ตอนที่ 47 ตัวเอกชายคนนี้คิดกบฏ
ตอนที่ 47 ตัวเอกชายคนนี้คิดกบฏ
เจ้าของเสียงนั้นคือท่านโหวซูที่ขโมยความเด่นของเขาไป
เฉินเฟิงจำบุคคลนี้ได้รางๆ
ยกเว้นซูอันแล้วคนที่สวมชุดผู้คุมก็จ้องมองเฉินเฟิงด้วยความเย็นชา
“พวกเจ้าเป็นใคร แล้วมาอยู่ที่บ้านข้าได้อย่างไร” เฉินเฟิงถามด้วยความสับสน ก่อนที่เขาจะค่อนข้างชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์ตรงหน้า
เหตุใดหนุ่มรูปงามที่นั่งสูงสุดในงานชุมนุมกวีจึงมาที่บ้านเขาล่ะ?
“บ้าน? ดูเหมือนเจ้ายังไม่รู้ว่านี่คือที่ใดสินะ” ซูอันโบกมือเรียกคนข้างหลัง “เข้ามาเรียกสติให้คุณชายเฉิน!”
ผู้คุมทั้งสองเดินขึ้นมาทันที พวกเขามีรอยยิ้มที่ดุร้าย
“เจ้า พวกเจ้าจะทำอะไร?”
เพียะ!
“เจ้ากล้าตบข้า?!”
เพียะ!
“เจ้าไม่กลัวตายหรือ?”
เพียะ!
“พ่อข้าคือเฉินลี่!”
เพียะ!
“ฮือ ฮือ ฮือ...”
เพียะ!
“ฮือ พวกเจ้าระวังไว้เถอะ พ่อของข้าไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่” แก้มของเฉินเฟิงบวมเป่งและคำพูดของเขาแหบแห้ง
เพียะ เพียะ เพียะ!
“ฮ่าฮ่า พวกข้ากลัวมากเลย เช่นนั้นคุณชายเฉินลองตั้งสติแล้วหันไปมองทางซ้ายของเจ้าดูหน่อยสิ”
หลังจากได้ยินคำข่มขู่ของเฉินเฟิงแล้วผู้คุมก็หัวเราะแล้วชี้ไปทางซ้าย
เมื่อเฉินเฟิงได้ยินจึงหันไปมองทางซ้ายและเห็นชายวัยกลางคนสวมชุดนักโทษถูกขังอยู่ในห้องขังข้างๆ นี้เอง ร่างกายของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยรอยแส้และมือเท้าถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนวิญญาณ กำลังก้มหน้าลงด้วยสีหน้าพ่ายแพ้
“ท่านพ่อ!”
เมื่อเห็นร่างที่คุ้นเคยนี้แล้วเสียงของเฉินเฟิงทั้งแหลมทั้งสั่น
บิดาของเขาเป็นแม่ทัพของราชสำนัก ถือเป็นบุคคลระดับสูงในกองทัพ แต่กลับถูกโยนเข้าคุกด้วย
เมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกของเฉินเฟิง เฉินลี่จึงเงยหน้าขึ้นทันที แต่เขามองไปที่เฉินเฟิงด้วยความเกลียดชังเข้ากระดูก
“มารชั่ว สารเลว!”
“เจ้ายึดร่างลูกชายข้าแล้วกำลังลากตระกูลเฉินของข้าไปสู่ความตายด้วยคำพูดที่หยิ่งผยองของเจ้า!”
“ข้าน่าจะตีเจ้าให้ตายตั้งแต่แรก!”
ตอนแรกที่เฉินลี่เห็นว่าเฉินเฟิงกลายเป็นคนปกติ เขาแอบมีความคิดที่ว่าวิญญาณในร่างนั้นไม่สอดคล้อง แต่ในเวลานั้นเขามีความพอใจและเมื่อเห็นว่าเฉินเฟิงยังเรียกเขาว่าท่านพ่อด้วยความเคารพ เขาจึงคิดว่าเป็นแบบนี้ก็ไม่เลว จึงไม่เปิดเผยมัน
ใครจะคิดว่าเพียงไม่นาน สิ่งนี้ได้นำพาหายนะมาสู่ตระกูลเฉิน
หลังจากที่องค์ชายใหญ่ประสบความล้มเหลว เขาก็ระมัดระวังมาโดยตลอด แต่สุดท้ายเขามีจุดจบเช่นนี้
เขาเสียใจนัก!
ตอนนี้เฉินเฟิงกำลังสิ้นหวังอย่างยิ่ง
“จบแล้ว มันจบแล้ว!”
คนอื่นๆ เดินทางข้ามเวลา ได้เชยชมหญิงงามและไปถึงจุดสูงสุดของชีวิต แต่เหตุใดเขาถึงได้เข้าคุก!
“เล่าให้ฟังหน่อยสิว่าเหตุใดเจ้าจึงคิดกบฏ?” ซูอันนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่ที่ผู้คุมนำมาวางให้และถามด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
“ข้า ข้าไม่ได้ทำ!”
เฉินเฟิงอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา เขาไม่ได้ท่องบทกวีสองสามบทเพื่อโอ้อวดหรอกหรือ? เหตุใดจึงเป็นการกบฏเสียได้
เพียะ!
“เหตุใดจึงคิดกบฏ?”
“ข้าไม่...”
เพียะ!
บัดนี้เฉินเฟิงยังมีสติอยู่บ้าง เขาตระหนักได้ดีว่าไม่อาจยอมรับข้อหากบฏ ต่อให้เขาจะถูกทำร้ายหนักเพียงใด เขาต้องยืนกรานและปฏิเสธเด็ดขาด
แต่มันไม่มีประโยชน์เลย
“ใช้คำสาปกินวิญญาณ!” ซูอันสั่ง
ผู้คุมที่อยู่ข้างๆ ใช้พลังเวทตามคำสั่งทันที จากนั้นตราคำสาปรูปหัวกะโหลกโลหิตถูกผลักเข้าในร่างกายของเฉินเฟิง
เฉินเฟิงมองตราคำสาปด้วยความหวาดกลัว แต่ร่างของเขาถูกสะกดไว้จึงไม่สามารถหลบได้เลย
ในเวลาไม่ถึงอึดใจ เขากรีดร้องออกมาโดยควบคุมไม่อยู่
ผิวหนังทั่วตัวเป็นสีแดงและเส้นเลือดกระตุก ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีขาว
คำสาปกินวิญญาณนี้เป็นคาถาเล็กๆ ที่ดัดแปลงโดยต้าซาง เป็นการใช้คาถาวิเศษสำหรับทรมานและรีดคำสารภาพ มันสามารถสร้างความเจ็บปวดต่อจิตวิญญาณของผู้คนโดยตรงและไม่สร้างบาดแผลทางกาย
แต่ความเจ็บปวดประเภทนี้รุนแรงกว่ามดหลายพันตัวรุมกัดกินหัวใจและยัดเกลือใส่บาดแผลพร้อมกันถึงสิบเท่า แม้แต่ผู้ฝึกตนที่มีโพธิจิตแข็งแกร่งยังยากที่จะทนไหว
และเฉินเฟิงคนที่เพิ่งเดินทางข้ามเวลามาจะมีความแข็งแกร่งแค่ไหน
รอจนคำสาปกินวิญญาณผ่านไปหนึ่งรอบ เฉินเฟิงดูราวกับคนขาดน้ำ ริมฝีปากของเขาไร้สีและรอบดวงตาหมองคล้ำ
“เหตุใดต้องคิดกบฏ?” ซูอันถามอีกครั้ง
“ข้า ข้าผิดไปแล้วที่มีใจกบฏ”
“เฉินลี่เกี่ยวข้องหรือไม่?”
“เกี่ยว” เฉินเฟิงตอบด้วยความอ่อนแรง
แม้ว่าเฉินลี่จะไม่เกี่ยวข้องเลยก็ตาม
แต่ตอนนี้เฉินเฟิงไม่กล้าปฏิเสธข้อกล่าวหาของซูอัน
เพราะความรู้สึกนั้น...เขายอมตายดีกว่าได้สัมผัสมันอีกเป็นครั้งที่สอง
“จ่งหยวน หลี่ฉี ผิงซานเหยียน...คนเหล่านี้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าหรือเปล่า? พูดความจริง!” คนเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงเศษเสี้ยวของอดีตองค์ชายใหญ่ที่ยังไม่ได้รับการจัดการโดยสมบูรณ์
“ใช่”
“ดีมาก” หลังจากซักถามอีกสองสามคำ ซูอันจึงโยนหินฉายซ้ำให้ผู้คุมและลุกขึ้นยืน “ผู้ต้องหารับสารภาพแล้ว หลักฐานได้ข้อสรุปแล้ว ความผิดนี้ร้ายแรงมากและควรถูกประหารทันที!”
ฟึบ!
ฝ่ามือหนึ่งฟาดลงไปและสิ่งที่เหลืออยู่คือแอ่งโคลนโลหิต
จากนั้นเปลวไฟสีม่วงลุกโชนขึ้น เปลี่ยนแอ่งโคลนโลหิตนี้ให้กลายเป็นความว่างเปล่า
[ติ๊ง! โฮสต์ทรมานตัวเอกเฉินเฟิงเพื่อบังคับให้รับสารภาพ ทุบตีจนตัวเอกเฉินเฟิงยอมจำนน ให้คะแนนตัวร้าย 1000]
[ติ๊ง! ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ที่สังหารตัวเอกได้ แย่งชิงสูตรโกง : รัศมีแห่งความน่าเชื่อถือ คำพูดของโฮสต์จะน่าเชื่อถือมากขึ้น]
เสียงแจ้งเตือนของระบบดังขึ้น ซึ่งทำให้ซูอันไม่พอใจเล็กน้อย
“ทรมานเพื่อบังคับให้รับสารภาพอะไรกันล่ะ เห็นได้ชัดว่าเฉินเฟิงถูกข้าชี้แนะจนค้นพบมโนธรรมได้และสมัครใจไปตายเองต่างหาก”
หลังจากบ่นใส่ระบบแล้ว เขาจึงเห็นจี้หยกที่หลงเหลืออยู่ของเฉินเฟิง
“หืม?”
ซูอันพูดเบาๆ และก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยิบจี้หยกมาดู จี้หยกนี้ไม่ถูกเปลวไฟของไข่มุกหยางแท้ทำลายซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันไม่ธรรมดา
เขาถือมันไว้ในมือแล้วใช้จิตวิญญาณสำรวจจี้หยก
แต่หลังจากตรวจสอบถี่ถ้วนแล้วกลับไม่พบความผิดปกติใดๆ
ในเวลานี้ตำหนักเซียนไท่ซวีในร่างกายของเขาสั่นเล็กน้อย จี้หยกก็สั่นสะเทือนไปด้วย เผยให้เห็นความผันผวนเชิงพื้นที่
“มันอาจเป็นกุญแจสู่อาณาจักรลับก็ได้”
ซูอันคาดเดาและเก็บจี้หยกไว้
ไม่น่าแปลกใจเลยที่จี้หยกนี้อาจเป็นหนึ่งในสื่อชักนำของเฉินเฟิง
เก็บไว้ก่อนดีกว่า
จากนั้นซูอันมองไปที่รัศมีแห่งความน่าเชื่อถือ เพราะเฉินเฟิงมีรัศมีแห่งความน่าเชื่อถือนี่เองจึงทำให้คนที่ไม่มีพรสวรรค์ด้านวรรณกรรมเลย แค่คัดลอกบทกวีมาสองสามบท แต่กลับไม่มีใครสงสัยในตัวเขา
หากซูอันไม่จัดคนมาสร้างปัญหาในงานชุมนุมกวี เกรงว่าเฉินเฟิงจะเสแสร้งได้สำเร็จ
ทว่าผลของรัศมีนี้มีขีดจำกัดด้วย เช่นเดียวกับตอนที่ตู้เปิ่นตู้และคนอื่นๆ ที่ได้รับคำสั่งให้สร้างปัญหาแก่เฉินเฟิง แม้จะเชื่อสิ่งที่เฉินเฟิงพูดเพราะอำนาจของรัศมีแห่งความน่าเชื่อถือ แต่กลับไม่หยุดสร้างความลำบากให้เฉินเฟิงตามคำสั่งของเขา
หลังจากบรรลุเป้าหมายในการสังหารตัวเอกชายแล้ว ซูอันจึงเดินออกจากคุก สำหรับเฉินลี่บิดาของตัวเอกชายและคนอื่นๆ อีกหลายคนที่ถูกซัดทอดนั้น ผลที่รอคอยพวกเขาน่าจะเป็นการถูกประหารชีวิตเช่นกัน
……
“เจ้ากำลังบอกว่าช่วยแก้ปัญหาให้ข้าอีกแล้วหรือ?”
ในตำหนักไท่หยวน ซูรั่วซีมองไปที่ซูอันด้วยอาการปวดหัว
“เป็นหน้าที่ของกระหม่อมที่จะต้องแบ่งเบาความกังวลของฝ่าพระบาทและแก้ไขปัญหาต่างๆ แทนพระองค์ กระหม่อมแค่ทำสิ่งที่ต้องทำ ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องให้รางวัลกระหม่อมที่ปฏิบัติตามหน้าที่หรอกพ่ะย่ะค่ะ”
ซูอันยิ่งทำตัวเหมือนขุนนางตงฉินมากเท่าไร ยิ่งทำให้จักรพรรดินีปวดหัวมากเท่านั้น
บอกว่าจะให้รางวัลเจ้าเมื่อใด? แค่ตีงูกลุ่มหนึ่งไม่ใช่หรือ
“เจ้าคงประพันธ์กวีต่อต้านเหล่านั้นเองสินะ ความสามารถทางวรรณกรรมของเจ้าดีนี่ เสี่ยวอันจื่อ!” ดวงตาของจักรพรรดินีหรี่ลงเล็กน้อย ทำให้ยากต่อการบอกว่านางกำลังมีความสุขหรือโกรธกันแน่