ตอนที่แล้วตอนที่ 45 งานชุมนุมกวี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 47 ตัวเอกชายคนนี้คิดกบฏ

ตอนที่ 46 จักรพรรดิผลัดกันเป็น


ตอนที่ 46 จักรพรรดิผลัดกันเป็น

  

โดยปกติแล้ว แม้ว่าเฉินเฟิงจะดื่มสุราไปบ้าง แต่ไม่เคยมาถึงจุดนี้

  

แต่เพราะมีคนเติมบางสิ่งลงในสุราจึงทำให้ขณะนี้ยาเริ่มออกฤทธิ์แล้ว

  

“เบญ...จะ...เบญ...” ทันทีที่เฉินเฟิงเปิดปากพูด เขากลับพูดติดๆ ขัดๆ

  

เขาคิดว่าที่โรงเรียนสอนบทกวีโบราณเกี่ยวกับดอกเบญจมาศอีกบ้างหรือเปล่า

  

แต่เขาจำไม่ได้จริงๆ ถึงอย่างไรใครจะจดจำบทกวีโบราณไว้มากมายโดยไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวัน

“คิดไม่ออกแล้วล่ะสิ” ตู้เปิ่นตู้เห็นแล้วพูดประชด “เจ้ายอมรับว่าลอกมาเถอะ”

  

“ใคร...ใครบอกว่าข้าคิดไม่ออก!” เฉินเฟิงตบต้นขาของตัวเอง และทันใดนั้นเขานึกถึงบทกวีดอกเบญจมาศที่แพร่หลายบนโลกอินเทอร์เน็ตและเขาทำได้เพียงท่องจากความทรงจำ

  

“แค่ดอกเบญจมาศไม่ใช่หรือ เจ้าฟังให้ดี...แปดเดือนเก้าใบไม้ร่วงมาถึง เมื่อดอกไม้ของข้าบานสะพรั่ง ดอกไม้นับร้อยจะถูกฆ่า กลิ่นหอมลอยขึ้นเหนือท้องฟ้า แทรกซึมเข้าเมืองหลวงนิรันดร์ ทั้งเมืองถูกอาบด้วยเกราะทอง!”

  

แม้ว่าเฉินเฟิงจะเมาและพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่เมื่อท่องบทกวีนี้ออกมา เขายังรู้ว่าต้องเปลี่ยนฉางอานเป็นเมืองหลวง

  

“ดี!”

  

“อีกหนึ่งบทกวีชื่อดังที่สามารถสืบทอดได้!”

  

“บทกวีดีคือบทกวีดี เพียงแต่บทกวีนี้ฟังดูโหดร้ายไปหน่อย!”

  

“บทกวีเหมือนจะมีความรู้สึกขุ่นเคืองอยู่หรือไม่?”

  

เมื่อเห็นว่าทุกคนตกตะลึงในตัวเขา เฉินเฟิงจึงเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางเย่อหยิ่งและความหดหู่ที่เคยเผชิญก่อนหน้านี้หายไป เขายังพูดต่อ “ยังมีอีก...ลมตะวันตกสร้างเสียงกรอบแกรบเต็มลานบ้าน เกสรหวานส่งกลิ่นหอมล่อผีเสื้อ หากข้าเป็นจักรพรรดิชิงในปีของเขา ทุกบุปผาจะบานพร้อมไปด้วยกัน”

  

บทกวีทั้งสองนี้เป็นหนึ่งในผลงานกวีดอกเบญจมาศบนอินเทอร์เน็ต

  

“หากข้าเป็นจักรพรรดิชิงในปีของเขา บทกวีนี้ บทกวีนี้...” มีคนพูดติดอ่าง เพราะคำว่า ‘จักรพรรดิ’ ไม่สามารถใช้แบบไม่เลือกหน้าในต้าซางได้

  

ในอดีตมีผู้ที่อยู่ในระดับหยวนเสินกล้าเรียกตัวเองว่าจักรพรรดิ เช่น จักรพรรดิไท่ซวี ทว่านับตั้งแต่การสถาปนาราชวงศ์ซาง ยกเว้นจักรพรรดิซางแล้วไม่มีใครในต้าซางกล้าเรียกตัวเองว่าจักรพรรดิ

  

ยิ่งกว่านั้นคือพระนามของจักรพรรดิชิงนี้...

  

“ได้ยินว่าครั้งหนึ่งพ่อของเฉินเฟิงเคยสนับสนุนองค์ชายใหญ่ แต่หลังจากที่ฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ พ่อของเขาถูกลดความสำคัญและไม่เคยถูกเรียกใช้งานอีกเลย” ไม่รู้ว่าใครแอบพูดอยู่ในกลุ่มผู้คน จากนั้นมีเสียงพูดสนับสนุนอีกหลายครั้ง

  

“ว่ากันว่าเฉินลี่มีความขุ่นเคืองต่อเรื่องนี้มาก หรือเฉินเฟิงคนนี้…”

  

“ซี้ด~กวีบทที่แล้วแสดงความคับข้องใจและกวีบทนี้เกี่ยวกับความทะเยอทะยานยิ่งใหญ่ ซี้ด~นี่ นี่มัน...”

ทุกคนได้ยินสิ่งที่คนก่อนหน้านี้พูด และเมื่อไตร่ตรองตามนี้จึงบังเกิดความตื่นตกใจทันที

  

“กลิ่นหอมลอยขึ้นเหนือท้องฟ้า แทรกซึมเข้าเมืองหลวงนิรันดร์ ทั้งเมืองถูกอาบด้วยเกราะทอง ข้าจำได้ว่าพ่อของเฉินเฟิงเคยได้รับรางวัลจากอดีตจักรพรรดิ นั่นคือชุดเกราะทองคำหนึ่งชุดที่เรียกว่ามังกรฟ้า และแม่ทัพนายกองใต้บัญชาของเขาอีกหลายนายสวมหมวกทองคำด้วย”

  

ยิ่งคิดยิ่งชัดเจน

  

นี่คือบทกวีต่อต้าน!

  

ตู้เปิ่นตู้รู้สึกยินดียิ่ง ท่านโหวพูดถูกจริงๆ

  

เฉินเฟิงมีปัญหามาก!

  

ตระกูลตู้ของเขาไม่มีผลประโยชน์ร่วมกับตระกูลเฉิน มิฉะนั้นเขาคงไม่ตั้งใจออกไปยั่วยุเฉินเฟิงซึ่งเป็นคนโง่ ตอนนี้ดูเหมือนไม่เพียงแต่เฉินเฟิงเท่านั้น ทว่าบิดาของเฉินเฟิงจะต้องทนทุกข์ทรมานเช่นกัน

  

มันน่าพอใจมาก!

  

“เฉินเฟิง เจ้าเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองเช่นนี้ หรือเจ้ากำลังไม่พอใจฝ่าบาท”

  

น้ำเสียงที่สงบและมั่นคงดังขึ้น

  

ซูอันซึ่งนั่งอยู่บนที่นั่งหลักกำลังลุกขึ้นยืน

  

ปัญญาชนที่เหลือพลันนิ่งเงียบ เพราะคนผู้นี้เป็นขุนนางใกล้ชิดจักรพรรดินีที่สุดและได้รับความไว้วางใจมาก เขามีอำนาจท่วมท้นและตระกูลจี้ถูกเขาโค่นล้มเมื่อไม่นานมานี้

  

เขาได้ยินบทกวีต่อต้านของเฉินเฟิง เกรงว่าจะรอดยาก

  

“ฝ่าบาท?” เฉินเฟิงตอบสนองด้วยเสียงคลุมเครือและเย้ยหยัน “เฮอะ แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ก็แค่ผู้หญิง จักรพรรดิผลัดกันเป็นไม่ใช่หรือ ปีหน้า...ปีหน้าจะเป็นของบ้านข้า!”

  

หลังจากพูดเช่นนั้นแล้วเขาก็ทนไม่ไหวอีก ร่างกายของเขาอ่อนแรงและล้มตัวนอนบนเก้าอี้โดยหมดสติไปเลย

“...”

คนโง่จากตระกูลเฉินมีความทะเยอทะยานขนาดนั้นเชียว?

  

หรือ…นี่คือความปรารถนาของเฉินลี่จริงๆ

        ทุกคนต่างมองหน้ากัน แน่นอนว่าพวกเขาต่างเห็นความสยองขวัญในดวงตาของกันและกัน

รุนแรง ครั้งนี้มันรุนแรงจริงๆ

  

อาจยังมีข้อสงสัยอยู่บ้างว่าสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปนั้นเป็นบทกวีต่อต้านหรือไม่ ทว่าตอนนี้คำว่าจักรพรรดิผลัดกันเป็นไม่มีข้อแก้ตัวได้เลยจริงๆ

  

ต้าซางสถาปนานับ 120,000 ปี และครองโลกมายาวนาน อาจมีความวุ่นวายในช่วงเวลานั้นบ้าง แต่ไม่เคยส่งผลกระทบต่อระบบการปกครองของราชวงศ์

  

เฉียงหรูจี้ทั้งสามตระกูลยอมรับบทลงโทษของต้าซางด้วยความเชื่อฟัง ไม่สามารถแม้แต่จะยกหัวใจให้ต้านทานได้

  

แม้กระทั่งหลายคนยังมีแนวคิดของต้าซางที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ

  

นั่นคือจักรพรรดิซางกำเนิดมาเพื่อเป็นผู้ปกครองทุกสรรพชีวิต ทรงเป็นเจ้าแห่งสวรรค์และโลก

  

ทันใดนั้นมีคนกระโดดออกมาตะโกนว่า ‘จักรพรรดิผลัดกันเป็น ปีหน้าจะเป็นของบ้านข้า’ นั้นไม่มีความหมาย

  

นั่นคือองครักษ์ของตระกูลเฉินที่ถูกส่งมาปกป้องเฉินเฟิง แม้ปากจะพูดเช่นนั้นแต่นัยน์ตาของเขาจมดิ่งมาก

  

คุณชายคนนี้แย่กว่าคนโง่เมื่อก่อนมาก

  

องครักษ์ที่อาวุโสกว่าทุกคน ณ ที่นี้พยายามรักษาสติและเดินเข้ามาโค้งคำนับทุกคนพลางกล่าวขอโทษ “คุณชายทั้งหลาย คุณหนูหลี่ ท่านโหวซู คือคุณชายของข้าน้อยเมามากจริงๆ จึงพูดเหลวไหลไปบ้าง ข้าน้อยหวังว่าพวกท่านจะไม่ถือสา”

  

แต่ถ้าไม่เห็นขาที่สั่นเทาของเขา คำพูดนี้จะสมเหตุสมผลมากจริงๆ

  

จากนั้นเขาอุ้มเฉินเฟิงคนขี้เมาไว้บนบ่าเพื่อพากลับบ้านและรอให้ท่านเจ้าบ้านตัดสินใจ

ซูอันมองดูคนเหล่านี้โดยไม่พูดสักคำ ทว่าดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ

  

เมื่อคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้แล้วต่างก็เงียบ

  

แม้แต่ตู้เปิ่นตู้ก็ไม่กล้าแสดงความดีใจออกมาในเวลานี้

  

“เฉินเฟิงและตระกูลเฉินช่างบังอาจนัก!”

  

ซูอันสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินเลี้ยวซ้ายออกไป

  

ทุกคนรู้สึกถึงความโกรธของท่านโหวจึงไม่กล้าพูดสักคำ

  

ซูอันหันหลังกลับและแสดงรอยยิ้มที่ใครก็มองไม่เห็นออกมาบนมุมปาก ทว่ามันจางลงทันทีเช่นกัน

  

เฉินเฟิงคนนี้ให้ความร่วมมือดีเหลือเกิน!

  

ยาที่เขาใช้กับเฉินเฟิงมีฤทธิ์แค่ทำให้หมดสติเท่านั้น แต่ไม่มีฤทธิ์ในการควบคุมคำพูดของเฉินเฟิง

  

เขาชี้นำเพียงเล็กน้อย แต่คำพูดเหล่านั้นเป็นความคิดของเฉินเฟิงเอง

  

เป็นฉากที่ยอดเยี่ยม!

  

เขาใช้เส้นสายและวางแผนเล็กน้อย ยังเผลอคิดว่ามันจะลำบากสักหน่อย

  

แต่ดูเหมือนว่าอีกไม่นานเขาจะได้รื้อฟื้นภารกิจเก่าๆ และบุกยึดทรัพย์อีกแล้ว

  ……

  

คำพูดของเฉินเฟิงนั้นเหล่าปัญญาชนที่เข้าร่วมงานชุมนุมกวีไม่กล้าที่จะพูดไปเรื่อย

  

แต่เมื่อออกจากงานชุมนุมกวี พวกเขาอดบอกเล่าให้คนในครอบครัวฟังไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ถูกเตือนเป็นพิเศษว่าอย่าพูดเหลวไหล

  

นอกจากนี้คนชั่วซูอันยังวางแผนตกปลาจำนวนมากไว้ด้วย

  

ต่อมา เมืองหลวงทั้งหมดจึงได้รู้ว่าเฉินเฟิงกำลังจะก่อกบฏ

  

ต่อจากนั้นทันที มี ‘ผู้สัญจร’ คนหนึ่งบังเอิญเดินผ่านมาแล้วเห็นบทกวีที่เขียนไว้บนกำแพงบ้านตระกูลเฉิน

  

“จักรพรรดิชั่วขุนนางตาม ละทิ้งห้าคุณธรรมสามัญ เชื้อสายตระกูลเฉิน ไม่จำนนตระกูลซาง”

  

สิ่งนี้ทำให้ตระกูลเฉินทั้งหมดประสบปัญหา

  

ไม่นานหลังจากนั้น บทกวีต่อต้านอีกหนึ่งบทถูกสาวใช้ตระกูลเฉิน ‘บังเอิญ’ ค้นเจอจากห้องหนังสือของเฉินเฟิงและคนนอกยัง ‘บังเอิญ’ เห็นตอนที่สาวใช้ออกไปซื้อของ

“ท้องพระโรงหลิงเซียวไม่นิรันดร์ อดีตจักรพรรดิมีมรดกตกทอด ทว่าควรคุกเข่าให้ผู้แข็งแกร่ง ผู้กล้าคนแรกคือวีรบุรุษ”

  

ไม่ว่าเฉินเฟิงอดีตคนโง่จะมีห้องหนังสือได้อย่างไร ไม่ว่าเหตุใดสาวใช้ของตระกูลเฉินไปซื้อของและต้องพกบทกวีนี้ติดตัวไปด้วย ย่อมไม่มีใครสน

  

สรุปได้ว่าคราวนี้เป็นการเติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟ เทน้ำลงในกระทะน้ำมันร้อน

  

บิดาของเฉินเฟิงยังอยู่ในกองทัพ แต่เขาถูกควบคุมตัวทันทีที่ได้รับข่าวและเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะป้องกันตัวด้วยซ้ำ

  

ในเวลานี้เฉินเฟิงเพิ่งตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าสับสน “เกิดอะไรขึ้นกับข้า?”

  

“เกิดอะไรขึ้นน่ะหรือ เฉินเฟิง เจ้าทำบ้าอะไรลงไปล่ะ!”

  

เสียงเยาะเย้ยดังอยู่ใกล้หูของเฉินเฟิง