ์โดยตรง ไม่มีแม้แต่เวลาตอบสนอง

ไฟสีแดงบนข้อมือกระพริบ การสื่อสารทั้งหมดถูกตัดขาด ไฟโถงทางเดินบิดเบี้ยวอย่างผิดธรรมชาติ เหตุการณ์ที่น่าขนลุกดูเหมือนจะแพร่กระจายไปยังอพาร์ตเมนต์ทุกแห่ง เมื่อมองไปที่ประตูสีแดงสดตามทาง เกาหมิงรู้สึกราวกับว่าเขากําลังจ้องมองไปที่ปากของความตาย

"เรากำลังมีปัญหา" ซวนเหวินถอนหายใจออกอย่างเย็นชา เธอแตะผนังทางเดิน ใบหน้าของเธอซีดลงเล็กน้อย "ตอนแรกฉันคิดว่าจะโลกเงาจะปฏิเสธฉัน ขัดขวางไม่ให้ฉันเข้าร่วมกับคุณเหมือนครั้งที่แล้ว แต่ทันทีที่เงากลืนกินเรา ฉันก็ถูกดึงเข้ามาด้วย"

ในตอนแรกซวนเหวินวางแผนที่จะเป็นผู้ล่า แต่คราวนี้เธอถูกจับเป็นเหยื่อเสียเอง

"มันเป็นความรู้สึกแปลกๆ เหมือนมีบางอย่างกำลังเรียกหาผม" หยานฮัวถอดเสื้อโค้ท เหยียดแขนที่มีกล้ามเนื้อมหึมาออกและบิดเข้าหากัน ปล่อยให้เงาลูบไล้ทั่วทั้งตัวของเขา "อ้า ผมรู้สึกสบายอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับว่า...นี่คือที่ที่ผมควรอยู่"

เมื่อเทียบกับซวนเหวินหรือหยานฮัวที่แสดงออกอย่างชัดเจน ว่านหยูดูสงวนท่าทีมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด เขายืนใกล้กับเกาหมิงจับเครื่องรางที่ลุงอู๋มอบให้ คอของเขาเปียกอย่างเห็นได้ชัด

"เงียบก่อน" เกาหมิงกระซิบส่งสัญญาณให้ทุกคนลดเสียงลงในขณะที่เงี่ยหูไปที่กำแพง 'กําแพง...... บ้าน่า จะมีเสียงหัวใจเต้นได้ยังไง!?'

เกาหมิงเปิดตูห้องที่อยู่ใกล้ตัวเองอย่างช้าๆ เมื่อมองเข้าไปทุกอย่างดูปกติดี แต่เมื่อเหยียบเข้าไปข้างใน เขาจะได้ยินเสียงการเต้นของหัวใจที่อธิบายไม่ได้เสมอ

การเต้นของหัวใจลึกลับนี้ดูเหมือนจะมีอิทธิพลต่อเกาหมิงอย่างมาก อัตราการเต้นหัวใจของเขาเพิ่มขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ราวกับว่าถูกดึงให้สอดคล้องกันจนน่าขนลุก

"เราควรไปที่อาคารบีก่อน" ซวนเหวินแนะนำ ก่อนจะเดินนำทุกคนออกไป แม้ว่าเธอจะดูอ่อนโยนและบอบบาง แต่ก็มีแววตาเปื้อนเลือดในดวงตาของเธอ แผ่นหลังของเธอตั้งตรงดูสง่างาม แต่ใบหน้าของเธอสื่อถึงความมุ่งมั่นที่เยือกเย็นจนเกือบจะน่าสะพรึงกลัว

เมื่อไปถึงทางเชื่อมชั้นห้าของอาคารซี หยานฮัวย้ายที่กั้นออก ซวนเหวินเดินนำต่อเข้าสู่อาคารบี

ทางเดินแคบๆระหว่างอาคาร ซึ่งคั่นด้วยทางเชื่อมไม่กี่เมตร ให้ความรู้สึกเหมือนแม่น้ำที่มืดมิดและเต็มไปด้วยเงา พวกเขาดูเหมือนจะเป็นเรือลําเล็กๆ ที่แล่นไปตามลําธารที่น่ากลัวนี้

ซวนเหวินและหยานฮัว เป็นคนแรกที่เดินเข้าสู่อาคารบี อย่างไรก็ตามเกาหมิงเริ่มไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพวกเขาเดินต่อไปโดยไม่หยุด ระยะห่างระหว่างพวกเขากับตัวเกาหมิงเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะไม่สังเกตเห็นเลยว่าพวกเกาหมิงยังตามอยู่ข้างหลัง พวกเขายังคงเดินต่อไปไม่ได้หันหลังกลับ แต่กลับคุยกับอากาศที่ว่างเปล่าข้างๆแทน ฝีเท้าของพวกเขาเร็วขึ้นและเร็วขึ้น!

"ซวนเหวิน!" เกาหมิงตะโกนเรียกสุดเสียง ซวนเหวินหยุดลงและหันกลับมา แววตาดูสับสน ดวงตาของเธอแดงและเคร่งเครียด เธอมองไปทั่ว แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่เห็นพวกเขา

ในที่สุดร่างของทั้งคู่ก็เริ่มถูกเงากลืนกินและหายไปจากสายตา เกาหมิงรีบคว้าแขนของจูเหมียวเซียวไว้ พวกเขายืนตัวแข็งท่ามกลางทางเดิน เมื่อมองย้อนกลับไป ว่านหยูที่เดินตามหลังสุดก็หายตัวไปอย่างลึกลับเช่นกัน เหลือไว้เพียงแต่เครื่องรางที่ขาดรุ่งริ่งบนพื้น

เดิมทีลุงอู๋ได้มอบเครื่องรางสามชิ้นให้กับเกาหมิงเพื่อป้องกัน หนึ่งสําหรับตัวเขาเอง อีกหนึ่งสําหรับจูเหมียวเซียวและสุดท้ายสำหรับว่านหยู

ตอนนี้ดูเหมือนว่าเพื่อนร่วมทีมสามคนได้กระจัดกระจายไปยังสถานที่ต่างๆแล้ว

"ปรากฏการณ์ผีบังตาหรือเปล่า" จูเหมียวเซียวกำขวานในมือของเธอแน่นขึ้น ไม่ถึงสามนาทีหลังจากเข้าสู่เหตุการณ์ผิดปกติเพื่อนร่วมทีมของเธอก็หายไปจนเกือบหมด

"ไม่มีทางให้หันหลังกลับแล้ว" เกาหมิงปลอบเธอ "อย่ากลัว เราจะไปกันต่อ"

โคมสีแดงขนาดใหญ่แขวนอยู่ตามทางเดินชั้นห้า ของอาคารบี แต่ละดวงตกแต่งด้วยตัวอักษรจีนสําหรับงานแต่งงาน 'ความสุข' แสงสีแดงจางๆ ไล่ความมืดออกไป แต่แทนที่จะรู้สึกดีขึ้น ความรู้สึกที่น่าสะพรึงกลัวกลับรุนแรงขึ้นแทน

"......นี่ ดูเหมือนว่าจะเป็นอาคารบีเมื่อหลายปีก่อน" เกาหมิงตั้งข้อสังเกต ตรงกันข้ามกับการเยี่ยมชมอาคารในช่วงเช้า ทางเดินดูรกรุงรังเต็มไปด้วยสิ่งของต่างๆ ผนังเปื้อนสีเหลืองตามอายุและมีรอยแตกร้าวไปทั่ว อย่างไรก็ตามตอนนี้ผนังทางเดินดูใหม่และสะอาดจนน่าตกใจ

"อาคารยังคงติดตั้งไฟสั่งงานด้วยเสียง ที่ได้รับความนิยมเมื่อสองทศวรรษที่แล้ว ส่วนประตูห้องเหล่านี้... ปราศจากสนิมและการสึกหรอตามปกติ"

ตรงกลางทางเดินมีลิฟต์เก่าซึ่งในความเป็นจริงควรจะเสียไปนานแล้ว แต่กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง มีเสียงเอี๊ยดดังขึ้น ประตูเหล็กเปิดออก เผยให้เห็นหญิงอ้วนที่มีพุงใหญ่เดินออกมา

เธอเดินเงอะงะถือถุงผักเน่าใบใหญ่ในมือซ้ายและมัดผ้าเก่าขาดรุ่งริ่งในมือขวาของเธอ

"พี่เฟย?" เกาหมิงจําผู้หญิงคนนั้นได้ในพริบตา เขาพบเธอก่อนหน้านี้ในตอนเช้าที่ร้านก๋วยเตี๋ยวและเคยไปเยี่ยมบ้านของเธอกับเด็กๆ

แต่พี่เฟยในตอนนี้เมื่อเทียบกับตอนกลางวัน ท้องของเธอใหญ่ขึ้นอย่างผิดธรรมชาติ ทำให้เธอดูผิดปกติอย่างเห้นได้ชัด

เมื่อเธอเห็นทั้งคู่ก็ทักทายทั้งสองด้วยรอยยิ้ม "พวกเธอสองคนวางแผนที่จะย้ายมาที่นี่หรือยัง?"

ขณะที่เธอขยับ ของเหลวสีดําส่งกลิ่นเหม็นก็เริ่มไหลออกมาจากท้องที่บวมของเธอ

"ระวังตัวด้วย" จูเหมียวเซียวไม่กล้ามองที่หญิงอ้วนตรงๆ เธอจับขวานไว้แน่น

"ทำตัวปกติ ให้คิดว่าเธอเป็นคนปกติ" เกาหมิงเตือนด้วยน้ำเสียงกระซิบ แล้วเดินเข้าไปหาพี่เฟยด้วยรอยยิ้ม

เกาหมิงถือเครื่องรางไว้ในมือแน่น เดินเข้าหาพี่เฟย แต่เครื่องรางกลับไม่ตอบสนองอะไร "มาๆให้ผมช่วยถือ เด็กๆยังอยู่บ้านไหม?"

เธอถอนหายใจแรง "เห้อ.. ถ้าฉันรู้ว่าการเลี้ยงดูเด็กมันลำบากแค่ไหน ฉันคงไม่มีวันมีลูกแน่ๆ" พี่เฟยคร่ำครวญออกมา คอของเธอสั่นสะท้านขณะที่เธอขยับตัว ของเหลวเหม็นยังคงซึมออกมาจากท้องของเธอในแต่ละก้าว "พวกเธออยากมานั่งเล่นที่ห้องฉันก่อนไหม"

"แน่นอนอยู่แล้ว ผมคิดจะย้ายมาอยู่ที่นี่จริงๆ" เกาหมิงตอบออกไป

"แค่เชื่อฉัน มันคุ้มค่าที่จะเช่าห้องผีสิงจริงๆ" พี่เฟยยื่นถุงผักเน่าใบใหญ่ให้เกาหมิง พวกเขาเดินไปด้วยกันจากทางเดินที่ทอดยาวจากอาคารบีไปยังทางอาคารเอ ซึ่งคาดว่าเป็นที่ตั้งของอพาร์ตเมนต์ของเธอ

เมื่อพวกเขาไปถึงประตูห้องสีแดงเลือดของเธอ พี่เฟยกำลังเบียดตัวเข้าไปข้างใน จู่ๆครอบครัวอื่นที่อยู่ข้างๆห้องเธอก็เปิดประตูออกมา

จูเหมียวเซียวมองไปที่นั่นโดยไม่รู้ตัวและเกือบจะกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ

หญิงวัยกลางคนโผล่ตัวออกมา น่าจะอายุสี่สิบ สวมชุดเดรสลายดอกไม้ที่ขับเน้นรูปร่างที่ได้รับการดูแลอย่างดีของเธอ อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของเธอมีความผิดปกติที่น่าสยดสยอง มันขาดตาและจมูก แต่แทนด้วยปากสี่ปากตามตำแหน่งต่างๆ

ผู้หญิงคนนั้นพูด ปากทั้งสี่ของเธอเคลื่อนไหวพร้อมเพรียงกัน เธอพิงวงกบประตู เสียงของเธอแต่งแต้มด้วยน้ำเสียงซุบซิบ "วันๆชวนแต่คนอื่นมาเช่าบ้านผีสิง ไม่กลัวสวรรค์ลงโทษหรือไง"

เธอพูดต่อ คําพูดของเธอไหลไม่ขาดตอน "หลังจากก้าวเข้าไปในอพาร์ตเมนต์ของเธอ พวกเธออาจจะพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะกลับออกมา หญิงแก่คนนี้เต็มไปด้วยกลอุบายหลอกลวง พวกเธอควรระวัง!"

ท่าทางของพี่เฟยเปลี่ยนเป็นความโกรธ "นังปากสว่างไม่มีหูรูด! ถ้ายังไม่หยุดพูดอีก ฉันจะฉีกปากเธอทิ้ง!"

อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงที่มีสี่ปากยังคงพูดต่อ "ฉันพูดแต่ความจริงเท่านั้น" เธอไม่กลัว "เธอยังชอบแอบเก็บเสื้อผ้าเก่าที่คนอื่นใส่ทุกวัน ให้ลูกชายคนโตเปลี่ยน'ผิว'อยู่อีกไหม?"

พี่เฟยกำลังถือเสื้อผ้าเก่าๆอยู่หลายชุด ซึ่งบ่งบอกถึงจุดประสงค์ที่น่ากลัวบางอย่างที่เชื่อมโยงกับลูกชายคนโตของเธอ แต่ทันใดนั้นแขนสีเหลืองที่เหี่ยวเฉาก็ยื่นออกมาจากภายในห้องของเธอ

"ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าลูกชายคนโตของเธอจะรอไม่ไหวแล้วนะ" ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะเยาะเย้ยพร้อมกันด้วยปากทั้งสี่ของเธอ เสียงของเธอแตกออกเป็นสี่เสียงหัวเราะที่น่าขนลุก พี่เฟยหยุดโต้เถียง เข้าไปในบ้านพร้อมเสื้อผ้าของเธอ และปิดประตูทันที

ไม่นานเสียงเด็กร้องไห้และเสื้อผ้าฉีกขาดก็ดังมาจากภายในบ้านของเธอ

"พวกเธอสองคนโชคดีที่ได้เจอฉัน" เธอกอดอก น้ำเสียงของเธอบ่งบอกถึงความพึงพอใจในตนเอง "ถ้าพวกเธอต้องการหาที่อยู่ ก็หาห้องไหนก็ได้ที่ยังว่างอยู่ แต่ถ้ายังอยากออกไปอยู่ ก็อย่าเดินเข้าไปในห้องไหนเลย"

'เข้าได้แต่ออกไม่ได้?' เกาหมิงสงสัยในคำพูดของเธอ

"มีหญิงชราคนหนึ่งอาศัยอยู่ที่ชั้นหนึ่ง เขาอาจจะช่วยพวกเธอได้ แต่ระวังผู้จัดการอาคารด้วย" ผู้หญิงคนนั้นแนะนํา มุมปากหลายปากของเธอขดตัวด้วยรอยยิ้มอย่างรู้ทัน "อีกเรื่อง อย่าบอกใครเรื่องที่ฉันพูด ใครๆต่างก็รู้ว่าฉันเป็นคนปากแข็งแค่ไหน"

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด