บทที่ 33 ปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ให้ข้าเห็นมันอีกครั้ง
หลังงานเลี้ยงจบลงแล้ว หลัวเฉิงก็กำลังจะกลับจวนเพื่อไปฝึกฝนต่อ ระหว่างนั้นเองเขาก็เห็นว่าหลัวหงผู้เป็นบิดาเดินตามหลังเขามา
“ท่านพ่อ มีอะไรงั้นหรือ” หลัวเฉิงถามด้วยความสงสัย
“เฉิงเอ๋อร์ วันนี้เจ้าทำให้พ่อรู้สึกประหลาดใจมาก พ่อภูมิใจในตัวเจ้า” หลัวหงกล่าวด้วยรอยยิ้มปิติสุข
ก่อนหน้านั้น หลัวเฉิงเห็นเพียงใบหน้าของบิดาที่เต็มไปด้วยความเคร่งขรึมอยู่ตลอด แต่ตอนนี้กลับเผยให้เห็นรอยยิ้มที่หายากยิ่งนัก
หลัวเฉิงยิ้มกว้างราวกับหัวใจได้เติมเต็ม เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มเช่นนี้ของบิดามานานแล้ว
จากนั้น หลัวหงถามอีกว่า “เจ้าเพิ่งจะฝึกเพลงหมัดสยบภูผาได้ไม่นานใช่หรือไม่”
หลัวเฉิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าเพิ่งฝึกมันได้ประมาณครึ่งเดือนขอรับท่านพ่อ”
“ครึ่งเดือนงั้นหรือ…” หลัวหงอุทานด้วยความตกใจ
จากนั้นเขาหายใจเข้าลึกๆ พยายามสงบสติอารมณ์ ที่กำลังปะทุความตื่นเต้นขณะนี้
ใช้เวลาเพียงครึ่งเดือน ก็สามารถฝึกฝนวรยุทธระดับสามดาวจนบรรลุขั้นฉลาดล้ำเลิศได้!
พรสวรรค์ในการเข้าใจวรยุทธเช่นนี้ สูงกว่าเขาในตอนนั้นมาก
ระดับพลังยุทธ์สามารถก้าวหน้าได้โดยใช้โอสถวิญญาณในการทะลวง แต่วรยุทธต้องอาศัยความเข้าใจและการฝึกฝนของตนเองเท่านั้น
“หรือว่านี่จะเป็น...” ดวงตาของหลัวหงสั่นไหวเมื่อนึกถึงบางสิ่ง
จากนั้นเขากล่าวอย่างรีบร้อนว่า “เฉิงเอ๋อร์ ปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ของเจ้าให้พ่อเห็นมันอีกครั้ง พ่ออยากพิสูจน์อะไรบางอย่าง”
หลัวเฉิงพยักหน้าและปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ของเขาทันทีโดยไม่ลังเล
พัฟ!
ไข่ขนาดใหญ่จรัสแสงลึกลับเก้าสีสูงราวสิบสองฉื่อ ปรากฏขึ้นเบื้องหลังหลัวเฉิงอย่างฉับพลัน
หลัวหงย่างเท้าเข้าไปใกล้หมายดูให้ชัดถนัดตากว่านี้ หว่างคิ้วของเขาค่อยๆ ขมวดเข้าเรื่อยๆ แต่ไม่ช้า เขาก็ถอนหายใจลากยาวพลางส่ายศีรษะ
ในตอนแรกนั้น หลัวหงสงสัยว่าเขาเข้าใจวิญญาณยุทธ์ของบุตรชายผิดไปหรือไม่ เนื่องจากหลัวเฉิงมีความก้าวหน้าในการฝึกฝนอย่างรวดเร็ว ทั้งความสามารถในการเข้าใจวรยุทธก็อยู่ในระดับสูง จึงอาจเป็นได้ที่วิญญาณยุทธ์จะไม่ใช่ไข่ที่ยังไม่ถือกำเนิด
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะมองอีกกี่ครั้ง มองจุดไหนหรือมุมใด ผลลัพธ์ที่ได้มันก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
“ท่านพ่อคือว่ามัน……”
หลัวเฉิงมองดูท่าทางผิดหวังของบิดาเขา และลังเลใจว่าจะบอกความจริงกับเขาดีหรือไม่
ขณะที่วาจาของเขานั้นมาถึงริมฝีปากแล้ว รอเพียงการเอื้อนเอ่ยออกมาเท่านั้น แต่เขาก็ต้องกลืนมันกลับลงไป
วิญญาณยุทธ์ของเขามีดวงดาวนับไม่ถ้วน! ทั้งยังมีความสามารถในการกลืนวิญญาณสัตว์อสูรและวิญญาณยุทธ์ของผู้อื่นเพื่อเติบโตได้! ยิ่งไปกว่านั้น สัญลักษณ์เก้าสีบนฝ่ามือเขาก็สามารถหลอมโอสถได้เช่นกัน!
อย่างไรก็ตาม หากเรื่องนี้แพร่กระจายสู่ภายนอก มันจะต้องสะเทือนทั้งยุทธภพอย่างแน่นอน!
นอกจากนี้ หลัวเฉิงยังเอ่ยถามหลัวหง เกี่ยวกับเกล็ดเก้าสีที่เป็นของดูต่างหน้าของมารดาเขา
ซึ่งหลัวหงรู้เพียงว่า เกร็ดเก้าสีนี้เป็นเพียงสิ่งที่มารดาของเขาทิ้งไว้ให้ด้วยเหตุผลบางอย่างเท่านั้น บิดาเขามิได้ล่วงรู้สิ่งใดไปมากกว่านี้
ในเมื่อมารดาเขามิได้บอกสิ่งใดกับบิดาไว้ แสดงว่านางคงมีความลับบางอย่างของเกร็ดเก้าสีนี้อย่างแน่นอน
หลัวเฉิงจึงตัดสินใจเก็บความลับนี้ไว้ก่อนที่จะพบกับมารดาของเขา เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาต่างๆ ที่จะตามเขามาในภายหลัง
“เฉิงเอ๋อร์ เจ้ากำลังจะบอกอะไรพ่องั้นหรือ”
หลัวหงเอยถามทันที เมื่อเขาเห็นหลัวเฉิงกำลังจะกล่าวบางสิ่งแต่กลับหยุด
“เปล่าท่านพ่อ ไม่มีอะไร” หลัวเฉิงกล่าวพลางส่ายศีรษะ
จากนั้นเขาจึงเปลี่ยนเรื่องสนทนาอย่างกะทันหัน “ท่านพ่อ หากมีโอสถระดับสี่ดาว จะสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของท่านได้หรือไม่”
“มันคงเป็นไปได้ยาก” หลัวหงส่ายศีรษะพร้อมทอดถอนใจ
แต่ด้วยความอบอุ่นเล็กน้อยในใจ เขาจึงเอื้อมมือไปตบบนไหล่ของหลัวเฉิง
“เจ้าอย่าได้กังวลกับเรื่องนี้ สิ่งเดียวที่เจ้าต้องทำในตอนนี้คือฝึกฝนให้หนักเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันล่าสัตว์เท่านั้น เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชะตากรรมของตระกูล”
“ท่านพ่อไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”
หลัวเฉิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นสายตาที่มุ่งมั่นของหลัวเฉิง หลัวหงก็ทอดถอนใจเงียบๆ ภายในดวงตาของเขายังปรากฏถึงความกังวลบางอย่าง
ในขั้นหลอมกายานั้น มันสามารถพัฒนาระดับพลังยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว หากใช้โอสถวิญญาณในการฝึกฝน
แต่ทว่า เมื่อระดับพลังยุทธ์สูงขึ้นกว่านี้ วิญญาณยุทธ์จะกลายเป็นตัวฝึกฝนหลัก และกำหนดอนาคตความสำเร็จของผู้ฝึกยุทธ์
สิ่งที่เขากังวลก็คือ หลัวเฉิงกลืนโอสถวิญญาณและพัฒนาระดับพลังยุทธ์เร็วเกินไป หากการฝึกฝนในภายหน้าเลื่อนระดับได้ช้าลง เกรงว่าเขาคงท้อแท้ในการฝึกยุทธ์เป็นแน่!
“หากวิญญาณยุทธ์ไข่นี้ สามารถถือกำเนิดออกมาได้อย่างสำเร็จ บางทีอาจจะ…” หลัวหงพึมพำกับตนเองในใจ
เขาตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่า ต่อให้สิ่งใดจะเกิดขึ้นในภายหน้า เขาก็จะหาวิธีทำให้วิญญาณยุทธ์ของหลัวเฉิงถือกำเนิดให้ได้
ทั้งสองเดินสนทนาเกี่ยวกับเรื่องการฝึกฝนกันไปตามถนน หลังผ่านไปได้สักพัก หลัวเฉิงก็กล่าวขอตัวลาจากบิดาตน และกลับไปยังเรือนเล็กๆ ที่เขาอาศัยอยู่
ครั้นถึงเรือน เขาก็เริ่มพึมพำกับตนเอง ใคร่ครวญถึงวิธีการที่จะคว้าอันดับหนึ่งในการแข่งขันล่าสัตว์ครานี้
“ฉีถิงได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับเก้าแล้ว ข้าได้ยินมาว่าหลินอวิ๋นแห่งตระกูลหลินแข็งแกร่งกว่านางมาก…”
“หากข้าต้องเอาชนะพวกเขา จะต้องทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับเก้าโดยเร็วที่สุด และเพลงหมัดสยบภูผาจะต้องฝึกฝนให้มันบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบให้ได้!”