ตอนที่ 45 งานชุมนุมกวี
ตอนที่ 45 งานชุมนุมกวี
เขาอึดอัดใจมากและดื่มสุราต่อไป เหตุใดเขาไม่สามารถประพันธ์กวีในงานชุมนุมกวีได้ เพราะเหนือสิ่งอื่นใดคือคนเหล่านี้เป็นแค่ปัญญาชนเน่าๆ กลุ่มหนึ่ง
เขาคิดว่าจะกลายเป็นจุดเด่นในงานชุมนุมกวีครั้งนี้และสามารถดึงดูดความสนใจของสตรีน้อยใหญ่ได้นับไม่ถ้วน แต่สุดท้ายกลับต้องนั่งหงอย
เขามองไปที่ซูอันซึ่งนั่งบนตำแหน่งสูงสุด เห็นได้ชัดว่าบุคคลนี้ไม่ได้ประพันธ์กวีสักบทและไม่ได้แสดงความสามารถใดๆ เลย แต่กลับดึงดูดความสนใจของคนจำนวนมากได้ เป็นบุคคลที่ผู้ชายชื่นชมและสตรีแอบมองด้วยสายตายั่วยวนซึ่งทำให้เฉินเฟิงรู้สึกอิจฉามาก
หล่อเหลาและมีสถานะสูงส่ง! แต่ก็แค่หล่อกว่าเขานิดหน่อยและมีสถานะสูงกว่าเขาไม่ใช่หรือ?
ผู้หญิงพวกนี้ไม่มีเหตุผลเลย
แสงสปอร์ตไลท์ควรจะเป็นของเขา!
เขาไม่รู้ว่าซูอันคือหนุ่มหน้าอ่อนที่เขาเพิ่งนินทาไปเมื่อไม่นานนี้
“พี่เฉิน ไม่แสดงฝีมือด้านกวีของท่านบ้างล่ะ” ในเวลานี้มีคนสังเกตเห็นว่าเฉินเฟิงกำลังดื่มอยู่ จึงอดพูดไม่ได้ว่า “ข้ายังอยากเห็นพี่เฉินประพันธ์กวีในสี่ก้าวเหมือนกัน”
เฉินเฟิงฝืนยิ้มและปฏิเสธ “ไม่ดีกว่า เพราะการประพันธ์กวีภายใต้เงื่อนไขที่เข้มงวดน่าเบื่อเกินไป”
ชายคนนั้นถูกเฉินเฟิงทำให้สะอึก เขาคิดได้เพียงว่าเฉินเฟิงมีนิสัยหยิ่งผยองและไม่ยอมเล่นกับพวกเขา
จึงทำแค่ไม่สนใจอีก
หลังจากนั้นเฉินเฟิงรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่ตรงมุมห้องเกือบทั้งวัน เขานั่งจนปวดบั้นท้าย
ในที่สุด
“ทุกคน การประชันกวีเช่นนี้น่าเบื่อเกินไป เช่นนั้นข้าจะกำหนดหัวข้อแล้วให้พวกท่านประพันธ์กวีจากหัวข้อดีหรือไม่?” หลี่จื่อซวงกล่าวในฐานะผู้จัดงานชุมนุมกวี
“ดี! ทำตามที่คุณหนูหลี่พูดเลย!” เฉินเฟิงส่งเสียงสนับสนุนทันที ในเวลานี้ใบหน้าของเขาแดงก่ำและเขาเมาจากการดื่ม
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้แล้วรู้สึกแปลก เหตุใดเฉินเฟิงถึงมีปฏิกิริยารุนแรงขนาดนี้
หลี่จื่อซวงยังคงรักษารอยยิ้มอ่อนโยน “ตอนนี้เป็นช่วงที่ดอกเบญจมาศฤดูหนาวบานสะพรั่ง เหตุใดเราไม่ประพันธ์กวีในหัวข้อดอกเบญจมาศล่ะ”
เหล่าปัญญาชนทั้งชายและหญิงเริ่มให้ความสนใจทันที
“ดอกเบญจมาศ หัวข้อนี้ดีมาก”
“ข้าขอเริ่มก่อน!”
“หมู่บุปผาไม่กล้าประชันแข่ง ดอกตูมแย่งส่งกลิ่นหอมยามราตรี...”
“พี่กงหยางยอดเยี่ยมมาก!”
“...”
“กลิ่นหอมลับแอบลอยเข้าห้องหับ สัมผัสลับได้ถึงยามวสันต์ ผลิบานกลางหิมะน้ำค้างใส ไม่ปล่อยให้ร้อยบุปผาได้แย่งชิง...”
“กวีดี กวีเยี่ยม!”
บทกวีที่สื่อถึงความเป็นดอกเบญจมาศปรากฏในงานชุมนุมกวี ทำให้บรรยากาศของงานชุมนุมกวีถึงจุดที่มีสีสันที่สุด
“กวีนี้ไร้สาระ ไม่ต่างจากขยะ!” ในที่สุดเฉินเฟิงก็เรียกความมั่นใจ เขาเหลือบมองพวกปัญญาชนที่กำลังเค้นสมองอย่างหนักด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามและพูดเสียงดังว่า “ข้าเอง!”
“ข้ามีบทกวีชื่อร่ำสุรา โปรดลิ้มรสมันด้วย”
เขายืนขึ้นด้วยความไม่มั่นคงเพราะความเมาและมองไปยังตำแหน่งของหลี่จื่อซวงด้วยแววตาที่ลุกเป็นไฟ
หญิงงามขนาดนี้ สมควรเป็นของพระเอกเช่นเขา
แต่หลี่จื่อซวงไม่ได้มองเขาเลยสักนิด นางกลับมองไปที่ซูอันซึ่งนั่งอยู่บนตำแหน่งหลักด้วยสายตาหลงใหล
“อะแฮ่ม”
ใบหน้าของเฉินเฟิงมืดลงโดยสิ้นเชิง เขาจงใจกระแอมเพื่อดึงดูดความสนใจของทุกคน
งานชุมนุมกวีเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง เพราะทุกคนกำลังรอคอยผลงานชิ้นเอกของเฉินเฟิงด้วยใจจดจ่อ
เฉินเฟิงสูดหายใจเข้าลึก เขามองซูอันด้วยสายตายั่วยุเพราะสามารถแย่งจุดเด่นมาได้แล้ว
รอก่อนเถอะ รอให้เขาทำผู้ชมทั้งหมดตกตะลึง คุณหนูหลี่จะต้องประทับใจในตัวเขาแน่นอน!
จากนั้นเขาหยิบไหสุราบนโต๊ะขึ้นมาและทำตามยอดกวีหลี่ไป๋โดยเทสุราใส่ปากโดยตรง แต่เขากลับสำลักและไอหลายครั้ง
เขาทุบหน้าอกแล้วถอนหายใจ จากนั้นเปิดปากพร้อมใบหน้าสีแดงก่ำ
“สร้างกระท่อมกลางฝูงชนสับสนสิ้น โสตมิยินเสียงล้อรถม้าที่หมุน หยุดถามข้าถึงเหตุผลเป็นไฉน...เด็ดเบญจมาศริมรั้วบูรพา แล้วแหงนหน้าเหม่อมองทักษิณไกล...อยากเอื้อนเอ่ยบอกความนัยให้ใครฟัง กลับลืมสิ้นทุกถ้อยกระทงความ”
สิ้นเสียงนี้ บรรยากาศในงานชุมนุมกวีก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง
“สร้างกระท่อมกลางฝูงชนสับสนสิ้น โสตมิยินเสียงล้อรถม้าที่หมุน นี่คือจินตภาพ”
“บทกวีนี้วิเศษมาก! วิเศษมาก!”
“เด็ดเบญจมาศริมรั้วบูรพา แล้วแหงนหน้าเหม่อมองทักษิณไกล ช่างเป็นฉากที่ผ่อนคลายจริงๆ”
“ข้ารู้สึกว่าน้ำเสียงของคุณชายเฉินเวลาท่องบทกวีนี้แปลกไปด้วยล่ะ”
“ความรู้สึกหลุดพ้นจากโลกในบทกวีนี้ราวกับผู้เร้นกาย แค่ฟังกวีก็รู้สึกเหมือนเป็นผู้เร้นกายจริงๆ ข้าคิดว่าเป็นเสียงของชายชราด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าเฉินเฟิงที่อายุเท่านี้ทำได้อย่างไร”
“แต่ ‘ร่ำสุรา’ นี้ สมควรจะมีอีกสี่บทข้างหน้าไม่ใช่หรือ?” มีบางคนตระหนักถึงปัญหา
“สงสัยว่าพี่เฉินจะท่องบทกวีสี่บทแรกให้ฟังได้หรือไม่ มันต้องเป็นผลงานที่น่าทึ่งเช่นกัน เหตุใดไม่สร้างความสนุกให้เต็มที่ล่ะ!”
นอกจากคำชมแล้ว หลายคนยังอยากรู้อยากเห็นอีกด้วย
ทันใดนั้นเหงื่อเย็นไหลอาบหน้าผากของเฉินเฟิง เขาแค่ท่องจำมันได้ แต่ไม่ได้คิดว่ามันมีมากกว่านี้
จะถามเพื่อ!
ในใจของเขานึกดุด่าผู้ที่ตั้งคำถามไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสี่บทแรกของ ‘ร่ำสุรา’ คืออะไร
ในหนังสือเรียนไม่ได้สอน!
เขาใช้มือยันโต๊ะไว้และบังคับตัวเองให้อธิบายว่า “บทกวีนี้เป็นภาพสะท้อนของข้าในเวลาว่าง ส่วนสี่บทแรกนั้นทำได้ไม่ดีพอ ข้าจึงไม่พูดถึงที่นี่”
หลายคนไม่เต็มใจที่จะเชื่อคำอธิบายนี้
“ใครจะรู้ว่าเจ้าลอกมาหรือเปล่า!” ในขณะนี้มีเสียงที่ไม่ลงรอยกันเสียงหนึ่งดังขึ้น
ทุกคนหันมองไปรอบๆ และเห็นว่าเป็นตู้เปิ่นตู้ที่ถูกเฉินเฟิงหักหน้าเมื่อไม่นานมานี้ เขามาร่วมงานชุมนุมกวีด้วยเช่นกัน
หัวใจของเฉินเฟิงเต้นรัว เพราะผู้ชายคนนี้พูดถูก
“ก็มีเหตุผลนะ!”
“ใช่แล้ว เพราะเห็นได้ชัดว่าเฉินเฟิงเป็นคนโง่มาโดยตลอด อยู่ๆ เขาจะกลายเป็นอัจฉริยะด้านกวีได้อย่างไร”
มีอีกหลายเสียงดังขึ้นพร้อมกัน ราวกับว่าถูกตั้งเวลาไว้แล้ว
เสียงแห่งความสงสัยเหล่านี้ทำให้เฉินเฟิงวิตกกังวลและอับอาย
“นี่คืองานประพันธ์ของข้าเอง ข้าไม่ได้ลอกใครมา!”
นักปราชญ์จะทำสิ่งที่เรียกว่าการลอกเลียนผลงานได้อย่างไร เขาแค่อยากจะสืบทอดวัฒนธรรมห้าพันปีในโลกอื่นเท่านั้น
“เฮอะ เฮอะ ถ้าเจ้าไม่ได้ลอกมา เช่นนั้นก็ประพันธ์บทกวีเกี่ยวกับดอกเบญจมาศอีกสองสามบทสิ” ตู้เปิ่นตู้หัวเราะเยาะ
คำพูดเช่นนี้มีอิทธิพลมาก ทันทีที่เขากล่าวถึงการลอกเลียนผลงาน เฉินเฟิงก็เริ่มวิตกกังวล
ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนี้จะกัดเขาไม่ปล่อย เพราะครั้งนั้นเขาทำกับไอ้เด็กนี่ไว้แรงมากเช่นกัน
เขาบังคับให้ตู้เปิ่นตู้คุกเข่าและเลียนแบบเสียงเห่าของสุนัข เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ความปรารถนาของตู้เปิ่นตู้ที่จะฆ่าเฉินเฟิงยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
“มันยากขนาดนั้นหรือ” เฉินเฟิงซึ่งเมามายยกมือลูบคอและโอ้อวด “อย่าพูดถึงกวีสองสามบท ข้าทำได้เป็นสิบหรือหลายร้อยบทด้วยซ้ำ!”
“ดี เช่นนั้นก็ร้อยบท!” เมื่อตู้เปิ่นตู้ได้ยินดังนั้น เขาได้กำหนดทันที!
วันนี้เขาจะเปิดโปงคนลอกผลงานที่ไร้ยางอายคนนี้ และกู้ศักดิ์ศรีของตัวเองคืนมา!
เฉินเฟิงตกตะลึง
ไอ้บ้านี่ เขาแค่พูดไปด้วยโทสะ ต้องจริงจังเพื่ออะไร
“เจ้าไม่กล้าหรือ? ถ้าไม่กล้าก็แค่คุกเข่าลงและเห่าสามครั้ง” ตู้เปิ่นตู้กล่าวด้วยความเหยียดหยาม
“ใคร...ใครไม่กล้า!”
เฉินเฟิงผู้เมามายไปโดยสมบูรณ์ไม่มีพื้นที่ให้คิดมากนัก และแอลกอฮอล์กัดกร่อนสติส่วนใหญ่ของเขา ทำให้เขาไม่สามารถตระหนักได้อีกต่อไปว่านี่เป็นการต่อสู้ที่ไม่ยุติธรรมเลย
***
ท่านใดชอบอ่านนิยายแนวฟีลกู๊ด Esport สร้างแรงบันดาลใจ อ่านง่ายย่อยง่ายเชิญที่
ลิขิตฟ้าท้าตี HON