บทที่ 347: แม่ทัพทั้ง 7
ขณะนี้เลือดที่ถูกพัดพาไปพร้อมกับพลังปีศาจทั้งหมดไหลเข้าสู่คทาโดยที่หลิวอี้ไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย
ระหว่างนั้นพวกอวี่โม่กลั้นใจมองดูคทาที่ดูดซับเลือดด้วยความตึงเครียด ในไม่ช้าแสงสีแดงจากคทาก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
แสงสีแดงที่แสบตาทำให้ทุกคนในที่เกิดเหตุต้องหรี่ตาลง ส่วนคนที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างหลิวอี้ถึงกับต้องยกมือขึ้นบังดวงตาสีแดงฉานของตัวเอง
ทันใดนั้นคทาก็ปลดปล่อยพลังอันแข็งแกร่งออกมา ซึ่งมันหนักหน่วงกว่าก่อนหน้าหลายเท่า
บึ้ม!
พลังที่ปลดปล่อยออกมาทำให้จอมมารกระเด็นลอยไปกระแทกพื้นจนกระอักเลือดออกมา
ไม่กี่อึดใจต่อมา คทาหมุนวนลอยขึ้นไปบนฟ้า และแสงสีแดงเจิดจ้าก็หายไปทันที ก่อนคทาที่ลอยอยู่จะพุ่งเข้าหาอวี่โม่
ทางด้านปีศาจหนุ่มที่ยืนดูอยู่นานยื่นมือออกไปรับโดยไม่รู้ตัว เมื่อมือสัมผัสคทา ร่างกายเขาก็เหมือนถูกโอบล้อมด้วยความอบอุ่น ราวกับว่านั่นคืออ้อมกอดอันอ่อนโยนของผู้เป็นแม่
เมื่อได้คทามาครอง อวี่โม่ก็รู้สึกถึงพลังมหาศาลที่แผ่กระจายในร่างกายของเขา
ส่วนเฟิ่งมู่ชิงและคนอื่น ๆ รู้สึกโล่งใจที่อย่างน้อยวันนี้พวกนางก็มีหนทางเอาชีวิตรอดไปได้
“คทานี้ตกอยู่ในมือของอวี่โม่แล้ว ถือว่าเป็นโชคช่วยจริง ๆ” จิ๋วจิ่วพูดด้วยความดีใจ “อวี่โม่ นี่เป็นโอกาสดีที่สุดที่ท่านจะล้างแค้น!”
“พวกท่านรีบหนีไป!” ปีศาจหนุ่มกระชับคทาในมือและออกคำสั่งเสียงหนักแน่น
จิ๋วจิ่วไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด ทั้ง ๆ ที่สถานการณ์ ณ ตอนนี้พวกเขาเป็นฝ่ายได้เปรียบ ทำไมเขาถึงไม่ใช้โอกาสนี้กำจัดหลิวอี้ให้สิ้นซากล่ะ?
“เราออกไปจากที่นี่ก่อน” อวี้ชิงหลานกล่าว แม้เขาจะไม่เข้าใจความหมายของอวี่โม่ แต่เขาก็เชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตราย
“ไปเถอะ” เฟิ่งมู่ชิงดึงจิ๋วจิ่วออกไป ขณะที่หลิวอี้ยังไม่ฟื้นตัว พวกนางก็รีบก้าวออกจากม่านพลัง
“ในที่สุดก็ออกมาได้สักที” หญิงสาวกล่าวพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นสถานที่ที่คุ้นเคยตรงหน้า
“ท่านได้คทาจอมมารมาครอบครองแล้ว ทำไมไม่ใช้โอกาสนี้กำจัดหลิวอี้เสียล่ะ?” จิ๋วจิ่วถามอวี่โม่ทันทีที่ออกมา นางรู้สึกเสียดายที่เสียโอกาสดี ๆ แบบนี้ไป
ในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ต่อสู้กัน จิ้งจอกสาวก็เข้าใจว่าพลังของชายคนนั้นสูงมาก ในอนาคตถ้าคิดจะกำจัดเขามันจะยิ่งยากขึ้น
“ข้าแค่เคยได้ยินท่านพ่อพูดถึงคทานี้ แต่ยังไม่รู้วิธีใช้มันน่ะ” ปีศาจหนุ่มพูดด้วยความลำบากใจ
พอได้ฟังเหตุผลของเขา ทุกคนต่างก็โล่งใจ มันไม่น่าแปลกใจที่ก่อนหน้านี้อวี่โม่บอกให้รีบหนีออกมาก่อน เพราะถ้าหลิวอี้ฟื้นตัว พวกเขาอาจจะไม่มีโอกาสหนีอีก
“ครั้งต่อไปท่านควรระวังตัวให้มากขึ้น หลิวอี้เป็นปีศาจที่มีพลังสูงมาก เราไม่ควรประมาท” อวี้ชิงหลานพูดเตือน
ถ้าพวกเขามาช้ากว่านี้ อาจจะต้องเก็บศพพวกเฟิ่งมู่ชิงแทน ถือว่าโชคดีที่ยังไม่มีใครเป็นอันตราย
“เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของแม่นางเฟิ่ง เป็นข้าที่ร้อนใจจึงหุนหันพลันแล่นไป ข้าขอโทษ” อวี่โม่ก้มตัวขอโทษทุกคน
วันนี้พวกเขาโชคดีที่รอดมาได้อย่างฉิวเฉียด ซึ่งมันอาจจะไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกในครั้งหน้า
“ตอนนี้ไม่มีประโยชน์ที่จะกล่าวโทษใคร สิ่งสำคัญคือหนานซีถูกช่วยออกมาแล้ว ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับพวกท่าน” เฟิ่งมู่ชิงพูดพร้อมทำหน้าจริงจัง
นางมาเยือนอาณาจักรเทียนว่ายได้ไม่กี่วัน แต่กลับต้องพบกับเหตุการณ์ที่หนักหนามากมาย
ดังนั้นนางต้องแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุด
ปัจจุบันนางต้องการหาสถานที่เงียบสงบเพื่อฝึกฝนวิชาของตนเอง
“หลิวอี้คงไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่าย ๆ เผ่าปีศาจอาจจะบุกโจมตีอาณาจักรเทียนว่ายอีกในไม่ช้า” อวี้ชิงหลานถอนหายใจด้วยความกังวล
“เผ่าปีศาจเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ พวกท่านควรหาที่หลบภัยก่อน ข้าต้องกลับไปที่ตระกูลอวี้เพื่อเตรียมตัว” คุณชายอวี้กล่าวขณะมีสีหน้าหนักใจ เพราะตอนนี้ความสงบสุขที่มีมา 18 ปีกำลังจะจบลง
“ท่านรู้หรือไม่ว่ามีที่สงบเหมาะจะฝึกฝนที่ไหนบ้าง?” เฟิ่งมู่ชิงหันไปถามชายหนุ่ม
นาง จิ๋วจิ่วและซู่หลวนเพิ่งมาที่อาณาจักรเทียนว่าย พวกนางไม่รู้ว่าที่ไหนจะปลอดภัยมากพอ อวี่โม่เองก็เพิ่งออกจากเผ่าปีศาจ เขาคงไม่รู้จักพื้นที่ในอาณาจักรเทียนว่ายดีนัก
ในบรรดาพวกเขา มีเพียงอวี้ชิงหลานที่เป็นคนท้องถิ่นเท่านั้นที่รู้จักดีที่สุด
“จริง ๆ ข้ารู้จักที่หนึ่งที่เงียบสงบและไร้ผู้คน” คุณชายอวี้ใช้เวลาคิดสักพักก็มองหาที่เหมาะสมได้
“ที่ไหนหรือ?” หญิงสาวถามด้วยความตื่นเต้น
“ให้อวี่โม่พาพวกท่านไปที่ยอดเขาทางเหนือของป่าหนานเฟิง ห่างจากที่นั่นไป 3 ลี้ มีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่งเหมาะแก่การฝึกฝนวิชามาก” อวี้ชิงหลานตอบเสียงอ่อนโยน
“ขอบคุณท่านมาก! วันหน้าข้าจะเลี้ยงเหล้าท่านเป็นการตอบแทน”
“ต้องเป็นเหล้าดอกสาลี่ที่ท่านเป็นคนหมักเองด้วยนะ”
“ไม่มีปัญหา”
จากนั้นชายหญิงทั้ง 2 ก็ยิ้มให้กัน ขณะที่จิ๋วจิ่วที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ดีใจสุดขีดและร้องขึ้น “เช่นนี้ ข้ากับซู่หลวนจะได้อยู่กับเฟิ่งมู่ชิงด้วยใช่หรือไม่?!”
อวี้ชิงหลานพยักหน้าตอบ “ใช่ พวกท่านก็ต้องรีบฝึกฝนเพิ่งพูนพลังตัวเอง สัตว์วิญญาณและอสูรครึ่งเทพเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีค่าซึ่งหาได้ยากมาก ในอาณาจักรเทียนว่ายมีหลายคนต้องการจับพวกท่าน หากพวกท่านตกไปอยู่ในมือคนอื่น คงไม่มีทางรอด”
“แล้วแม่นางเฟิ่งยังต้องกลับไปที่สำนักคังเยว่หรือไม่?” อวี่โม่ถามขึ้นทันที
เฟิ่งมู่ชิงยังนับว่าเป็นศิษย์ของสำนักคังเยว่ หากนางหายไปนาน คงเกิดข่าวลือไม่ดีขึ้น
นอกจากนี้นางยังเป็นคนรับรองให้แก่ปีศาจหนุ่ม หากนางหายตัวไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย มันอาจจะเกิดปัญหาตามมาทีหลัง
เฟิ่งมู่ชิงเองก็เพิ่งนึกขึ้นได้ นั่นทำให้มุมปากนางเกร็งขึ้น เพราะนางคงต้องกลับไปที่สำนักคังเยว่อีกครั้งทั้งที่ใจไม่ได้คิดอยากจะกลับไปนัก
ตอนแรกนางเข้าไปที่สำนักคังเยว่ก็เพื่อช่วยชีวิตมู่เฟิง ตอนนี้นางทำเรื่องดังกล่าวสำเร็จแล้ว แต่ถ้าไม่กลับไป อาจเกิดปัญหาตามมาอย่างที่อวี่โม่บอก
ทางด้านอวี้ชิงหลานกลับไม่เข้าใจเรื่องนี้ เพราะคนที่เขาส่งไปยังไม่ส่งข่าวกลับมา
วันนี้คนส่งข่าวต้องรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ชายหนุ่มรู้ แต่พวกเขาบุกเข้าไปในเผ่าปีศาจเสียก่อน คนที่ส่งมาสอดแนมจึงมีเวลาบอกแค่ว่าพวกเฟิ่งมู่ชิงบุกเข้าไปในเผ่าปีศาจ
หลังจากอวี่โม่อธิบายเรื่องการเปิดเผยตัวเองเพื่อขอความช่วยเหลือจากมหาอำนาจทั้ง 7 และเฟิ่งมู่ชิงกลายเป็นคนรับรอง คุณชายอวี้จึงนิ่งคิดสักพักก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ท่านพาพวกแม่นางเฟิ่งไปก่อน พรุ่งนี้เช้า ข้าจะไปที่สำนักคังเยว่เอง”
“ตกลง”
เมื่อเรื่องนี้มีหนทางแก้ไขแล้ว อวี้ชิงหลานจึงรีบออกไป ส่วนอวี่โม่ก็พาเฟิ่งมู่ชิงและคนอื่น ๆ ไปที่ป่าหนานเฟิง จากนั้นพวกเขาจะแวะไปที่เรือนมู่ซีเพื่อพบกับมู่เฟิงและหนานซีด้วย
เขาต้องไปแจ้งข่าวพวกเขาว่าทุกคนปลอดภัยแล้ว
…
ในเวลาเดียวกัน หลิวอี้ที่บาดเจ็บหนักมองไปที่ม่านพลังด้วยความโกรธ
“อวี่โม่! มู่เฟิง! ข้าจะทำให้พวกเจ้าทรมานยิ่งกว่าตาย!”
เขาคาดโทษทุกคนที่ทำให้เขาต้องพบเจอกับความอัปยศอดสูและกลับไปยังวังมาร เมื่อถึงวัง เขาก็สั่งการด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ให้แม่ทัพทั้ง 7 ของเผ่ามาพบข้า!”
“ขอรับ!” ทหารปีศาจตอบเสียงสั่นและรีบวิ่งออกไป ขณะออกจากห้องโถง เขาก็มีเหงื่อท่วมตัว
น่ากลัวมาก ข้านึกว่าตัวเองจะไม่รอดเสียแล้ว
หลังจากรู้ว่าอาณาจักรเทียนว่ายแบ่งเป็น 7 มหาอำนาจ เผ่าปีศาจก็สร้างแม่ทัพทั้ง 7 เพื่อเผชิญหน้ากับมหาอำนาจทั้ง 7
การโจมตีเมืองเทียนหยวนครั้งก่อนก็เป็นฝีมือของ 1 ใน 7 แม่ทัพ
ตอนนั้นท่านจอมมารคนเก่าไม่มีความทะเยอทะยานอะไร แม่ทัพบางคนจึงรู้สึกไม่พอใจ แล้วลอบบุกโจมตีเมืองเทียนหยวน แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว
และแม่ทัพที่กระทำโดยพลการนั้นก็ถูกฆ่าโดยอดีตจอมมารเพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู จากนั้นก็ให้ปีศาจอีกตนขึ้นแทน นั่นเป็นครั้งเดียวที่คนในเผ่าเห็นอดีตจอมมารที่มักอารมณ์ดีโกรธเกรี้ยวอย่างรุนแรง
แม่ทัพทั้ง 7 เมื่อได้รับข่าวก็รีบเร่งมาที่วังมาร เพราะกลัวว่าหากช้ากว่านี้ตนจะถูกหลิวอี้ฆ่า
ตอนที่อดีตจอมมารยังครองบัลลังก์อยู่ เขาพอจะควบคุมหลิวอี้เอาไว้ได้บ้าง แต่เมื่ออดีตจอมมารตายไปก็ไม่มีใครในเผ่าปีศาจที่สามารถสู้กับชายคนนั้นได้อีก และนับตั้งแต่เขาขึ้นเป็นจอมมารคนใหม่ เผ่าปีศาจก็เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
แม่ทัพทั้ง 7 รีบเข้าไปในวังมาร และเห็นหลิวอี้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยใบหน้าถมึงทึง ใจของพวกเขาก็กระตุก
ใครกันที่กล้าทำให้หลิวอี้โกรธเช่นนี้ คงไม่ใช่ว่าเขาจะเอาความโกรธนี้มาลงที่พวกข้านะ
ยามนี้ 7 แม่ทัพยืนตัวสั่นอยู่ตรงหน้าจอมมาร ในขณะที่คนเหล่านั้นแทบไม่มีใครกล้าหายใจเสียงดังเลยสักนิด
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าไม่ยอมรับข้า” หลิวอี้เอ่ยปากพูดเบา ๆ
เพียงคำพูดนี้ก็ทำให้เหงื่อกาฬไหลซึมออกมาจากแผ่นหลังของกลุ่มคนที่ได้ฟังจนเสื้อผ้าต้องเปียกชุ่ม
พวกเขาไม่อาจยอมรับความโหดร้ายของหลิวอี้ได้จริง ๆ
อดีตจอมมารเป็นคนใจดี แม้จะไม่เห็นด้วยกับการปะทะกับอาณาจักรเทียนว่ายโดยตรง และยังให้เผ่าปีศาจลดความทะเยอทะยานของตัวเองลง แต่เผ่าปีศาจภายใต้การปกครองของเขาก็มีความสงบสุขไม่น้อย
แต่หลิวอี้ ชายผู้นี้ฆ่าพี่ชายของตัวเองเพื่อขึ้นครองบัลลังก์ เขาช่างโหดเหี้ยมไร้ความเมตตา และเข่นฆ่าไม่เลือกหน้า ในช่วงนี้มีปีศาจมากมายที่จบชีวิตลงด้วยน้ำมือเขา
แม้จะไม่ใช่พี่น้องกันจริง ๆ แต่อดีตจอมมารดูแลน้องชายคนนี้เป็นอย่างดี ซึ่งมันเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนในเผ่าปีศาจ แต่หลิวอี้กลับสังหารอดีตจอมมารแถมยังจะบังคับองค์หญิงหนานซีให้แต่งงานกับตนอีก
สิ่งที่เขาทำทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่น่าขันที่สุด!