เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 19
เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 19
พวกเขาตัดสินใจแล้วถึงแผนการที่จะส่งผมเข้าไปที่วิหาร
และก็เห็นกันอยู่ว่าผมไม่มีทางที่จะโดนจับได้ตราบใดที่สวมแหวนอยู่
มันไม่ใช่เวทย์ระดับภาพหลอนลวงตา แต่เป็นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างร่างกายของผมไปเลย
ผมเองก็เลยสงสัยเหมือนกันว่า การปรับโครงสร้างด้วยโพลี่มอฟเนี่ยจะส่งผลกับร่างกายทางกายภาพด้วยไหม
มีความเป็นไปได้ไหมที่จะทำให้ประสิทธิภาพทางร่างกายเพิ่มสูงขึ้นด้วยน่ะ?
แบบว่า ถ้าหากผมเปลี่ยนร่างกายของผมให้กลายเป็นคนที่มีค่าสเตตัส ค่าสเตร้จ์ 99 พ้อยท์แล้วเนี่ย ผมจะแข็งแรงเท่ากับเขาไหม ?
ผมถามเรื่องนั้นกับโลย่าแล้วก็ได้คำตอบจริงจังกลับมาว่า :
“….…โพลีมอฟระดับนั้น มีได้เฉพาะคนที่มีมานาระดับเดียวกันกับมังกรเท่านั้น”
“ไม่ใช่ว่า เผ่าอาร์คเดม่อนนี่ก็เหมือนมังกรอะไรอย่างนั้นเหรอ ?”
“มังกรน่ะเป็นสัตว์มายา
จะมีใครในโลกนี้บ้างล่ะที่จะสามารถใช้เวทย์โดยไม่ต้องร่ายบ้าง ?”
ฟังแล้วก็เป็นตำนานที่น่าเศร้า
อันที่จริงผมก็ไม่เชื่อพวกตำนานนักหรอก มันก็ไม่ต่างกับเรื่องโกหกเลย
“สิ่งที่ท่านใช้น่ะไม่ใช่โพลีมอฟของจริง
เป็นแค่เวอชั่นที่เผ่าของกระผมสร้างขึ้น ท่านจะต้องแข็งแกร่งขึ้นด้วยตัวของท่านเอง ความแข็งแกร่งที่ได้มาจากการแปลงกายนั้นมิใช่ความแข็งแกร่งของท่าน
ท่านไม่สามารถพึ่งพากลโกงเช่นนั้นได้ ”
โอ้ ผมก็ดีใจนะที่นายน่ะยืนยันว่า ผมไม่สามารถใช้สูตรโกงแบบนั้นได้ถึงอย่างนั้นก็เถอะการที่ผมได้รับความสามารถของเผ่าเดร็ดเฟียนมา ผมก็เลยสามารถเปลี่ยนร่างกายตัวเองได้ ไม่แค่เพียงปลอมตัว
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมก็ยังมีคำถาม”
ผมรู้แล้วว่าการที่ผมทำให้ตัวเองมีกล้ามโตด้วยโพลีมอฟน่ะไม่ได้ทำให้ผมมีกล้ามขึ้นมาจริงๆ
“ตัวอย่างก็เช่น มีข้อจำกัดไหมว่า ผมจะทำให้เส้นผมของผมเนี่ยแน่นแค่ไหน?”
“ขอรับ ? ท่านหมายความว่าอย่างไร ?”
ซาร์เคการ์ดูเหมือนจะไม่เข้าใจเรื่องที่ผมกำลังพูดถึงอยู่
เรื่องนี้ผมจริงจังนะ
“ก็หมายความว่า เกิดผมหัวล้านขึ้นมา ผมจะสามารถแปลงกายให้มีเส้นผมอยู่เต็มหัวได้ไหม ?
นั่นคือสิ่งที่ผมกำลังพูดถึงอยู่ ”
“ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่ครับ? ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย”
อ๊า
“ซาร์เคการ์! นายนี่ช่างเป็นผู้ภักดีที่ยอดเยี่ยมที่สุดไปเลย สุดยอด! สุดยอดไปเลย !”
นายนี่มันคนดีจริงๆ
ผมสงวนท่าทีไม่ไหว แล้วกระโดดกอดเขา
ผมสามารถแก้ปัญหาผมร่วงเป็นวงๆดวงๆบนหัวได้แล้ว !
“หากท่านปรารถนา กระผมก็ยินดีถวายชีวิตให้ท่านนนน !”
เอเลริสกับโลย่านั้นมอง ผมกอดกับซาร์เคการ์แน่นชิด ด้วยแววตากลวงเปล่า
วิหารการ์เดียส(Gardias Temple)
สถานที่ที่ดำเนินเรื่องหลัก
ว่ากันตามตรงนะ ไม่มีเหตุผลที่ต้องไปที่นั่นด้วยซ้ำ
หากจะให้ซาร์เคการ์ช่วยปิดบังตัวตนของผมก็ไม่เป็นอะไรหรอก
แต่ผมน่ะไม่อยากที่จะไปแทรกแซงเนื้อเรื่องที่มันดำเนินไป ปล่อยให้มันไหลไปถึงตอนจบด้วยตัวเองเถอะ
หรือพูดอีกนัยก็คือ ยิ่งผมยุ่งเกี่ยวกับมันน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น
การที่เข้าไปแทรกแซงเพียงเล็กน้อยก็ตาม ก็จะเกิดความผันแปร ความเปลี่ยนแปลงตามมา
เอาแค่เนื้อเรื่องตอนนี้ก็เปลี่ยนไปมากเพราะการที่ ชาร์ล็อต เดอ การ์เดียสมีชีวิตรอด ผมเลยไม่อยากที่จะไปวุ่นวายอะไรกับเนื้อเรื่องหลักที่มีจุดจบแน่ชัดอยู่แล้ว
ก็เลยไม่มีเหตุจำเป็นใดที่ผมต้องไปโรงเรียนพร้อมเจ้าเด็กพวกนั้นนี่นา ผมจะทำแบบนั้นไปทำไมฟะ ?
แต่ถึงอย่างนั้นหากซาร์เคการ์รู้ว่า ผมไม่ได้มีความตั้งใจจะรื้อฟื้นดินแดนปีศาจขึ้นมาใหม่ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เขาจะทำอะไรลงไปบ้าง
ส่วนโลย่าเองผมก็ไม่แน่ใจว่าเธอคิดยังไง
หากบอกว่าซาร์เคการ์ผู้จงรักภักดีของแท้แน่นอนแต่ในที่สุดแล้วเขาอาจเป็นตัวตนที่อันตรายที่สุดสำหรับผมก็ได้
ไม่ว่าจะยังไงซาร์เคการ์ดูเหมือนอยากให้ผมแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ ว่ากันตรงๆนะผมไม่ได้คลั่งไคล้การต่อสู้และก็ไม่ได้มีมันเป็นงานอดิเรกด้วย
ก็เหมือนคนอื่นๆที่ไม่อยากเจ็บปวดนั่นแหละ ,ผมก็อยากจะหนีไปที่ไกลๆ เอาชีวิตรอดมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย
แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าผมจะอยากไปวิหารหรือไม่ ผมก็ต้องหาวิธีทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นอยู่ดี
นั่นก็เพื่อจะหลบหนีให้พ้นจากเงื้อมือของ ซาร์เคการ, ผมเองก็ต้องแข็งแกร่งระดับหนึ่งเลยล่ะ ไม่สำคัญว่าผมจะอยู่ฝั่งเอเลริสหรือฝั่งซาร์เคการ์
ผมเลยต้องไปที่วิหารการ์เดียส
“ว่าแต่ด้วยวิธีไหนกันล่ะ ?”
“หากกระผมรับท่านเป็นบุตรบุญธรรม ท่านจะสามารถเข้าวิหารได้”
ด้วยการใช้ฐานะและตำแหน่งของเค้าท์พอนธีอุส เขาสามารถรับผมเป็นบุตรบุญธรรมได้ส่งตัวให้ผมเข้าวิหารได้เลย
นี่ผมกำลังจะกลายเป็นลูกชายของชนชั้นสูงสินะ แปลว่า ผมจะใช้ชีวิตสุขสบายกว่าที่เคยเป็นมากสินะ ?
“แบบนั้นอันตรายเกินไปค่ะ”
ถึงอย่างไรก็ดี เอเลริสกลับส่ายหน้า ซาร์เคการ์ขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
“เธอพูดอะไรของเธอน่ะ ,เอเลริส ?”
“ซาร์เคการ์, นายน่ะเป็นคนที่ลักพาตัวเจ้าหญิง
แล้วตอนนี้เธอกลับมาแล้ว , พวกนั้นจะดำเนินการสืบสวนหาตัวผู้ลักพาตัวเจ้าหญิงไป
แถมพวกนั้นยังมีเจ้าหญิงเป็นพยานอีกด้วย
มันมีโอกาสที่พวกนั้นจะเจอเบาะแสของนาย ”
“ข้าไม่เคยทิ้งร่องรอย”
“ก็แค่เผื่อไว้ก่อน”
“……เข้าใจแล้ว”
เมื่อมีการสืบสวนครั้งอีกครั้งเรื่องการลักพาตัวของเจ้าหญิงย่อมมีโอกาสที่จะมุ่งความสงสัยมาที่ซาร์เคการ์
ถึงจะเป็นการระวังตัวไว้ก่อน แต่ดูเหมือนเอเลริสคิดว่า ไม่สมควรจะเสี่ยงโดยไม่จำเป็นแบบนั้น
สิ่งที่ผมคิดไว้ก็คือ
“ถ้าอย่างนั้นก็คิดไว้แล้วเชียว เอเลริสสมควรเป็นผู้ปกครองของผม ……?”
“ไม่ใช่ค่ะ , ฝ่าบาท”
“……เอ้ะ ?”
ผมคิดว่า เธอรับหน้าที่นั้นไปเสียอีก แต่เอเลริสนั้นกลับส่ายหัว
“ฉันเป็นแวมไพร์ค่ะ หากความแตกเรื่องที่ฉันเป็นแวมไพร์ ฉันแน่ใจเลยว่าฝ่าบาทที่ฉันดูแลอยู่นั้นจะถูกสงสัยไปด้วย
ถึงปกติฉันจะระวังตัวอยู่เสมอแต่เราไม่รู้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นได้บ้าง ”
ถึงเอเลริสจะเป็นหนึ่งเดียวไปกับสังคมมนุษย์แล้ว แต่เธอก็ยังทดความเป็นไปได้ที่ตัวเองจะโดนล่วงรู้ว่าเป็นแวมไพร์ไว้เสมอ
“อะไรเนี่ย ? แล้วผมจะไปวิหารโดยที่ไม่มีซาร์เคการ์กับเอเลริสเป็นผู้ปกครองได้ยังไงกัน ?”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ ?”
เอเลริสชี้ไปยังบุคคลสุดท้าย เหมือนกับว่า ก็เห็นๆกันอยู่
“…อะไร? ข้าเรอะ ?”
“อะไรนะ ?”
นี่เธออยากให้ราชาขอทานเป็นผู้ปกครองผมเหรอ ?
นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย ?
ทั้งผมทั้งโลย่าถึงกับอึ้งทึ่งงง แต่เอเลริสส่ายหัว
“การที่ท่านเป็นเด็กกำพร้าถือว่าเป็นประโยชน์กับท่านที่สุดค่ะ”
ผมเข้าใจดีว่าเธอหมายความว่าอย่างไร
“เธอท่านถูก ซาร์เคการ์รับเลี้ยง เมื่อเขาถูกจับได้ ท่านจะตกอยู่ในอันตราย หากท่านเลือกฉันเป็นผู้ปกครอง เมื่อฉันถูกเปิดเผยตัวจริง ท่านก็จะตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน”
“…ข้าเข้าใจว่าเธอหมายความว่ายังไง ต่อให้ข้าโดนจับได้
พวกสมาชิกแก๊งข้าก็ไม่รู้ว่า ข้าเป็นไลแคนโทรป แล้วก็บอกได้แต่ว่า ไม่รู้ ไม่รู้สินะ ?”
“ถูกต้องแล้วค่ะ”
พวกลูกน้องของโลย่านั้นไม่มีใครสักคนเลยที่รู้ว่าเธอเป็นไลแคนโทรป ต่อให้เรื่องนั้นโดนรู้เข้า แล้วโดนสอบสวนพวกนั้นก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอยู่ดี
แถมยังมีสมาชิกเยอะแยะด้วย
แถมเป็นไปได้ต่ำมากที่ผมจะโดนเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หากผมเข้าไปในวิหารในฐานะลูกกำพร้าที่ไม่ได้มีสายสัมพันธ์กับใคร
ใช่แล้วล่ะ ,เอเลริสพูดถูกเลย
“……แล้ว ต่อจากนี้ก็อยากให้ผมใช้ชีวิตอยู่ที่นี่สินะ?”
“กระนผมไม่อยากเชื่อเลยว่าฝ่าบาทจะต้องอยู่ในที่โสมมเช่นนี้ ! มันไม่สมเหตุสมผลเลยยยยยย !”
“เมื่อกี้แกเรียกที่อยู่ข้าว่าที่โสมมสินะ ? หาเรื่องกันเรอะ ?”
ดวงตาของโลย่าลุกโขนขึ้นมา
“แสดงว่า อยากให้ข้าแสดงให้เห็นสินะว่า การที่ต้องจ่ายเงินตัวเองซื้อขนมปังเองเนี่ยมันเป็นยังไง? หา?”
“มะ,ไม่ๆ. กระ ,กระผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น ……มันก็แค่แบบเอ่อ … คุณก็ทราบดีใช่ไหม? ว่ากระผมน่ะ ……”
“มันไม่มากเกินไปรึไงห้ะ ? ตอนนี้น่ะข้าเป็นผู้สนับสนุนหลักเป็นสุดยอด VIPเลยไม่ใช่เรอะ, แล้วรู้ไหมว่า เด็กๆของข้าต้องทำอะไรบ้างน่ะ หา?”
โลย่าน่ะเป็นผู้คุมการเงินคนสำคัญดังนั้นเธอมีสิทธิ์ที่จะพูดได้
โลย่าเลยข่มขู่ ซาร์เคการ์ด้วยอำนาจที่เหนือกว่า , ทำให้ ซาร์เคการ์ต้องหน้าซีดตอนที่ได้ยินว่า เธอจะหยุดการส่งเงินให้เขา
เอเลริสถอนใจขณะที่เห็นทั้งสองทะเลาะกัน
“ท่านไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่นค่ะ หลังจากท่านเข้าวิหารได้แล้ว ท่านก็สามารถไปพักอยู่ในหอพักได้ แค่ท่านอยู่ที่นี่แค่ไม่กี่วัน”
เธอมองมาที่ผมเหมือนจะบอกประมาณว่า : “คิดว่า ฉันจะยอมให้ท่านอยู่ที่สกปรกแบบนี้ได้ยังไงกันคะ ?”
เอาล่ะ จริงๆผมเองก็ไม่ได้หลงผิดคิดว่าตัวเองเป็นลูกชายชนชั้นสูงหรอกนะแต่ว่า ….หากผมไปโรงเรียนแล้วเนี่ย เด็กคนอื่นมันไม่ล้อว่าผมเป็นพวกขอทานรึไง ?
แถมรวมๆแล้วผมก็อายุเกิน 30 แล้วด้วย แต่ไม่รู้ว่า จิตใจผมจะอายุเท่าไหร่ก็เถอะนะ….
ไม่สิๆ ผมแค่อยากจะบอกว่า ถ้าไอ้เด็กเวรนั่นมันรู้ว่า ผมเป็นขอทานจนถึงอายุเท่านี้ มันจะไม่รุมซัดผมหรือทำอะไรสักอย่างหรอกเรอะ ?
ถึงอย่างนั้นผมก็หาความคิดที่ดีไปกว่าสิ่งที่เอเลริสแนะนำได้
แค่เพียงไม่กี่วัน แค่เพียงไม่กี่วัน ….ผมแค่อยู่ในที่แบบนี้แค่เพียงไม่กี่วัน ….ตอนที่ผมถามเอเลริสว่า ผมจำเป็นที่ต้องอยู่ที่นี่จริงๆหรือ เธอก็ตอบว่า ผมจำเป็นต้องอยู่ที่นี่
ผมที่เป็นเด็กกำพร้าไม่มีอะไรเป็นเครื่องยืนยันตัวตน และเพื่อที่จะได้รับการยืนยันตัวตนใหม่ ผมต้องหาทางพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นเด็กกำพร้า แล้ววิธีการก็คือ ให้คนใน กลุ่มของโลย่าเป็นคนยืนยัน ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ตัวเองจะได้รับตัวตนใหม่ด้วยการรับรองของขอแทน นี่มันอะไรกันวะเนี่ย ?
“มีน้องชายข้ามากมายที่ไม่มีบันทึกไว้น่ะข้ารู้ดีว่าต้องทำยังไง,เพราะบางคนที่อยู่ที่นี่บางคงก็ต้องมีบัตรประชาชน”
มันก็ปรกติแหละที่เธอจะเรียก พวกเขาว่าเป็นน้องชายก็ในเมื่อเธอเป็นหัวหน้าองค์กรแต่พูดก็พูดเถอะ พอได้ยินจากปากเธอแล้วมันแปลกๆ
ไม่อยากเชื่อเลยว่า ไลแคนโทรปจะมีน้องชายเป็นมนุษย์
นี่มันนิทานเรื่อง พี่ชายหมาป่าฉบับคนแสดงรึไง ?
(TTL : นิทานเกาหลี เรื่องพี่ชายเป็นเสือ (Tiger Brother) (호랑이 형님) เรื่องย่อคือ ชายตัดไม้คนหนึ่งไปเจอเสือตัวใหญ่มาก กลัวเสือทำร้ายเลยหลอกว่า ตัวเองเคยมีพี่ชายแล้วพี่ชายตายไปแม่เสียใจมากและเสือน่าจะเป็นพี่ชายกลับชาติมาเกิด เสือเชื่อเรื่องนั้น ไม่อยากกลับไปพบแม่ในสภาพที่เป็นเสือเลยล่าวัวมาทิ้งไว้หน้าบ้านให้ ตอนหลังแม่ของชายตัดไม้ เสือก็เลยเฝ้าสุสานด้วยความเศร้าตรอมใจตาย ชายตัดไม้เลยสร้างหลุมศพให้เสือข้างๆแม่และหวังว่าชาติหน้าจะได้เกิดเป็นลูกแม่จริงๆ )
แล้วหมาจรจัดตัวนั้นก็จะกลายเป็นพี่ชายของผม ? ไม่สิ พี่สาวมากกว่า
คำพูดของซาร์เคการ์ทำให้โลย่าโมโห แต่เธอก็คิดว่า การอยู่ที่นี่นานเกินไปมันก็ไม่ดีต่อผมด้วยเช่นกัน
“เอเลริสพูดถูกแล้วล่ะ ดังนั้นพวกเราควรจะทำแบบนั้นแหละ”
โลย่าเองก็ไม่ซีเรียสอะไร ส่วนเอเลริสเองก็ครุ่นคิดหาวิธีที่จะพาผมออกไปจากที่นี่ โดยให้เข้ากับวิหารให้เร็วที่สุด
ซาร์เคการ์และเอเลริสนั้นกลับไป เหลือไว้แต่ผมกับโลย่า
พวกเขาบอกไว้แล้วว่า ผมควรทำอะไรบ้าง
โลย่าเองก็บอกผมว่า อย่าห่วงไปเลยไม่มีใครกล้าทำอะไรผม แต่ปัญหามันไม่ใช่เรื่องนั้น ….
มันไม่มีอะไรง่ายเลย
อันที่จริงผมไม่อยากไปวิหาร แต่ผมต้องไปด้วยการสวมฐานะเป็นสมาชิกในกลุ่มขอทาน
มันยิ่งทำให้ผมอยากไปน้อยลงไปอีก แต่ผมจะทำอะไรได้ล่ะ ? ในเมื่อทางนี้ปลอดภัยที่สุด
โลย่าพาผมลงไปใต้ทางระบายน้ำแล้วพาผมไปย่านสลัม
-วี๊ดวี๊ด(เสียงผิวปาก)!
พอโลย่าผิวปาก พวกขอทานที่กระจัดกระจายตัวกันอยู่ก็ค่อยๆมารวมอยู่ในที่เดียวกัน
ทุกคนต่างพิการแขนขาขาด แต่ก็ยังได้ยินเสียงอยู่
นี่คงเป็นด้านมืดของการ์เดียม
“พี่สาว , เจ้าเด็กนี่ใคร ?”
หากเอเลริสหรือซาร์เคการ์มาได้ยินเข้าคงโมโหกับคำพูดนี้แน่ แต่โลย่าไม่ได้แสดงอาการอะไร
เธอไม่ใช่คนภักดีอะไรแต่เธอแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาเสมอ เป็นคนประหลาดแบบนั้นแหละ
“เขาเป็นสมาชิกใหม่ เขาชื่อไรฮาร์ด(Reinhardt)”
มันเป็นชื่อใหม่ของผม ไม่ใช่ชื่อจริงอย่าง วาเลียร์(Valier)
ไรฮาร์ด
ไม่สิ , ผมหมายถึง วาเลียร์เองก็ไม่ใช่ชื่อจริงของผมเหมือนกันถูกมะ ?
ยังไงก็เถอะ มันก็คือนามแฝง นามแฝงก็คือ นามแฝง ไม่มีอะไรมากเกินกว่านั้น
ซาร์เคการ์ แนะนว่า ให้ผมเลือกชื่ออื่นที่ไม่ใช่วาเลียร์เป็นนามแฝงของผมแล้วก็ถามถึงชื่ออื่น
ผมมีไว้ในใจอยู่แล้ว
'กรอม เฮล สครีม (Gromm Hellscream)'
'……เฮล สตรีม ? ชื่อนั่นไม่น่ารังเกียจไปหน่อยเหรอคะ?'
ความเห็นของผมโดนเอเลริสตีตกทั้งคู่
‘แล้วลิชคิงล่ะ ?'
'ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก ! เป็นนามที่เหมาะสมกับจอมมารเหลือเกิน!
หากเป็นฝ่าบาทแล้วย่อมมีพลังเวทย์สูงส่งเหนือยิ่งกว่าพวกลิชไปได้แน่นอน!'
'ฝ่าบาท , ชื่อจริงของท่านไม่ควรจะโดดเด่นขนาดนั้น '
ซาร์เคการ์เห็นด้วยแต่ โลย่าไม่เห็นด้วย
เธอพูดประมาณว่า : “หากท่านเลือกชื่อน่าเกลียดแบบนั้น สู้ใช้ชื่อจริงไปเลยดีกว่า”
อันที่จริงมันก็เหมือนกับชื่อ คิม ฮุน ดูม ภาษาเกาหลี
'ถ้าอย่างนั้นก็ทร่อล(Thrall)'
'……ฝ่าบาทคะ , เราไม่ควรล้อเล่นกับเรื่องนี้ค่ะ '
เอเลริสคิดจริงคิดจังว่า ชื่อ ทร่อลนั้นเป็น คำพ้องเสียงใกล้เคียงกับคำว่า 'ให้ตายเถอะ '.
(T/N: ภาษาเกาหลีจะเขียนคำว่า ทร่อล(Thrall) = ssral, ให้ตายเถอะ= แจ-กิ-ร่อล หรือเขียนอีกแบบได้ว่า X-ral (เอ้กร่อล ) )
นี่เธอไม่รู้จักซีรี่ย์วอร์คราฟรึไง?!
หลังจากถกเถียงกันมาสักพักก็ตัดสินใจได้
'แล้ว ชื่อ ไรฮาร์ดว่าไง ?'
'……ก็แปลกๆดี มันออกจะเป็นชื่อเหมือนตัวละครหลักมากไปแต่ …..'
'ฉันว่ามันก็เป็นชื่อที่ดีกว่า เฮล สครีม '
'ควรที่จะมีเสียงสะกดมากกว่านี้สักหน่อย ชื่อของราชาไม่สมควรจะเรียบง่ายเกินไป ….'
'ก็ถ้าชื่อมันยาวกว่านี้ก็เรียกลำบาก ผมเองก็ไม่อยากถูกเข้าใจผิดว่าเป็นชนชั้นสูงหรืออะไรแบบนั้น '
สุดท้ายก็ตกลงกันแบบนั้นได้แหละ ถึงจะไม่ได้ชื่อโดดเด่นเป็นพิเศษหรือมีอะไรแปลกๆมันก็แค่ชื่อนั่นแหละ