ตอนที่ 46 จักรพรรดิผลัดกันเป็น
ตอนที่ 46 จักรพรรดิผลัดกันเป็น
โดยปกติแล้ว แม้ว่าเฉินเฟิงจะดื่มสุราไปบ้าง แต่ไม่เคยมาถึงจุดนี้
แต่เพราะมีคนเติมบางสิ่งลงในสุราจึงทำให้ขณะนี้ยาเริ่มออกฤทธิ์แล้ว
“เบญ...จะ...เบญ...” ทันทีที่เฉินเฟิงเปิดปากพูด เขากลับพูดติดๆ ขัดๆ
เขาคิดว่าที่โรงเรียนสอนบทกวีโบราณเกี่ยวกับดอกเบญจมาศอีกบ้างหรือเปล่า
แต่เขาจำไม่ได้จริงๆ ถึงอย่างไรใครจะจดจำบทกวีโบราณไว้มากมายโดยไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวัน
“คิดไม่ออกแล้วล่ะสิ” ตู้เปิ่นตู้เห็นแล้วพูดประชด “เจ้ายอมรับว่าลอกมาเถอะ”
“ใคร...ใครบอกว่าข้าคิดไม่ออก!” เฉินเฟิงตบต้นขาของตัวเอง และทันใดนั้นเขานึกถึงบทกวีดอกเบญจมาศที่แพร่หลายบนโลกอินเทอร์เน็ตและเขาทำได้เพียงท่องจากความทรงจำ
“แค่ดอกเบญจมาศไม่ใช่หรือ เจ้าฟังให้ดี...แปดเดือนเก้าใบไม้ร่วงมาถึง เมื่อดอกไม้ของข้าบานสะพรั่ง ดอกไม้นับร้อยจะถูกฆ่า กลิ่นหอมลอยขึ้นเหนือท้องฟ้า แทรกซึมเข้าเมืองหลวงนิรันดร์ ทั้งเมืองถูกอาบด้วยเกราะทอง!”
แม้ว่าเฉินเฟิงจะเมาและพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่เมื่อท่องบทกวีนี้ออกมา เขายังรู้ว่าต้องเปลี่ยนฉางอานเป็นเมืองหลวง
“ดี!”
“อีกหนึ่งบทกวีชื่อดังที่สามารถสืบทอดได้!”
“บทกวีดีคือบทกวีดี เพียงแต่บทกวีนี้ฟังดูโหดร้ายไปหน่อย!”
“บทกวีเหมือนจะมีความรู้สึกขุ่นเคืองอยู่หรือไม่?”
เมื่อเห็นว่าทุกคนตกตะลึงในตัวเขา เฉินเฟิงจึงเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางเย่อหยิ่งและความหดหู่ที่เคยเผชิญก่อนหน้านี้หายไป เขายังพูดต่อ “ยังมีอีก...ลมตะวันตกสร้างเสียงกรอบแกรบเต็มลานบ้าน เกสรหวานส่งกลิ่นหอมล่อผีเสื้อ หากข้าเป็นจักรพรรดิชิงในปีของเขา ทุกบุปผาจะบานพร้อมไปด้วยกัน”
บทกวีทั้งสองนี้เป็นหนึ่งในผลงานกวีดอกเบญจมาศบนอินเทอร์เน็ต
“หากข้าเป็นจักรพรรดิชิงในปีของเขา บทกวีนี้ บทกวีนี้...” มีคนพูดติดอ่าง เพราะคำว่า ‘จักรพรรดิ’ ไม่สามารถใช้แบบไม่เลือกหน้าในต้าซางได้
ในอดีตมีผู้ที่อยู่ในระดับหยวนเสินกล้าเรียกตัวเองว่าจักรพรรดิ เช่น จักรพรรดิไท่ซวี ทว่านับตั้งแต่การสถาปนาราชวงศ์ซาง ยกเว้นจักรพรรดิซางแล้วไม่มีใครในต้าซางกล้าเรียกตัวเองว่าจักรพรรดิ
ยิ่งกว่านั้นคือพระนามของจักรพรรดิชิงนี้...
“ได้ยินว่าครั้งหนึ่งพ่อของเฉินเฟิงเคยสนับสนุนองค์ชายใหญ่ แต่หลังจากที่ฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ พ่อของเขาถูกลดความสำคัญและไม่เคยถูกเรียกใช้งานอีกเลย” ไม่รู้ว่าใครแอบพูดอยู่ในกลุ่มผู้คน จากนั้นมีเสียงพูดสนับสนุนอีกหลายครั้ง
“ว่ากันว่าเฉินลี่มีความขุ่นเคืองต่อเรื่องนี้มาก หรือเฉินเฟิงคนนี้…”
“ซี้ด~กวีบทที่แล้วแสดงความคับข้องใจและกวีบทนี้เกี่ยวกับความทะเยอทะยานยิ่งใหญ่ ซี้ด~นี่ นี่มัน...”
ทุกคนได้ยินสิ่งที่คนก่อนหน้านี้พูด และเมื่อไตร่ตรองตามนี้จึงบังเกิดความตื่นตกใจทันที
“กลิ่นหอมลอยขึ้นเหนือท้องฟ้า แทรกซึมเข้าเมืองหลวงนิรันดร์ ทั้งเมืองถูกอาบด้วยเกราะทอง ข้าจำได้ว่าพ่อของเฉินเฟิงเคยได้รับรางวัลจากอดีตจักรพรรดิ นั่นคือชุดเกราะทองคำหนึ่งชุดที่เรียกว่ามังกรฟ้า และแม่ทัพนายกองใต้บัญชาของเขาอีกหลายนายสวมหมวกทองคำด้วย”
ยิ่งคิดยิ่งชัดเจน
นี่คือบทกวีต่อต้าน!
ตู้เปิ่นตู้รู้สึกยินดียิ่ง ท่านโหวพูดถูกจริงๆ
เฉินเฟิงมีปัญหามาก!
ตระกูลตู้ของเขาไม่มีผลประโยชน์ร่วมกับตระกูลเฉิน มิฉะนั้นเขาคงไม่ตั้งใจออกไปยั่วยุเฉินเฟิงซึ่งเป็นคนโง่ ตอนนี้ดูเหมือนไม่เพียงแต่เฉินเฟิงเท่านั้น ทว่าบิดาของเฉินเฟิงจะต้องทนทุกข์ทรมานเช่นกัน
มันน่าพอใจมาก!
“เฉินเฟิง เจ้าเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองเช่นนี้ หรือเจ้ากำลังไม่พอใจฝ่าบาท”
น้ำเสียงที่สงบและมั่นคงดังขึ้น
ซูอันซึ่งนั่งอยู่บนที่นั่งหลักกำลังลุกขึ้นยืน
ปัญญาชนที่เหลือพลันนิ่งเงียบ เพราะคนผู้นี้เป็นขุนนางใกล้ชิดจักรพรรดินีที่สุดและได้รับความไว้วางใจมาก เขามีอำนาจท่วมท้นและตระกูลจี้ถูกเขาโค่นล้มเมื่อไม่นานมานี้
เขาได้ยินบทกวีต่อต้านของเฉินเฟิง เกรงว่าจะรอดยาก
“ฝ่าบาท?” เฉินเฟิงตอบสนองด้วยเสียงคลุมเครือและเย้ยหยัน “เฮอะ แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ก็แค่ผู้หญิง จักรพรรดิผลัดกันเป็นไม่ใช่หรือ ปีหน้า...ปีหน้าจะเป็นของบ้านข้า!”
หลังจากพูดเช่นนั้นแล้วเขาก็ทนไม่ไหวอีก ร่างกายของเขาอ่อนแรงและล้มตัวนอนบนเก้าอี้โดยหมดสติไปเลย
“...”
คนโง่จากตระกูลเฉินมีความทะเยอทะยานขนาดนั้นเชียว?
หรือ…นี่คือความปรารถนาของเฉินลี่จริงๆ
ทุกคนต่างมองหน้ากัน แน่นอนว่าพวกเขาต่างเห็นความสยองขวัญในดวงตาของกันและกัน
รุนแรง ครั้งนี้มันรุนแรงจริงๆ
อาจยังมีข้อสงสัยอยู่บ้างว่าสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปนั้นเป็นบทกวีต่อต้านหรือไม่ ทว่าตอนนี้คำว่าจักรพรรดิผลัดกันเป็นไม่มีข้อแก้ตัวได้เลยจริงๆ
ต้าซางสถาปนานับ 120,000 ปี และครองโลกมายาวนาน อาจมีความวุ่นวายในช่วงเวลานั้นบ้าง แต่ไม่เคยส่งผลกระทบต่อระบบการปกครองของราชวงศ์
เฉียงหรูจี้ทั้งสามตระกูลยอมรับบทลงโทษของต้าซางด้วยความเชื่อฟัง ไม่สามารถแม้แต่จะยกหัวใจให้ต้านทานได้
แม้กระทั่งหลายคนยังมีแนวคิดของต้าซางที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ
นั่นคือจักรพรรดิซางกำเนิดมาเพื่อเป็นผู้ปกครองทุกสรรพชีวิต ทรงเป็นเจ้าแห่งสวรรค์และโลก
ทันใดนั้นมีคนกระโดดออกมาตะโกนว่า ‘จักรพรรดิผลัดกันเป็น ปีหน้าจะเป็นของบ้านข้า’ นั้นไม่มีความหมาย
นั่นคือองครักษ์ของตระกูลเฉินที่ถูกส่งมาปกป้องเฉินเฟิง แม้ปากจะพูดเช่นนั้นแต่นัยน์ตาของเขาจมดิ่งมาก
คุณชายคนนี้แย่กว่าคนโง่เมื่อก่อนมาก
องครักษ์ที่อาวุโสกว่าทุกคน ณ ที่นี้พยายามรักษาสติและเดินเข้ามาโค้งคำนับทุกคนพลางกล่าวขอโทษ “คุณชายทั้งหลาย คุณหนูหลี่ ท่านโหวซู คือคุณชายของข้าน้อยเมามากจริงๆ จึงพูดเหลวไหลไปบ้าง ข้าน้อยหวังว่าพวกท่านจะไม่ถือสา”
แต่ถ้าไม่เห็นขาที่สั่นเทาของเขา คำพูดนี้จะสมเหตุสมผลมากจริงๆ
จากนั้นเขาอุ้มเฉินเฟิงคนขี้เมาไว้บนบ่าเพื่อพากลับบ้านและรอให้ท่านเจ้าบ้านตัดสินใจ
ซูอันมองดูคนเหล่านี้โดยไม่พูดสักคำ ทว่าดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ
เมื่อคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้แล้วต่างก็เงียบ
แม้แต่ตู้เปิ่นตู้ก็ไม่กล้าแสดงความดีใจออกมาในเวลานี้
“เฉินเฟิงและตระกูลเฉินช่างบังอาจนัก!”
ซูอันสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินเลี้ยวซ้ายออกไป
ทุกคนรู้สึกถึงความโกรธของท่านโหวจึงไม่กล้าพูดสักคำ
ซูอันหันหลังกลับและแสดงรอยยิ้มที่ใครก็มองไม่เห็นออกมาบนมุมปาก ทว่ามันจางลงทันทีเช่นกัน
เฉินเฟิงคนนี้ให้ความร่วมมือดีเหลือเกิน!
ยาที่เขาใช้กับเฉินเฟิงมีฤทธิ์แค่ทำให้หมดสติเท่านั้น แต่ไม่มีฤทธิ์ในการควบคุมคำพูดของเฉินเฟิง
เขาชี้นำเพียงเล็กน้อย แต่คำพูดเหล่านั้นเป็นความคิดของเฉินเฟิงเอง
เป็นฉากที่ยอดเยี่ยม!
เขาใช้เส้นสายและวางแผนเล็กน้อย ยังเผลอคิดว่ามันจะลำบากสักหน่อย
แต่ดูเหมือนว่าอีกไม่นานเขาจะได้รื้อฟื้นภารกิจเก่าๆ และบุกยึดทรัพย์อีกแล้ว
……
คำพูดของเฉินเฟิงนั้นเหล่าปัญญาชนที่เข้าร่วมงานชุมนุมกวีไม่กล้าที่จะพูดไปเรื่อย
แต่เมื่อออกจากงานชุมนุมกวี พวกเขาอดบอกเล่าให้คนในครอบครัวฟังไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ถูกเตือนเป็นพิเศษว่าอย่าพูดเหลวไหล
นอกจากนี้คนชั่วซูอันยังวางแผนตกปลาจำนวนมากไว้ด้วย
ต่อมา เมืองหลวงทั้งหมดจึงได้รู้ว่าเฉินเฟิงกำลังจะก่อกบฏ
ต่อจากนั้นทันที มี ‘ผู้สัญจร’ คนหนึ่งบังเอิญเดินผ่านมาแล้วเห็นบทกวีที่เขียนไว้บนกำแพงบ้านตระกูลเฉิน
“จักรพรรดิชั่วขุนนางตาม ละทิ้งห้าคุณธรรมสามัญ เชื้อสายตระกูลเฉิน ไม่จำนนตระกูลซาง”
สิ่งนี้ทำให้ตระกูลเฉินทั้งหมดประสบปัญหา
ไม่นานหลังจากนั้น บทกวีต่อต้านอีกหนึ่งบทถูกสาวใช้ตระกูลเฉิน ‘บังเอิญ’ ค้นเจอจากห้องหนังสือของเฉินเฟิงและคนนอกยัง ‘บังเอิญ’ เห็นตอนที่สาวใช้ออกไปซื้อของ
“ท้องพระโรงหลิงเซียวไม่นิรันดร์ อดีตจักรพรรดิมีมรดกตกทอด ทว่าควรคุกเข่าให้ผู้แข็งแกร่ง ผู้กล้าคนแรกคือวีรบุรุษ”
ไม่ว่าเฉินเฟิงอดีตคนโง่จะมีห้องหนังสือได้อย่างไร ไม่ว่าเหตุใดสาวใช้ของตระกูลเฉินไปซื้อของและต้องพกบทกวีนี้ติดตัวไปด้วย ย่อมไม่มีใครสน
สรุปได้ว่าคราวนี้เป็นการเติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟ เทน้ำลงในกระทะน้ำมันร้อน
บิดาของเฉินเฟิงยังอยู่ในกองทัพ แต่เขาถูกควบคุมตัวทันทีที่ได้รับข่าวและเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะป้องกันตัวด้วยซ้ำ
ในเวลานี้เฉินเฟิงเพิ่งตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าสับสน “เกิดอะไรขึ้นกับข้า?”
“เกิดอะไรขึ้นน่ะหรือ เฉินเฟิง เจ้าทำบ้าอะไรลงไปล่ะ!”
เสียงเยาะเย้ยดังอยู่ใกล้หูของเฉินเฟิง